เซี่ยโม่เองก็เคยคิดใคร่ครวญเื่นี้อยู่เหมือนกัน ได้ข้อสรุปให้ตัวเองว่า เลี้ยงเสี่ยวเฮยที่บ้านไม่ค่อยเหมาะสมเท่าใดนัก
ครั้นได้ยินคุณปู่จ้าวเอ่ยเช่นนี้ เธอจึงพยักหน้าตกลง
ด้วยความกังวลว่าอาจมีเหตุใดเกิดขึ้น คุณปู่จ้าวจึงไม่ออกไปไหน รั้งรออยู่ที่บ้านเป็เพื่อนเธอ
หลังจากผู้ใหญ่บ้านทราบเื่นี้ก็พาคนขึ้นเขาช่วยออกตามหาตัวเด็กอีกแรง
ส่วนคุณยายเป็ห่วงหมูในคอกจึงจะออกไปให้อาหารหมู คอกหมูและคอกวัวตั้งอยู่ไม่ไกลกันมาก หญิงชราจึงหันไปบอกกับผู้เป็สามี “แกอยู่บ้านเถอะ หากมีเื่อะไรเกิดขึ้นปล่อยให้เด็กๆ อยู่บ้านก็ตัดสินใจหรือทำอะไรไม่ได้ ฉันจะหาเวลาไปให้อาหารและพาวัวไปเดินเล่นให้เอง ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านไม่อยู่ เขาไม่รู้หรอก”
“ได้” คุณตาพยักหน้ารับรู้
แม้ในใจเซี่ยโม่จะยังเป็กังวล แต่คิดมากไปก็เท่านั้น เธอไม่สามารถช่วยอะไรได้มากกว่านี้อยู่ดี หลังเก็บโต๊ะและเก็บล้างภาชนะทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย เธอหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาเปิดอ่าน แต่ไม่ว่าจะอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าสมองเลยสักนิดเดียว
เวลาล่วงเข้า่เที่ยง กลุ่มคนที่ขึ้นไปเขาก็ทยอยกลับลงมา เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เซี่ยโม่พลันปิดหนังสือแล้วรีบวิ่งออกไปดู คุณยายกลับมาจากให้อาหารสัตว์และพาวัวไปเดินเล่นนานแล้ว ตอนนี้คุณตา คุณยาย และอาจารย์ต่างวิ่งออกไปดูสถานการณ์ด้านนอกเช่นกัน
แม้แต่เซี่ยเฉินเฟิงตัวน้อยก็ยังวิ่งตามออกมาอย่างอยากรู้อยากเห็น
หัวหน้าตำรวจเดินนำหน้ามาเป็คนแรก เสื้อคลุมที่เคยสวมใส่อยู่บนตัวตอนนี้ถูกนำมาห่อเด็กทารกที่อุ้มแนบอก บนตัวเหลือเพียงแค่เสื้อเชิ้ต เนื่องจากมีรูปร่างกำยำ พออุ้มเด็กแบบนี้จึงทำให้เขาดูเหมือนวีรบุรุษเข้าไปใหญ่
ใบหน้าฉายชัดถึงความเหนื่อยล้า ทำให้รู้ว่าหลายชั่วโมงที่ผ่านมาหัวหน้าตำรวจต้องตามหาเด็กอย่างยากลำบากมากเพียงไหน
ถัดไปด้านหลังคือ สุนัขตำรวจและครูฝึกซึ่งมีสีหน้าถือดี ตามมาด้วยตำรวจอีกสี่ห้านาย ผู้ใหญ่บ้าน และคนในหมู่บ้านที่มีน้ำใจช่วยขึ้นเขาไปตามหาเด็ก ส่วนเซี่ยฟู่กุ้ยเดินรั้งท้าย
เซี่ยโม่รีบวิ่งตรงเข้าไปหาหัวหน้าตำรวจ มองเด็กที่อีกฝ่ายอุ้มอยู่ด้วยความเป็ห่วง “พี่ตำรวจ เป็ยังไงบ้างคะ”
หัวหน้าตำรวจถอนหายใจ เด็กสาวคนนี้สินะที่เพื่อนของเขาถูกใจ
