อากาศต้นเดือนสี่ เริ่มััได้ถึงกลิ่นอายของฤดูร้อน
ดวงตะวันยามเที่ยงตรงเจิดจ้าแสบเคืองตา
ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เชิงเขา บุรุษอาภรณ์สีขาวสง่างามนั่งพิงเอ้อระเหยบนเก้าอี้ไท่ซือ พัดจีบในมือโบกไปมา
"นายน้อย พวกเขามาแล้วเ้าค่ะ"
สาวใช้เสื้อเขียวที่อยู่ด้านหลังเตือนเสียงเบา
เนตรหงส์ของเมิ่งเฉิงเจ๋อเหลือบขึ้นเล็กน้อย สองพี่น้องคู่นั้นเดินตามหลังต่งชิ่งมาอย่างช้าๆ
คนพี่เปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่ เสื้อตัวสั้นสีแดงสดกับกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อน รูปแบบไม่แตกต่างจากชุดเดิมมาก แต่นางรูปร่างอรชร เอวบางร่างน้อย ดวงหน้าขาวผ่องแต่ดวงตากลับดำสนิท วางตัวเรียบร้อยสงบเสงี่ยม
เมิ่งเฉิงเจ๋อยกมือขึ้นมาลูบคาง สตรีผู้นี้มีความกล้าหาญไม่คล้ายเป็หญิงสามัญทั่วไป
ลวี่หลัวทำกระเป๋าสะพายออกมาั้แ่เมื่อวาน เขาดูแล้วภายนอกดูคล้ายคลึงมาก แต่ส่วนที่เป็รายละเอียด ลวี่หลัวก็ไม่แน่ใจนัก
หลังจากนำกระเป๋าสะพายหลังมาดูหลายรอบ วันนี้เมิ่งเฉิงเจ๋อจึงฉวยโอกาส่พักกลางวัน ให้ต่งชิ่งไปเชิญสองพี่น้องคู่นั้นมา
"คารวะนายน้อยเมิ่ง" เซวียเสี่ยวหรั่นค้อมกายเล็กน้อยให้เขา เซวียเสี่ยวเหล่ยก็เลียนแบบท่าทางของนาง
"ไม่ทราบว่านายน้อยเมิ่งตามพวกเราสองพี่น้องมามีเื่อันใดจะชี้เแนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นแกล้งโง่ เขาไม่มีความเคลื่อนไหวมาสองวัน จะคิดอย่างไรในใจก็สุดรู้ เธอต้องนิ่งไว้ก่อนเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจแปรเปลี่ยน
"คนเจ็บของพวกท่านดี อาการดีขึ้นหรือยัง" ดวงตาของเมิ่งเฉิงเจ๋อไหววูบ ก่อนจะถามเื่นี้ขึ้นมา
"ต้องขอบคุณยาที่นายน้อยเมิ่งมอบให้ บัดนี้อาการของนางดีขึ้นมากแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นพลันนึกได้ว่าตนเองยังติดค้างน้ำใจของผู้อื่นอยู่
"เช่นนั้นก็ดี โจรป่าออกอาละวาด เดินทางข้างนอกจำเป็ต้องระมัดระวัง" เมิ่งเฉิงเจ๋อยังคงอ้อมค้อมต่อไป
"ฮ่าๆ ย่อมเป็เช่นนั้นอยู่แล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นนึกขึ้นได้อีกอย่าง คณะเดินทางของเธอยังต้องตามก้นและอาศัยการคุ้มครองของผู้อื่นอยู่
แค่สองประโยคนี้ ความมั่นใจของเซวียเสี่ยวหรั่นก็เริ่มถดถอย
สาวใช้ยกเก้าอี้กลมเคลือบเงาสีแดงสองตัวเข้ามา เมิ่งเฉิงเจ๋อบอกเป็นัยให้พวกเขานั่งลง
เซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่เกรงใจ ดึงเซวียเสี่ยวเหล่ยลงมานั่ง
เมิ่งเฉิงเจ๋อเหลืองมองกระเป๋าที่หลังของเซวียเสี่ยวเหล่ย แววตาเป็ประกาย
"กระเป๋าสะพายหลังที่ต้าเหนียงจื่อตัดเย็บทั้งเบาและสะดวกสบาย ใช้ใส่เสื้อผ้าและสัมภาระระหว่างเดินทางสะดวกกว่าห่อผ้ามากนัก ไม่ทราบว่าจะขอยืมดูได้หรือไม่"
