ต้องพูดว่าเย่จื่อมู่มิได้พูดโอ้อวดจริงๆ เื่ประเภทนี้ สำหรับเขาแล้วก็ราวกับเื่เล็กน้อยที่ไม่พอจะให้พูดถึงเลยจริงๆ
และกับเื่ ‘ขโมยไก่ลักสุนัข’ ยามค่ำคืนที่ทำเป็ครั้งแรกนี้ มู่จื่อหลิงคิดไปมาก็มีอารมณ์โหมกระหน่ำ ในใจข่มความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
“เถ้าแก่มู่ ข้าจะไปจับตาดูตรงนั้น เื่อื่นท่านจัดการเอง” เย่จื่อมู่พูดไว้แล้วว่าไม่สนใจก็ไม่สนใจ หลังพามู่จื่อหลิงมาถึงโดยสวัสดิภาพก็ทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค แล้วไปหาที่สบายตัวบนชายคา
เอนกายอย่างสง่างามสองมือหนุนไว้ใต้ท้ายทอย มองท้องนภายามรัตติกาลที่ไร้จุดสิ้นสุดนิ่ง ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใด หรือรออันใดอยู่
มู่จื่อหลิงมองสิ่งที่เย่จื่อมู่เรียกว่าจับตาดู หน้าผากก็ปรากฏเส้นดำสามเส้น แสดงออกว่าหมดคำจะพูด
นับถือ พวกเขามาทำเื่เลวร้าย หมอนี่กลับนอนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจชื่นชมท้องฟ้ายามรัตติกาล ไม่รู้สึกถึงอันตรายในวังหลวงแม้แต่น้อย
ท่าทางที่ไม่ใส่ใจ เปี่ยมไปด้วยความไม่ไยดีของพ่อค้าหน้าเืเช่นนี้ อารมณ์ของนางที่เรียกได้ว่าเต็มไปด้วยจิติญญาการต่อสู้ โลหิตเดือดพล่านมาแต่เดิมจะข่มให้ลดลงไปได้อย่างไร?
แต่ตอนนี้เย่จื่อมู่ก็พานางมาแล้ว ที่เหลือ ย่อมมีเพียงนางที่ทำได้
เวลานี้ก็ใกล้ยามสองแล้ว
จากปกติ ผู้คนก็ดับไฟเข้านอนกันแล้ว
ทว่าตอนนี้ ตำหนักคุนหนิงของฮองเฮานั้นยังคงสว่างไสว ทั้งตำหนักถูกไข่มุกราตรีสาดส่องจนเหมือนตอนกลางวัน
มู่จื่อหลิงก็แนบลงต่ำ เงาร่างแนบติดกับกระเบื้องเคลือบ เมื่อถอดกระเบื้องออกอย่างไร้สุ้มเสียง ก็เผยให้เห็นช่องที่มีแสงสว่างจ้า
ดวงตานางหรี่ลง มองลงไปด้านล่าง
ในตำหนัก ฮองเฮาสวมใส่กระโปรงยาวจับจีบปักลวดลายดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีทอง กระโปรงลากไปกับพื้น ด้ายสีเงินทองกระหวัดพันกันบนชุดกลายเป็ภาพหงส์สยายปีก สง่างาม แสดงบทบาทของมารดาแห่งใต้หล้าออกมาได้อย่างชัดเจน
ในยามนี้ ฮองเฮากำลังให้กลุ่มนางกำนัลขันทีทยอยถอยออกไป สุดท้ายเหลือเพียงมามาเฒ่าที่คอยปรนนิบัติข้างกาย
นางเดินไปที่ตั่งนิ่ม เอนกายลงบนตั่งนิ่มด้วยความสง่างาม มือข้างหนึ่งกุมหน้าผาก อีกข้างนวดบริเวณหว่างคิ้ว สีหน้าดูเหมือนไม่คาดฝัน
มามาเฒ่ายืนค้อมกายอยู่ด้านข้าง ท่าทางเคารพนบนอบ
แม้มามาผู้นี้จะเป็เพียงบ่าว แต่เป็แขนซ้ายขวาที่ฮองเฮาไว้วางใจที่สุด แม้ระหว่างพวกนางจะเป็เพียงนายบ่าว แต่กลับสนิทสนมกว่านายบ่าวนัก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮองเฮาจึงเอ่ยปากอย่างช้าๆ ว่า “ซุนมามา เื่ในครั้งนี้เป็อย่างไรกันแน่?”