หัวหน้าตำรวจตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เด็กถูกหมาป่าคาบไป พวกเราตามหาและหาวิธีล่อหมาป่าออกจากพื้นที่อยู่นานมากกว่าจะช่วยเด็กออกมาได้ แต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้เด็กยังไม่ฟื้นเสียที”
“ผมเป็หมอ รีบส่งเด็กมาให้ผมเถอะ เดี๋ยวผมช่วยตรวจดูอาการให้” เหล่าจ้าวรีบแสดงตัว
“ได้” หัวหน้าตำรวจอุ้มเด็กเข้าไปวางบนเตียงในบ้าน
เหล่าจ้าวคลายห่อผ้าออกเพื่อดูว่าเด็กได้รับาเ็ที่ตรงไหนหรือไม่ จากนั้นยื่นมือไปจับเส้นชีพจร ครู่ใหญ่ถึงค่อยเอ่ยออกมา “เด็กไม่เป็อะไรมาก แค่ใจนสลบไปเท่านั้น”
“เด็กคนนี้ดวงแข็งจริงๆ” หัวหน้าตำรวจถอนหายใจอย่างโล่งอก
เซี่ยฟู่กุ้ยที่เพิ่งเดินตามเข้ามาในบ้าน เมื่อเห็นบุตรชายยังไม่ลืมตาและไม่ขยับตัว จึงะโอย่างเป็กังวลแกมร้อนรน “ลูกพ่อ ตื่นสิ อย่าทำให้พ่อใ…”
หัวหน้าตำรวจหันไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน “เซี่ยฟู่กุ้ย คุณถูกจับแล้ว คุณใช้เด็กทารกเป็เครื่องมือเพื่อใส่ร้ายเซี่ยโม่และคนในบ้านจนเกือบทำให้เด็กคนนี้ต้องเสียชีวิต”
ข้อมือทั้งสองข้างของเซี่ยฟู่กุ้ยถูกคล้องกุญแจมือ
“ผมสมควรตาย ผมผิดไปแล้ว แต่ว่าลูกชายผมไม่เป็อะไรใช่ไหม ลูกชายผมยังไม่ตายใช่ไหม” เขาเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เื่ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะตัวเองแท้ๆ
หัวหน้าตำรวจเอ่ยด้วยสีหน้าเ็า “มาเป็ห่วงลูกชายอะไรตอนนี้ ถึงกับกล้าใช้ลูกชายเป็เครื่องมือ คนอย่างคุณไม่สมควรจะเป็พ่อของเด็กคนนี้ด้วยซ้ำ”
“ผมผิดไปแล้ว ลูกผมยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม…” เซี่ยฟู่กุ้ยถามถึงบุตรชายด้วยความเป็ห่วง
หัวหน้าตำรวจตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ลูกคุณยังมีชีวิตอยู่ คุณยังมีลูกสาวที่ชื่อว่าเซี่ยอวิ๋นอีกคนใช่ไหม ทำไมเธอยังมาไม่ถึงที่นี่อีก”
เซี่ยฟู่กุ้ยถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินว่าบุตรชายยังมีชีวิตอยู่ ส่วนเซี่ยอวิ๋น เขาเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าไปอยู่ที่ไหน
ก่อนนี้ตอนตำรวจพาเขากลับไปที่บ้าน เขาพบว่าเซี่ยอวิ๋นยังคงนอนหลับอยู่ พอรู้ว่าเกิดเื่ใดกับเขา อีกฝ่ายก็ร้องห่มร้องไห้พร้อมบอกว่า “พ่อคะ พ่อไปที่หมู่บ้านเซิ่งลี่ก่อนนะคะ เดี๋ยวหนูตามไป”
พวกเขาออกตามหาตัวเด็กกันตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ระหว่างนี้อีกฝ่ายไม่ได้มาที่หมู่บ้านสักครั้งเลยหรือ