"ย่อมได้" ไม่ให้เขาดูจะดึงดูดความสนใจผู้อื่นได้อย่างไร เซวียเสี่ยวหรั่นให้เสี่ยวเหล่ยถอดกระเป๋าสะพายส่งให้เมิ่งเฉิงเจ๋อ
เดิมทีเขาคิดว่าสตรีผู้นี้น่าจะบ่ายเบี่ยงไม่ให้ของกับเขาง่ายๆ ไม่นึกว่าครานี้กลับราบรื่น
"ขอบคุณมาก" แม้จะคลางแคลงใจ แต่เขาก็เลือกที่จะปล่อยวางไว้ก่อน แล้วเริ่มพิจารณากระเป๋าสะพายหลังจากด้านนอกไปถึงด้านในอย่างจริงจังรอบหนึ่ง
"นี่... คือสายกลัดรึ" เมิ่งเฉิงเจ๋อลูบคลำไปบนเม็ดกระดุม ดวงตาทอประกายวาววับ
"ไม่ใช่สายกลัด แต่เป็กระดุมไม้" เซวียเสี่ยวหรั่นหรี่ตา ที่แท้ที่นี่ก็มีกระดุมเชือก
"กระดุมไม้?" เมิ่งเฉิงเจ๋อลูบไล้ไปบนเม็ดกระดุมเรียบลื่น ใคร่ครวญในใจ ไม่นึกว่าของสิ่งนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์เช่นนี้ได้ ความคิดช่างแยบยลนัก
เขาพลิกกระเป๋าดูซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายรอบ
"กระเป๋าสะพายแบบนี้ ข้ายังมีอีกหลายรูปแบบ" เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ปิดบัง "ไม่เพียงแต่กระเป๋าสะพายชนิดนี้ ยังอย่างอื่นอีกมากมายอาทิเช่น กระเป๋าคาดรัดอก กระเป๋าสะพาย กระเป๋าถือ กระเป๋าใส่เงิน กระเป๋าเครื่องประทินผิว แต่ละอย่างก็มีประโยชน์ใช้สอยแตกต่างกัน"
เธอนั่งยิ้ม พูดเพียงคร่าวๆ มิได้ลงรายละเอียดลึกมาก
เมิ่งเฉิงเจ๋อพิศมองสตรีตรงหน้าอย่างจริงจัง หญิงสาวเกล้าผมเช่นสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทิ้งปอยผมเล็กๆ ลงมาระกรอบหน้าพรางติ่งหูเล็กๆ ขาวกระจ่างคู่นั้นไว้
โครงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ไม่งามเพริศพริ้งถึงขั้นตะลึงแต่แรกพบ ทว่าดวงหน้ารูปผลแตงเล็กเท่าฝ่ามือกับดวงตากลมโตสีดำสนิท ผิวพรรณขาวกระจ่างปานหิมะ เสื้อสีแดงสดขับเน้นให้ดวงหน้าเปล่งปลั่งเป็สีชมพูระเรื่อ ยิ่งพิศก็ยิ่งไม่อาจละสายตา
นึกมาถึงตรงนี้ก็รีบรั้งสายตาออกมา นี่ตนเองเผลอไผลมองหญิงออกเรือนแล้วจนลืมตัวเพียงนี้เชียวหรือ
เซวียเสี่ยวเหล่ยนั่งเงียบเชียบ ฟังพี่สาวสนทนา ดวงตากลอกไปมาหลายรอบ
"ต้าเหนียงจื่อคล่องแคล่วฉลาดปราดเปรื่อง" เมิ่งเฉิงเจ๋อลองถามหยั่งเชิง "ไม่ทราบว่าท่านค้าขายกระเป๋าเลี้ยงชีพหรือ"
"แฮ่ม ต่อไปอาจจะใช่" เซวียเสี่ยวหรั่นเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง นี่คือปลาติดเบ็ดแล้วใช่หรือไม่
ต่อไปอาจจะใช่? เมิ่งเฉิงเจ๋องุนงง
"นายน้อยเมิ่งคิดเห็นเช่นไรกับตลาดกระเป๋า" เซวียเสี่ยวหรั่นเปิดเผยเจตนา
ดวงตะวันยามเที่ยงส่องแสงเจิดจ้า แม้จะนั่งใต้ร่มไม้ เมิ่งเฉิงเจ๋อก็ยังรู้สึกแสบตา
"ผู้น้อยเพิ่งเห็นเพียงกระเป๋าเพียงแบบเดียว มิกล้าออกความเห็นส่งเดช" เมิ่งเฉิงเจ๋อยังคงอ้อมค้อม
เซวียเสี่ยวหรั่นคลี่ริมฝีปาก ดวงหน้าอาบรอยยิ้มแลดูกระจ่างพร่างพรายภายใต้แสงตะวัน
