ในหุบเขาแห่งเมฆพายุ มีฝูงชนจำนวนมากกำลังมุงกันอยู่ที่ลานประลองเป็ตาย
เหนือลานประลองเป็ตายมีพื้นที่กว้างขวางอยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งในพื้นที่นั้นล้วนคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนจำนวนหนึ่ง ที่มีกลิ่นอายอันยากจะคาดเดาได้ พวกเขาทั้งหมดกำลังจ้องมองลงมายังลานประลองเป็ตาย
พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็คนที่มีฐานะสูงส่งในนิกายหยุนไห่ การทดสอบปีนี้แม้แต่ท่านประมุขหนานกงหลิงก็ยังให้เกียรติมาชมด้วยตัวเอง
การทดสอบถือว่าเป็เื่ที่สำคัญมากสำหรับนิกายหยุนไห่ ซึ่งทุกปีพวกเขาจะจัดขึ้น 2 ครั้ง ในการทดสอบครั้งแรกจะจัดขึ้นเพื่อให้ศิษย์สายนอกได้มีโอกาสแสดงฝีมือ และก้าวเข้าสู่การเป็ศิษย์สายใน และจะให้ศิษย์สายในที่แข็งแกร่งได้แสดงฝีมือของตัวเองออกมา เพื่อก้าวขึ้นไปเป็ศิษย์หลักของนิกาย
กฎคือ ท้าประลอง แพ้แล้วคัดออก
ศิษย์สายนอกที่อยากจะเข้าไปเป็ศิษย์สายใน จะต้องท้าประลองกับศิษย์สายในคนหนึ่ง ถ้าชนะก็จะได้เป็ศิษย์สายใน ส่วนศิษย์สายในที่แพ้ ไม่เพียงแค่ถูกคัดออก แต่ยังเสียหน้าอีกด้วย
การทดสอบศิษย์สายในก็เช่นกัน ถ้าศิษย์สายในอยากจะเข้าไปเป็ศิษย์หลัก พวกเขาจะต้องท้าประลองกับศิษย์หลักคนหนึ่ง หากชนะก็สามารถกลายเป็ศิษย์หลักได้อย่างเต็มภาคภูมิ ชื่อเสียง สถานะ รวมไปถึงเกียรติยศก็จะพุ่งทะยานขึ้นมา
กฎนั้นเรียบง่ายมาก ผู้ชนะจะสามารถหยิ่งผยองอยู่บนลานประลองได้ ส่วนผู้แพ้จะถูกคัดออก
กล่าวได้ว่าในหนึ่งปีจะมีเพียงวันนี้เท่านั้นที่ศิษย์สายนอก ศิษย์สายใน และศิษย์หลักมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา
ส่วนการทดสอบรอบที่สอง จะเป็การจัดอันดับของศิษย์สายนอก ศิษย์สายใน และศิษย์หลัก
ไม่ว่าจะเป็ศิษย์สายนอก ศิษย์สายในหรือศิษย์หลัก ถ้าหากสามารถติดอันดับ 1 ใน 10 คนแรกของแต่ละสาย พวกเขาจะได้รับความสำคัญและการดูแลจากนิกาย
นอกจากนี้สามอันดับแรกของศิษย์แต่ละสายจะได้รับรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็หินหยวน เม็ดยาหรืออาวุธชั้นยอด แม้กระทั่งอาจจะได้รับเคล็ดวิชาระดับสูง
แน่นอนว่าสำหรับศิษย์สายในหรือศิษย์หลักที่ถูกกำจัด พวกเขาจะไม่สามารถเข้าร่วมการทดสอบจัดอันดับได้ ใครที่ถูกกำจัดก็เหมือนถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องได้รับแต่ความอัปยศ ด้วยเหตุนี้ศิษย์ทุกคนที่ถูกท้าทาย จึงทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อเอาชนะผู้ท้าทายให้ได้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยากได้รับความอัปยศ!!!
หากมีความแข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าที่จะท้าทาย!!!