เมื่อได้ยินว่าภารกิจลอบฆ่ามู่จื่อหลิงล้มเหลว ฮองเฮาก็เหมือนจะบันดาลโทสะขึ้นมา
“เหนียงเหนียง แผนที่บ่าววางไว้รัดกุมรอบคอบ และได้ยินว่าฉีหวางเฟยคืนนั้นถูกฝูงหมาป่าไล่ล่าตามลำพังจริงๆ” น้ำเสียงของซุนมามานอบน้อมและมั่นใจอย่างมาก
ได้ยินคำนี้ จู่ๆ มู่จื่อหลิงที่อยู่บนหลังคาก็ยิ้มออกมา
ที่แท้ก็เป็ความคิดของนางบ่าวสุนัขผู้นี้ ที่แท้ก็เป็นางที่ยุแยงอยู่ข้างหูฮองเฮา
จริงดังคาด นายเช่นใดก็เลี้ยงบ่าวออกมาเป็เช่นนั้น
หลินมามา สุนัขอาศัยบารมีนายข้างกายไทเฮาคนนั้นที่ปลิดชีวิตหลี่มามาเพื่อดันตนเองให้สูงขึ้น ยามนี้ดูไปแล้วซุนมามาข้างกายฮองเฮาผู้นี้จะร้ายกาจยิ่งกว่า
ต้องพูดว่า แผนการนั้นของซุนมามารอบคอบรัดกุมจริงๆ ถึงขั้นรู้จักใช้เด็กน้อย ทั้งยังเป็เด็กน้อยที่ไม่ธรรมดายิ่ง นางไม่คารวะไม่ได้แล้ว
บ่าวสุนัขผู้นี้สิถึงมีสมอง แผนการที่วางออกมานั้นยอดเยี่ยม
วันนั้นแทบจะทำให้ชีวิตของนางสูญสิ้นแล้ว ทำร้ายนางจนน่าสังเวช หมดสภาพมากนัก!
แต่ไหนแต่ไรนางไม่จดจำความแค้น มีแค้นก็ชำระเสียเดี๋ยวนั้น
อีกอย่าง บ่าวสุนัขประเภทนี้อยู่ไปก็เป็หายนะ
ในเมื่อนางพบเข้าแล้ว นางจะไม่แสดงความจิตใจดี กำจัดภัยร้ายให้ประชาชนได้อย่างไร
คืนนี้เดือนดับลมสูง ลมเบาพัดผ่านต้นหลิว เป็ใจต่อการปลิดชีพคนนัก
มู่จื่อหลิงเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่พร่ามัว ดวงตากระจ่างใสทอรอยยิ้มอันไม่มีพิษมีภัย
ในตำหนัก น้ำเสียงของฮองเฮาอบอุ่น ทว่าแฝงแววข่มโทสะเอาไว้ “แผนการพวกเราแยบยลเพียงนั้น นางเด็กหน้าเหม็นนั่นหลบเลี่ยงไปได้อย่างไรกัน?”
ดวงตาของซุนมามาหรี่ลงเล็กน้อย น้ำเสียงมีความมั่นใจ “บ่าวถามมาแล้ว ยามนั้นอันตรายถึงชีวิต ไร้ซึ่งหนทางหลบหลีกอย่างสิ้นเชิง ฉีหวางเฟยต้องถูกคนช่วยชีวิตไว้เป็แน่”
ฮองเฮาลุกพรวดพราดขึ้นมา ตบโต๊ะ น้ำเสียงมีโทสะ “เหอะ! ที่เปิ่นกง้าฟังมิใช่สิ่งนี้ เปิ่นกง้ารู้ว่ายายเด็กหน้าเหม็นถูกผู้ใดช่วยชีวิตไว้?”