"ตอนนี้ข้ายังไม่มีเวลามากนัก รอไปถึงเมืองชางตานจะเจียดเวลาทำตัวอย่างสักสองสามชิ้น แต่จะรั้งอยู่เมืองชางตานนานแค่ไหนยังไม่อาจรู้ ดังนั้น..." เซวียเสี่ยวหรั่นยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
เมิ่งเฉิงเจ๋อยิ้มมุมปาก รอยยิ้มเจือไปด้วยเสน่ห์ร้ายกาจ
น่าสนใจ ดูเหมือนสตรีผู้นี้จะสรุปเบ็ดเสร็จไปแล้วว่าเขาสนใจกระเป๋าเหล่านี้
แน่นอนว่าหลังจากดูกระเป๋าสะพายที่นางเย็บ เขาก็สนใจจริงๆ คนทำการค้า จะปล่อยโอกาสทำกำไรไปได้อย่างไร
"งั้นก็ได้ หากต้าเหนียงจื่อทำตัวอย่างเสร็จแล้ว ก็ไปหาผู้น้อยที่ร้านค้าสกุลเมิ่ง ให้ผู้น้อยได้เปิดหูเปิดตา"
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ได้พยักหน้าในทันที เธอจดจ้องเขาและเอ่ยอย่างจริงจัง "ให้นายน้อยเมิ่งดูก็ได้ แต่ว่า... กระเป๋าแบบนี้ง่ายต่อการลอกเลียนแบบ นายน้อยเมิ่งต้องรับปาก หลังจากดูแล้ว ถ้าพวกเรามิได้ร่วมมือกัน หรือไม่ได้รับการยินยอมจากข้า พวกท่านมิอาจทำการค้าขายตามอำเภอใจ"
คำสัญญาของวิญญูชนใช้ได้กับวิญญูชนเท่านั้น เซวียเสี่ยวหรั่นไม่มั่นใจนักว่าเมิ่งเฉิงเจ๋อผู้นี้จะใช่วิญญูชนหรือไม่
ร่วมมือ? เมิ่งเฉิงเจ๋อเข้าใจได้ทันที หยักมุมปากไปด้านหนึ่ง "ตกลง"
คำรับปากเรียบง่ายกลับทำให้เซวียเสี่ยวหรั่นรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
ขณะที่เธอกับเซวียเสี่ยวเหล่ยกลับไปถึงขบวนรถด้านหลัง ทุกคนกินมื้อกลางวันกันหมดแล้ว เหลือแต่พวกนางสองพี่น้อง
ทั้งสองกลัวว่าพวกเขาจะออกเดินทางกันแล้ว จึงกินอาหารอย่างรีบเร่ง
หลังจากนั้นสองเค่อ คาราวานวาณิชสกุลเมิ่งก็เริ่มเคลื่อนตัว
รถม้าโคลงเคลงเคลื่อนไปด้านหน้า เหลียนเซวียนถามถึงสถานการณ์ที่นางไปพบเมิ่งเฉิงเจ๋อ
เซวียเสี่ยวหรั่นเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้เขาฟัง
"เ้า้าร่วมมือกับเขาจริงรึ" เหลียนเซวียนขมวดคิ้ว ปัญญาชน ชาวนา คนใช้แรงงาน พ่อค้าวาณิช พ่อค้ามีเงินทอง แต่สถานะไม่สูง เขาไม่ชอบให้นางไปออกหน้าทำการค้า
"อื้อ ถ้าร่วมมือกันได้ย่อมดีแน่ แต่ถ้าไม่ได้ก็ขายแบบร่างให้พวกเขา ขอแค่ทำเงินได้ก็พอ"
ตอนนี้เป้าหมายสำคัญที่สุดคือรวบรวมเงินมารักษาเขา
เหลียนเซวียนหลุบตา นางทุ่มเทเพื่อเขาขนาดนี้ เขาจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร ทว่า...
นางไม่ควรเอาตัวไปพัวพันทางการค้ากับเหล่าวาณิช
"หากร่วมมือกันจริงๆ ก็ให้ทำในนามของเสี่ยวเหล่ย" เขาเอ่ยหลังจากไตร่ตรองชั่วครู่
"หา? แต่เสี่ยวเหล่ยแค่สิบเอ็ดขวบเองนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นตกตะลึง
"ไม่มีปัญหา แค่ยืมใช้นามของเขาเท่านั้น แต่เ้าไม่อาจเข้าร่วม" เหลียนเซวียนปรายตามองนาง
"เพราะเหตุใดเล่า?" เซวียเสี่ยวหรั่นงงหนัก
"อาจมีผลกระทบที่ไม่ดีต่อเ้าในภายหน้า" เหลียนเซวียนเบือนสายตาหลบอย่างไม่เป็ธรรมชาติ
เหตุใดถึงมีผลกระทบที่ไม่ดี? สีหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นเต็มไปด้วยความงุนงง