ตอนที่พวกหลินเฟิงมาถึงลานประลองเป็ตาย การประลองก็เพิ่งจะเริ่มขึ้น และบังเอิญเป็รอบของศิษย์สายนอกท้าประลองกับศิษย์สายใน
ในตอนนั้นบนลานประลองเป็ตาย มีเงาคนสองคนกำลังประลองกันอยู่
“นั่นมันหลิ่วเฟยนี่ ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินข่าวลือมาว่านางเพิ่งบรรลุของเขตแห่งจิติญญา ดูเหมือนว่าข่าวลือพวกนั่นจะเป็ความจริง นางทั้งงดงาม แถมยังแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ จะดีเพียงใดกันนะถ้าข้าได้นางเป็ภรรยา…”
หานหมานกล่าวด้วยท่าทางโง่งม ขณะที่กำลังมองดูการต่อสู้ของหลิ่วเฟย แน่นอนว่าหลิ่วเฟยเป็สาวในฝันของศิษย์ชายหนุ่มรุ่นเยาว์ทุกคน ไม่ว่าใครก็อยากจะได้หลิ่วเฟยเป็สาวคนรักของตัวเอง ด้วยรูปร่างหน้าตาและความแข็งแกร่งของนาง ทำให้มีชายหนุ่มมากมายตามจีบนางไม่หยุดหย่อน ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งทั้งในศิษย์สายในหรือศิษย์หลัก
“จะรอช้าทำไม??? ไม่ลองไปขอนางดูล่ะ” หลินเฟิงมองหานหมานอย่างมีเลศนัย เ้าหมอนี่ช่างกล้าดีจริงๆ ที่คิดจะขอหญิงสาวแบบนั้นมาเป็ภรรยา
“ฮ่าๆๆ ข้าไม่ได้กินหญ้านะ ข้ารู้ดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับนาง” หานหมานหัวเราะออกมา พลางเกาหัวตัวเองแกรกๆ จากนั้นเขาก็มองไปที่หลินเฟิงและกล่าวว่า “แต่ข้าว่า ถ้าเป็เ้าล่ะก็ จะต้องคู่ควรกับหลิ่วเฟยอย่างแน่นอน คนหนึ่งสวย คนหนึ่งหล่อ สมกันจะตาย อีกอย่างพวกเ้าทั้งสองล้วนมีพร์ที่ล้ำเลิศราวกับเกิดมาเพื่อคู่กัน”
“ข้าเนี่ยนะ?” ทันใดนั้นหลินเฟิงรู้สึกหนาวเย็นะเืและขนลุกขึ้นมา
หลินเฟิงเงยหน้าขึ้นและจ้องเขม็งไปที่เหนือลานประลองเป็ตาย เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนจะไปหยุดชะงักที่คนคนหนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววอำมหิตขึ้นมา
“ม่อเสีย เ้าเตรียมล้างคอไว้ได้เลย” หลินเฟิงแสยะยิ้มอย่างเ็า เขาอยากจะโผล่เข้าไปร่วมการทดสอบเดี๋ยวนี้ เพราะอยากจะรู้ว่าม่อเสียจะทำสีหน้าอย่างไร เมื่อเห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่
ขณะเดียวกันม่อเสียที่ยืนอยู่้าก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง เขากวาดสายตามองไปยังลานประลองเป็ตาย เพื่อค้นหาที่มาของความรู้สึกแปลกๆ นี่ แต่ทว่าก็ไม่พบอะไร ดังนั้นจึงได้แต่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
ตอนนี้เองหลังจากประลองกันมาอย่างยาวนาน ในที่สุดหลิ่วเฟยก็ปลดปล่อยจิติญญาของตัวเองออกมา และได้รับชัยชนะในที่สุด ทำให้เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มขึ้นมา หลินเฟิงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าเล็กน้อย นี่เป็อภิสิทธิ์สำหรับสาวงาม
ถึงแม้ว่าหลิ่วเฟยจะได้เป็ศิษย์สายในแล้ว แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกภูมิใจอะไรนัก นางกวาดสายตามองไปรอบๆ และถอนหายใจออกมา นางได้บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาแล้ว อีกทั้งยังสามารถปลุกจิติญญาของตัวเองให้ตื่นขึ้นได้ แม้ว่าตอนนี้นางจะมีจิติญญาแบบเดียวกับท่านพ่อในวัยหนุ่ม แต่นางก็ไม่สามารถเอาชนะคนคนนั้นได้อยู่ดี
น่าเสียดายจริงๆ ที่หลินเฟิงถูกแผนร้ายของผู้าุโม่อเสียสังหารไป
“ถ้าเขายังอยู่ที่นี่ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เขาจะต้องโดดเด่นกว่าใครแน่ๆ”
ไม่รู้ว่าทำไม จู่ๆ หลิ่วเฟยก็คิดถึงหลินเฟิงขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขาจะมีบางมุมที่น่ารังเกียจ แต่พร์ของเขานั้นเป็ของจริง!!!