เมื่อพูดถึงเื่นี้ ฮองเฮาก็โมโหจนมิอาจปกปิด
มู่จื่อหลิง ยายเด็กหน้าเหม็นผู้นั้นช่างลื่นไหลนัก โชคดีจริง
ตอนนั้นเมื่อได้ยินแผนที่รอบคอบแยบยลของซุนมามา นางก็คาดไว้ว่ามู่จื่อหลิงต้องหนีไม่พ้นแน่
นักฆ่าที่ซุนมามาเชิญมานั้นมักใหญ่ใฝ่สูง นางถึงขนาดมั่นใจว่าครั้งนี้จะกำจัดมู่จื่อหลิงได้ในที่สุด ไม่คิดว่าตอนท้ายก็จะยังเกิดเื่เลวร้ายได้
มู่จื่อหลิงเข้าไปหากู่ในป่าสายหมอก นั่นเป็โอกาสลงมือที่ดียิ่ง ยามนี้เสียไปแบบเปล่าประโยชน์จะมิให้นางโกรธเคืองได้อย่างไร?
และเพื่อกำจัดยายเด็กหน้าเหม็นนั่น ทุกครั้งนางล้วนลงทุนลงแรง ทว่าทุกครั้งกลับขาดทุนย่อยยับ จ่ายไปมิได้อันใดกลับมา จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร?
ที่แท้ฮองเฮาที่อ่อนโยนสง่างาม เมื่อมีท่าทางเลวร้าย ดูไปแล้วก็ช่างทำให้คนชิงชังนัก มู่จื่อหลิงบนหลังคาสั่นศีรษะฟึดฟัดอย่างอดไม่อยู่
ท่าทีะเิโทสะของฮองเฮานี้ ดูไปแล้วรื่นหูรื่นตาจริงๆ
อยู่ส่วนลึกของวัง ฮองเฮาเสแสร้งเช่นนี้มาหลายปีโดยไม่เกรงว่าจะเป็อัมพาต สตรีวังหลังช่างน่าเศร้าสลด น่าสงสารจริงๆ
ในชั่วขณะนี้ ใบหน้ามู่จื่อหลิงมีประกายรอยยิ้ม แสดงความเห็นใจอย่างสุดซึ้งต่อสตรีในวังหลัง แม้จะทรงเกียรติและมั่งคั่งไม่สิ้นสุด ทว่าต้องแย่งชิงความโปรดปราน แลกทั้งชีวิตไปกับความเดียวดาย
ซุนมามารีบก้าวไปปลอบประโลมฮองเฮา ตบหลังนางอย่างแ่เบา “เหนียงเหนียงโปรดคลายโทสะ คิดว่าคนผู้นั้นต้องเป็ยอดฝีมือแน่ บ่าวได้ให้คนไปสืบหาแล้ว คงได้รู้ในเร็วๆ นี้”
ฮองเฮาลูบหน้าอกที่ขึ้นลง พยักหน้า นางเองก็รู้ว่ายามนี้มิใช่เวลามาโมโห แต่นางก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
เพราะเหตุนี้นางถึงอยู่ในตำแหน่งนี้มาได้อย่างมั่นคง ตนเองสู้รบอยู่ที่วังหลัง แผนร้ายใดบ้างที่ไม่เคยใช้
หลายปีมานี้สตรีแบบใดบ้างที่นางไม่เคยพบเห็น ตอนนี้แม้แต่ยายเด็กหน้าเหม็นต่ำต้อยผู้หนึ่งก็ยังจัดการไม่ได้ นางมิเคยล้มเหลวเช่นนี้มาก่อน
นี่มันกี่ครั้งแล้ว ไม่มีสักครั้งที่สำเร็จ และทุกครั้งล้วนทำให้มู่จื่อหลิงหนีไปได้อย่างชาญฉลาด
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเหมือนนางกำลังตัดชุดแต่งงานให้มู่จื่อหลิง ให้มู่จื่อหลิงได้ผลประโยชน์ไปโดยเปล่าๆ
เื่รักษาหลงเซี่ยวหนานก็ทำให้ฮ่องเต้เชื่อถือมู่จื่อหลิง ทั้งยังประทานป้ายทองละเว้นโทษตายให้ หากเป็เช่นนี้ต่อไป ภายหลังคงไม่ได้การแล้ว?