เขานึกถึงตอนที่ภรรยาใหม่เพิ่งแต่งเข้าบ้านมา่แรก อีกฝ่ายพูดกับเขาว่า เซี่ยอวิ๋นที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเืกับคุณน่าสงสารที่สุดในบ้าน หากคุณไม่รักแก ชีวิตนี้แกก็คงไร้ที่พึ่ง
ตอนนั้นคิดว่าที่ภรรยาใหม่พูดมาก็มีเหตุผล เขาจึงทุ่มเทความรักทั้งหมดให้ ไม่ค่อยได้สนใจบุตรแท้ๆ ของตัวเองเท่าใดนัก
เซี่ยอวิ๋นเป็เด็กที่เอาอกเอาใจเก่ง พวกเขาจึงสนิทกันยิ่งกว่าพ่อลูกแท้ๆ เสียอีก จนทุกคนต่างพูดว่าเขามีเมตตาดียิ่ง
ทว่ายามนี้ที่บ้านเกิดเื่ใหญ่โต กลับไม่เห็นลูกเลี้ยงแม้แต่เงา แววตาของเซี่ยฟู่กุ้ยทั้งเศร้าหมองและว่างเปล่า
หัวหน้าตำรวจเห็นเซี่ยฟู่กุ้ยไม่ตอบอะไร จึงหันไปถามอาการเด็กกับคุณหมอจ้าว “แล้วเมื่อไรเด็กคนนี้ถึงจะฟื้นครับ”
“ผมสามารถฝังเข็มให้เด็กฟื้นขึ้นมาได้ แต่ปล่อยให้ฟื้นขึ้นมาเองจะดีต่อตัวเด็กมากกว่า” เหล่าจ้าวอธิบาย
หัวหน้าตำรวจพยักหน้ารับรู้ “งั้นก็เอาตามที่คุณว่ามา ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัวกลับก่อน ต้องนำเด็กไปส่งให้พี่สาวที่อยู่หมู่บ้านเชาหยางดูแลอีก”
เวลานี้เองเซี่ยโม่เดินเข้ามาเพื่อนำน้ำมาให้ตำรวจทุกคนดื่มเพื่อดับกระหาย แน่นอนว่ารวมถึงผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่มีน้ำใจช่วยตามหาเด็กด้วย
“พี่ตำรวจ ดื่มน้ำก่อนแล้วค่อยไปค่ะ”
ทุกคนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม ใช้เวลาขึ้นเขาและตามหาตัวเด็กอยู่นานหลายชั่วโมง พวกเขาจึงรู้สึกกระหายน้ำอยู่บ้าง
ตำรวจหลายนายในที่นี้นึกชื่นชมเซี่ยโม่ว่าเป็เด็กสาวที่หลักแหลมไม่น้อย
ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไรที่เซี่ยเฉินเฟิงเดินเข้าไปใกล้เซี่ยฟู่กุ้ย เด็กชายเงยหน้ามองบิดาบังเกิดเกล้าที่ไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวัน
เซี่ยฟู่กุ้ยมัวแต่จมอยู่ในความเศร้าและสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำ ไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าสายตาของบุตรชายคนโตที่ตัวเองรังเกียจนักหนากำลังมองมา
เป็อู๋กวงเต๋อที่ทนไม่ไหวแล้วพูดขึ้น “เฉินเฟิง เขาไม่เห็นหลานเป็ลูกมาตั้งนานแล้ว”
เซี่ยเฉินเฟิงวิ่งเข้าไปหาผู้เป็ตา ใบหน้าเล็กซุกเข้ากับแผ่นอก ก่อนจะเอ่ยพร้อมน้ำตาที่รินไหล “คุณตา ผมรู้ครับ ผมแค่อยากมองเขาเท่านั้น…”
หลังจากหัวหน้าตำรวจดื่มน้ำจนหมดแก้วแล้ว เขาใช้เสื้อคลุมตัวนอกห่อตัวเด็กเอาไว้เหมือนเดิม จากนั้นค่อยหันไปเอ่ยกับเซี่ยฟู่กุ้ย “ไปได้แล้ว!”