ถ้านางเลือกได้ นางอยากจะท้าสู้กับหลินเฟิงมากกว่าเอาชนะศิษย์สายใน และก้าวเข้าไปเป็ศิษย์สายใน
ในเวลาเดียวกัน บนหุบเขาแห่งหนึ่ง ผู้าุโเป่ยกำลังจ้องมองไปที่หลิ่วเฟย ที่เพิ่งคว้าชัยชนะมาได้ด้วยสายตาเอ็นดู
“พร์ของเฟยเฟยไม่เลวเลย แต่ถ้าเทียบกับหลิ่วชั่งหลันแล้ว ยังแย่กว่าเล็กน้อย ในอนาคตคงไม่อาจสืบทอดวิชาความรู้จากบิดาของนางได้ ชีวิตในเมืองหลวงของนางหลังจากนี้จะต้องยากลำบากแล้ว”
ความคิดมากมายได้หลั่งไหลเข้ามาในหัวของผู้าุโเป่ยอย่างรวดเร็ว ‘เมืองหลวง’ เพียงแค่นึกถึงสองคำนี้ ผู้าุโเป่ยก็หลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมา สถานที่แห่งนั้นเป็ศูนย์รวมของกลอุบายอันหยาบช้ามากมาย หากวันหนึ่งหลิ่วเฟยไม่มีหลิ่วชั่งหลันคอยปกป้อง เกรงว่านางอาจจะถูกกลืนในสักวัน
“เดิมทีข้า้าพาหลินเฟิงไปยังเมืองหลวง หากเป็ที่แห่งนั้นจะต้องทำให้หลินเฟิงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับการขัดเกลาจากผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง อนาคตข้างหน้าเขาจะได้คอยช่วยเหลือชั่งหลันได้ แต่ว่า...”
เมื่อผู้าุโเป่ยคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็ทอประกายอำมหิตขึ้นมา ม่อเสีย ไอ้บัดซบ!!! สิ่งที่ผู้าุโเป่ยรู้สึกเสียดายมากที่สุดก็คือ การที่ไม่สามารถสังหารไอ้แมลงตัวนี้ได้
หลินเฟิงไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากคิดถึงเขา ในขณะนั้นเขาก็สังเกตเห็นคนคนหนึ่ง
“หลินเฟิง เ้าก็อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้” จิ้งหยุนเดินเข้าไปหาหลินเฟิงด้วยสายเป็ประกาย
“นั่นสิ บังเอิญอะไรเช่นนี้” หลินเฟิงมองจิ้งหยุนด้วยรอยยิ้ม สำหรับหลินเฟิงแล้ว หานหมานกับจิ้งหยุนเป็สหายที่ดีที่สุดสำหรับเขา
“มันไม่ใช่เื่บังเอิญ แต่มันเป็โชคชะตา” หานหมานกล่าวด้วยรอยยิ้มซุกซน “จิ้งหยุน ทั้งๆ ที่ข้าตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่ม แต่ทำไมเ้าถึงเห็นหลินเฟิงก่อน แทนที่จะเป็ข้าล่ะ?”
