“อวี้เอ๋อร์เกือบจะห้าขวบแล้วนับได้ว่าเป็บุรุษผู้กล้าคนหนึ่ง นับจากนี้เป็ต้นไป ต้องคุ้มครองปกป้องมารดา หากมีผู้ใดกล้ามารังแกนางแม้แต่ปลายเส้นขนเ้าจงใช้ของสิ่งนี้แทงคนผู้นั้นให้ตายไปเลย” แต่ละคำแต่ละประโยคที่ออกจากปากเหยาโม่หว่านล้วนหนักแน่นจริงจัง
“แค่กแค่ก... แค่กๆ ๆ” เย่จวินชิงที่กำลังกินข้าวอยู่ถึงกับสำลักไม่หยุด หลังจากนั้นค่อยเงยหน้ามองเหยาโม่หว่านใช้สายตาตำหนินางว่าเป็สตรีใจคอโเี้เป็ที่สุด
เหยาโม่หว่านหาได้นึกประหลาดใจกับท่าทีเหยียดหยันของชายหนุ่มั์ตาคมกล้าดุจพญาเหยี่ยวยังคงเพ่งอยู่ที่ดวงหน้าน้อยของเหยาอวี้
“จำวาจาของพี่หว่านเอ๋อร์ให้ดีอย่ารอให้โตก่อนแล้วค่อยมาคุ้มครองมารดา เพราะแม่ของเ้าอาจทนรอไปถึงวันนั้นไม่ไหวเข้าใจหรือไม่?” หัวใจของนางคล้ายถูกคนใช้มีดกรีดเป็ริ้วๆ เ็ปยากจะพรรณนา เหยาอวี้ยังมีโอกาสคุ้มครองมารดาของตนเองไม่เหมือนกับนางที่สูญเสียโอกาสนั้นไปแล้ว
“อวี้เอ๋อร์จดจำไว้แล้วขอรับพี่หว่านเอ๋อร์ พี่ว่าหากข้าเปลี่ยนจากปิ่นปักผมไปเป็เข็มเย็บผ้าจะดีกว่านี้หรือไม่?”ดวงตาสุกใสของเหยาอวี้กะพริบปริบๆ พลางเอ่ยถามอย่างเป็จริงเป็จัง
“อื้มนับว่าเป็เด็กมีไหวพริบใช้ได้” เหยาโม่หว่านผงกศีรษะยิ้มน้อยๆ อย่างพึงพอใจ เหยาอวี้เป็ดวงใจของบิดาถึงจะทำสิ่งใดเกินเหตุไปบ้าง บ่าวในจวนรวมถึงโต้วเซียงหลันย่อมไม่กล้าลงโทษขั้นรุนแรงเพียงอาศัยเคล็ดลับข้อนี้ก็อาจช่วยให้ซูมู่จื่อมีชีวิตที่ดีขึ้นภายในจวนอัครเสนาบดี
ฝ่ายเย่จวินชิงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามมุมปากกระตุกไม่หยุด ต้องใช้มือหนึ่งเกาะมุมโต๊ะไว้ถึงจะไม่ใจนหน้าคว่ำเพราะบทสนทนาอันห้าวหาญเกินเหตุของคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้า
ราตรีผ่านไปอย่างไร้สุ้มเสียงหลังจากเลิกประชุมเช้า สิ่งแรกที่เย่หงอี้ต้องทำก่อนเสมอคือการมาเยี่ยมเยียนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวน้อยของตนเอง
“หว่านเอ๋อร์ของเจิ้นกำลังทำสิ่งใดอยู่?”ยามเข้ามาถึงตำหนักกวานจวี เห็นเหยาโม่หว่านกำลังง่วนอยู่กับการนำขนมบนโต๊ะบรรจุใส่ห่อผ้า