ความสนใจของเซี่ยฟู่กุ้ยยังคงอยู่ที่บุตรชายวัยสองเดือนของตัวเอง ทว่าพอได้ยินเสียงพูดคุยของเด็ก เขาจึงหันไปมองตามเสียง
เ้าของเสียงคือเด็กชายคนหนึ่ง ผิวกายขาวจั๊วะ เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน สวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยม หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
เด็กคนนั้นซุกอยู่ในอ้อมกอดของอู๋กวงเต๋อ แววตาคลอไปด้วยน้ำตา ท่าทางเศร้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง
เขาเพิ่งนึกออกว่าตนเองมีบุตรชายที่ชื่อเซี่ยเฉินเฟิงอีกคน ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกับเด็กคนนี้ไม่มีผิด แต่เด็กคนนั้นทั้งโง่เขลา ผิวกายคล้ำ ตัวก็ผอมแห้ง ไม่มีทางใช่คนเดียวกับเด็กที่ซุกหน้าร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของอู๋กวงเต๋ออย่างแน่นอน
ก่อนเซี่ยฟู่กุ้ยจะเลื่อนสายตาไปยังบุตรชายคนเล็กวัยแบเบาะในอ้อมแขนหัวหน้าตำรวจ กุญแจมืออันเย็นเฉียบเตือนให้เขารู้ว่าเหลือเวลาอยู่กับบุตรชายอีกไม่นานแล้ว
เขารีบเดินตามหัวหน้าตำรวจออกไป เพื่อจะได้มองดูบุตรชายให้นานอีกสักหน่อย
เซี่ยเฉินเฟิงมองตามผู้เป็บิดาจนหายลับไปจากสายตา พร้อมกับความผิดหวังที่เข้ามาจู่โจมหัวใจ ั้แ่ย้ายมาอยู่บ้านคุณตาคุณยาย มีบางครั้งที่เขาคิดถึงบิดาขึ้นมา
เขาคิดว่าบิดาถูกแม่เลี้ยงบังคับก็เลยละเลยเขากับพี่สาว ตอนนี้แม่เลี้ยงไม่อยู่แต่บิดาก็ยังไม่เหลียวแล เด็กชายเข้าใจแล้วว่าบิดาไม่ได้เห็นตนเองเป็ลูกมานานแล้ว ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหลอาบสองแก้ม
สายสัมพันธ์สุดท้ายระหว่างเขากับบิดาขาดสะบั้นลงในที่สุด
เวลานี้เองมืออันอบอุ่นคู่หนึ่งก็ดึงตัวเด็กชายเข้าไปกอด “เฉินเฟิง เรายังมีพี่อยู่นะ พี่เคยบอกเราแล้วไม่ใช่เหรอว่า ให้คิดซะว่าเขาไม่อยู่แล้ว”
“ครับ ผมฟังพี่” แววตาของเด็กชายค่อยๆ กล้าแข็งขึ้นขณะพยายามกลั้นน้ำตา
อู๋กวงเต๋อสงสารหลานชายหลานสาวจับใจ มือหยาบกร้านดึงตัวหลานทั้งสองคนเข้ามากอดพร้อมปลอบโยน “พวกหลานยังมีตากับยายอยู่ไม่ใช่เหรอ ตากับยายยังอยู่ปกป้องพวกหลานไปได้อีกนาน”
คุณปู่จ้าวเดินเข้ามาใกล้ “แล้วก็มีฉันอีกคนด้วย หากใครรังแกพวกเธอสองพี่น้อง ฉันจะปกป้องพวกเธอเอง”
สองพี่น้องระบายยิ้มกว้างเต็มใบหน้า แม้จะสูญเสียบิดา หากทั้งคู่ก็ได้ครอบครัวเพิ่มมาอีกหลายคน