ฮองเฮาที่อยู่ดีกินดี สู้รบปรบมือในวังหลังมาหลายปีไหนเลยจะคาดว่ามู่จื่อหลิงจะมิใช่สตรีไร้สมองขี้ขลาดในวังหลังที่ทุกวันเอาแต่แต่งตัวแย่งชิงความโปรดปราน
ไม่ได้กำจัดมู่จื่อหลิงไปหนึ่งวัน ฮองเฮาก็ไม่สามารถวางใจได้ไปอีกหนึ่งวัน
เดิมคิดว่ามู่จื่อหลิงเป็เพียงมดที่ฉลาดเล็กน้อย จัดการได้ก็สิ้นเื่แล้ว
ไม่คิดว่าตราบจนบัดนี้ยังจัดการไม่ได้ แล้วทำให้นางรู้ว่ามู่จื่อหลิงไม่ธรรมดา ความสามารถที่สำแดงออกมาในแต่ละครั้งล้วนน่าประหลาดใจขึ้นเรื่อยๆ จนนางรับไม่ไหวอยู่บ้าง
อีกอย่าง มู่จื่อหลิงสามารถถูกผู้อื่นช่วยชีวิตไว้ในป่าสายหมอกที่รกร้างมีสัตว์ร้ายเพ่นพ่านได้ ก็แปลว่าข้างกายนางมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือ ต่อไปคิดจะลงมือกับนางก็คงยากแล้ว
ฮองเฮาสูดลมหายใจเข้าลึก ค่อยๆ สงบลง หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง
นางมองซุนมามา มุมปากยกเป็รอยยิ้มอันน่าขนลุก “รังนกที่นำไปให้ฉีหวางเฟยก่อนหน้านี้คงเย็นแล้ว นานเพียงนี้ เปิ่นกงเป็ห่วงร่างกายของฉีหวางเฟย ควรเชิญนางมาดื่มรังนกได้แล้ว”
ในเมื่อการลอบสังหารล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า มาเผชิญหน้ากันตรงๆ ใครก็ว่าไม่ได้
แต่ ดูจากตอนนี้มีเพียงนางที่เสียเปรียบ เช่นนั้นนางก็ไม่รังเกียจที่จะใช้วิธีเดิมอีกครั้ง
ฮองเฮาที่น่าสงสารกลับไม่รู้เลยว่า ในเวลาอันใกล้นี้ นางจะต้องเสียใจเพราะวิธีการเก่านี้จนตับพัง
และเพราะความทุกข์ทรมานที่ต้องจ่ายออกไปนี้ ความเ็ปนี้ ทำให้นางเสียใจไปทั้งชีวิต สลักลึกเข้าไปในกระดูก
ซุนมามายิ้มอย่างชั่วร้าย นางพยักหน้า พูดอย่างเคารพนอบน้อมว่า “ฮองเฮา เวลานี้มืดแล้ว บ่าวจะปรนนิบัติพระองค์เปลี่ยนฉลองพระองค์แล้วเข้าบรรทมเถิดเพคะ”
บนหลังคา ั์ตามู่จื่อหลิงฉายแววเสียดสี มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็น แผนร้ายแบบเดียวกันใช้ครั้งเดียวก็พอแล้ว ยังคิดจะใช้เป็ครั้งที่สอง?
สุดท้ายฮองเฮาก็ยังคิดว่านางมู่จื่อหลิงเป็คนโง่ ใช้กลอุบายจนถึงที่สุด ยังคงทำให้นางจนปัญญา? คิดจะโจมตีซ้ำ?