“เอ่อ...” หลินเฟิงมองหานหมานด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ความจริงแล้วเ้าไม่ได้ซื่อตรงอย่างที่เ้าแสดงออกมาใช่ไหม???
“ใครรู้จักคนอย่างเ้ากัน?” จิ้งหยุนมองค้อนใส่หานหมาน ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“เอาล่ะๆ ถ้าเ้าไม่รู้จักข้าก็แล้วไป แต่จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งชอบลากข้าไปตามหาหลินเฟิงทุกวันเลย เอ๋ คนคนนั้นเป็ใครกันน้า” หานหมานพูดหยอกล้อขึ้นมา ทำเอาหลินเฟิงถึงกับพูดไม่ออก หานหมาน นี่เ้าเปลี่ยนเป็คนแบบนี้ั้แ่เมื่อไรกัน?
“ข้าจะไปรู้เหรอว่าผู้หญิงคนนั้นเป็ใคร!!!” จิ้งหยุนตอบกลับด้วยใบหน้าที่เเดงระเรื่อ ท่าทางเขินอายนี้ทำเอาหานหมานหัวเราะลั่น
พั่วจวินที่ยืนอยู่ข้างๆ มองไปที่หลินเฟิงด้วยรอยยิ้มขมขื่น ชายคนนี้เป็ที่รักของใครหลายๆ คนจริงๆ
“พวกเ้าเงียบๆ กันหน่อยได้ไหม ข้าเหม็นกลิ่นปากพวกเ้าเต็มทนแล้ว”
ตอนนี้เองได้มีเสียงตะคอกดังขึ้นมา ทำให้บรรยากาศดีๆ ของหลินเฟิงถูกทำลายหายไป
เมื่อหลินเฟิงหันไปมองก็พบว่าเป็เสียงของศิษย์สายในคนหนึ่ง ที่กำลังแบกดาบอยู่ และจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยสายตาอันเย่อหยิ่ง
“ถ้าพวกข้าจะพูด แล้วเ้าจะทำไม?” หานหมานมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโมโห คนคนนี้ช่างไร้มารยาทจริงๆ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้คนอื่นๆ หุบปาก?!
“เ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถสังหารเ้าได้???” ศิษย์ที่แบกดาบอยู่ด้านหลังกล่าว และปลดปล่อยลมปราณอันแข็งแกร่งออกมา
“เป็เ้านี่เอง” หลินเฟิงทักออกมา มันเป็เื่บังเอิญจริงๆ ที่ได้เจอกัน หลินเฟิงจำได้ว่าศิษย์คนนั้น เป็ศิษย์สายในที่โผล่มาช่วยหลิ่วเฟย ตอนที่ไล่ล่าเขาในหุบเขาแห่งเมฆพายุ มันคือ ยู่ฮ่าว ผู้ที่บอกว่าจะฆ่าหลินเฟิงให้ เพียงแค่หลิ่วเฟยขอ
ยู่ฮ่าวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของหลินเฟิง หลังจากที่มองหน้าของหลินเฟิงอย่างละเอียด ก็ค่อยๆ นึกถึงเื่ราวในอดีตออก จากนั้นเขาก็ยิ้มและกล่าวว่า “ครั้งที่แล้วเ้าโชคดีที่ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์จะฆ่าเ้า แต่ครั้งนี้ข้าไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้นนะ รีบๆ ไสหัวไปจะดีกว่า”
“ไม่ได้อยู่ในอารมณ์นั้น?” หลินเฟิงยิ้มอย่างเ็า ตอนนั้นหลินเฟิงได้สาบานกับตัวเองไว้ว่า ถ้าหากได้บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาเมื่อไร เขาจะกลับมาสั่งสอนเ้ายู่ฮ่าว