“บิดาชอบกินขนมจากวังหลวงเมื่อก่อนยามที่พี่รองกลับจวนยังนำขนมจากในวังมาฝากบิดากับมารดาใหญ่อยู่เสมอ ตอนนั้นหว่านเอ๋อร์รู้สึกอิจฉายิ่งนักแต่ตอนนี้หว่านเอ๋อร์เข้ามาอยู่ในวัง ย่อมสามารถนำขนมกลับไปจวนเองได้แล้ว” เหยาโม่หว่านเก็บขนมไปพลางตอบคำถามของเย่หงอี้ไปพลาง
รอยยิ้มของเย่หงอี้พลันชะงักค้างเหยาโม่หว่านทราบดีว่าผลลัพธ์ต้องเป็เช่นนี้ เพราะนางรู้ว่าขนมในวังหลวงทำมาถวายแก่หวงตี้และเหล่าสนมชายาเท่านั้นหากมิใช่สิ่งของพระราชทาน ขุนนางภายนอกย่อมกินไม่ได้ และไม่มีสิทธิ์ที่จะกินด้วย เหยาซู่หลวนกล้านำของออกไปนอกวังส่วนเหยาเจิ้นถิงก็บังอาจส่งขนมเข้าปาก นับเป็การฝ่าฝืนกฎระเบียบขั้นรุนแรง
เื่นี้จะเป็จริงหรือไม่หาได้มีความสำคัญ สำคัญที่เย่หงอี้เชื่อสนิทใจไปแล้ว
“ฝ่าาไม่พอพระทัยหรือเพคะ?หากฝ่าาไม่ชอบ หว่านเอ๋อร์ไม่เอาไปก็ได้เพคะ” เหยาโม่หว่านมองเย่หงอี้ด้วยแววตาฉงนฉงายกล่าวจบก็ล้วงหยิบขนมออกมาจากห่อผ้าทันที
“เจิ้นมิได้ไม่พอใจเมื่อหว่านเอ๋อร์มีความกตัญญูถึงเพียงนี้ เจิ้นจะให้คนส่งขนมเหล่านี้ไปที่จวนอัครเสนาบดีไยต้องให้เ้ากลับไปส่งด้วยตนเองเล่า” เย่หงอี้รีบเก็บสายตาเยียบเย็นซ่อนไว้ภายใต้ก้นบึ้งยิ้มพลางรับห่อผ้ามาจากมือของเหยาโม่หว่าน
“แต่ว่า...หว่านเอ๋อร์อยากกลับไปเยี่ยมจวนอัครเสนาบดีสักครั้งอีกอย่างน้องชายก็ยังอยู่ที่นี่ หว่านเอ๋อร์ต้องส่งเขากลับจวนเพคะ บิดาหาน้องชายไม่พบป่านนี้คงร้อนใจแย่แล้ว” ขณะกำลังสนทนา ก็เบนสายตาไปที่เหยาอวี้ซึ่งกำลังเล่นอยู่กับเ้าปุกปุยอยู่อีกด้านหนึ่ง
“นี่เป็...น้องชายแท้ๆของเ้า?” เย่หงอี้เลิกคิ้วสูง เขาไม่เคยได้ยินว่าเหยาเจิ้นถิงมีบุตรชาย มิน่าเล่าเช้านี้ตาเฒ่าผู้นั้นถึงขาดประชุมเช้าเกรงว่าคงตามหาบุตรชายจนสติแตกไปแล้ว
“ใช่เพคะเป็บุตรชายของบิดาที่เกิดจากฟูเหรินสาม เขาถูกเลี้ยงอยู่นอกจวนมาโดยตลอด เพิ่งไปรับกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เองเมื่อวานมารดาใหญ่เป็คนพาเขาเข้าวัง แต่ขากลับอาจจะหลงลืม เลยทิ้งเขาไว้ที่ตำหนักของหว่านเอ๋อร์”เหยาโม่หว่านพูดเื่จริงครึ่งหนึ่งปั้นแต่งเอาอีกครึ่งหนึ่ง ด้วยรู้ว่าคนอย่างเย่หงอี้ไม่ไปสืบสาวราวเื่อย่างแน่นอน