้าเชิญไปดื่มรังนก? นางกลับอยากเห็นนักว่าผ่านคืนนี้ไปแล้ว ฮองเฮาจะยังมีน้ำใจเชิญนางไปดื่มรังนกอยู่หรือไม่
มู่จื่อหลิงเอาเสี่ยวไตกูออกมาจากระบบซิงเฉิน สิ่งที่้าในยามนี้ก็คือลิ้นยาวของเสี่ยวไตกูนั่นเอง
เพราะหลังจากที่เสี่ยวไตกูมีพัฒนาการแสงสีม่วงบนร่างเจิดจ้าเป็พิเศษ มู่จื่อหลิงจึงให้เสี่ยวหานเย็บชุดสีดำเล็กๆ ที่พอดีตัวให้มันแล้ว
ชุดสีดำขนาดเล็กถูกสวมลงบนตัวเสี่ยวไตกู แนบสนิท ไม่มีช่องให้ลมผ่าน ปกปิดแสงสีม่วงของมันได้มิดชิด เห็นเพียงดวงตาที่ไม่โดดเด่นและขาทั้งสามข้าง
มู่จื่อหลิงกระซิบกับเสี่ยวไตกูสองสามประโยค
เสี่ยวไตกูไม่ได้ร้องออกมา เพียงขยับตัวเล็กน้อยสื่อว่าตนเองเข้าใจ
ในขณะที่ไข่มุกราตรีเม็ดสุดท้ายในตำหนักคุนหนิงถูกครอบปิด เสี่ยวไตกูก็แลบลิ้นยาวๆ ของมันออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ยื่นเข้าไปในตำหนักคุนหนิงอย่างแม่นยำ
เพียงในชั่วพริบตา ความสว่างสุดท้ายของตำหนักก็ถูกครอบปิด
เงาร่างที่เดิมทียืนอยู่ข้างไข่มุกราตรีก็หายไปตามแสงสุดท้ายของไข่มุก ไร้สุ้มเสียง หายไปตลอดกาล
มู่จื่อหลิงหยิบธูปสะกดจิตไร้สีและกลิ่นที่ทำขึ้นมาเป็พิเศษออกมา
ธูปสะกดจิตลอดเข้าไปในช่อง มู่จื่อหลิงเป่าธูปไปในห้องอย่างระมัดระวัง
ตำหนักของฮองเฮาใหญ่โต ถ้าเป็ธูปหอมธรรมดาคงกระจายไปไม่ถึง แต่ถ้าเป็ธูปสะกดจิตชั้นดี ผลลัพธ์ก็ไม่ใช่เล่นๆ
ฮองเฮากำลังนอนอยู่บนเตียง พลิกตัวไปมา ดูเหมือนจะกระสับกระส่าย นอนไม่หลับในตอนกลางคืน
ทว่า ในเวลาไม่ถึงครู่หนึ่ง ฮองเฮาก็เข้าสู่ห้วงนิทราลึก แน่นิ่ง
มู่จื่อหลิงนำกู่ควบคุมใจที่ปรับปรุงแล้วให้เสี่ยวไตกูคาบอยู่ในปาก ให้มันป้อนเข้าไปในปากฮองเฮา กำชับไม่ให้มันกลืนลงไป
เนื่องจากเสี่ยวไตกูสวมชุดดำคับแน่นเล็กน้อย ไม่สามารถะโขึ้นได้ มู่จื่อหลิงจึงผูกเชือกไว้รอบขาหลังเล็กๆ ของเสี่ยวไตกูแล้วค่อยๆ หย่อนลง
มู่จื่อหลิงยังคงหมอบดูสถานการณ์ในตำหนักอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ
ในเวลานี้เอง เย่จื่อมู่ที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นมาอย่างไร้สุ้มเสียง ดวงตาเปล่งประกาย บ่นพึมพำ “ไอ้หยา เหมือนจะมาแล้วจริงๆ ด้วย”
เสียงของเขาเล็กนัก มู่จื่อหลิงได้ยินอย่างเลือนรางไม่ชัดเจน นางหันศีรษะไปอย่างงงงัน ถามไม่มีเสียง “พ่อค้าหน้าเื เ้าพูดอะไร...มา อะไรมา?”
เย่จื่อมู่คาดไม่ถึงว่าหูของมู่จื่อหลิงจะไวเพียงนี้ เขาเกือบจะถูกทำให้ใเข้าแล้ว ส่งเสียงไอออกมาทันที “ข้าพูดว่าท่านค่อยๆ ทำ ไม่ต้องรีบร้อน”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้