ภายในห้องนอนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้จากสมัยก่อน เสียงหายใจที่แ่เบาคลอเคล้ากับแสงจันทร์นวลที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างเผยให้เห็นเงาของแม่ทัพหยางเจี้ยนที่กำลังจ้องมองสตรีผู้เป็ที่รัก ฮูหยินเหม่ยฟาง นางในสายตาของเขาคือสตรีผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์ยากจะหักห้ามใจ แม้ภายนอกเธอจะดูเรียบร้อยและอ่อนหวานเหมือนดอกไม้ที่เบ่งบานในยามเช้า แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและความปรารถนาที่ราวกับเปลวไฟซึ่งไม่มีวันดับ
แม่ทัพหยางเจี้ยนรู้สึกราวกับได้หวนคืนสู่วัยหนุ่มอีกครั้งในค่ำคืนนี้ ทุกการกระทำของนางช่างดิบเถื่อนและเต็มไปด้วยความเร้าใจ หัวใจเขาสั่นสะท้านตามทุกััและทุกเสียงกระซิบของนาง ราวกับต้องมนต์แห่งความรักและราคะที่ไม่มีที่สิ้นสุด เธอคือต้นกำเนิดของความลุ่มหลงที่เขาไม่อาจปล่อยมือจากไปได้ เสมือนสมบัติล้ำค่าในชีวิตที่ไม่อาจหาได้จากที่ใด
นางผู้ซึ่งดั่งนางพญาที่พร้อมจะพัดพาความรู้สึกอันรุนแรงให้เกิดขึ้นอีกครั้ง แม้เวลาจะล่วงเลยไปเพียงใด ความเร่าร้อนในหัวใจของนางยังคงไม่แปรเปลี่ยน ทำให้เขาไม่เคยหยุดหลงใหลและยิ่งเฝ้าผูกพันมากขึ้นไปทุกวัน
"เหม่ยฟาง...ข้ารักเ้า" แม่ทัพหยางเจี้ยนกล่าวเสียงกระซิบที่แ่เบาและลึกซึ้ง ดวงตาของเขาจับจ้องนางด้วยแววตาที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความรัก ก่อนที่เขาจะดึงนางเข้ามาใกล้และกดจูบอย่างเร่าร้อน ััของเขาส่งผ่านความรู้สึกที่ลึกซึ้งจนหัวใจของนางสั่นไหวไปตามแรงอารมณ์
ฮูหยินเหม่ยฟางหลับตารับจูบของเขาอย่างเต็มใจ ลิ้นของนางค่อย ๆ ส่งตอบรับกลับไปอย่างอ่อนหวานและร้อนแรง เสียงหายใจของทั้งคู่เบาบางแต่แฝงไปด้วยความรู้สึกที่เกินจะหักห้าม นางยิ้มบาง ๆ อย่างเย้ายวน หัวใจเต้นแรงราวกับระบำของเปลวไฟที่พัดผ่านความรู้สึกในหัวใจอันลึกซึ้ง
"ข้าเองก็รักท่านเช่นกัน" เสียงของนางนุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยความปรารถนาที่ไม่มีที่สิ้นสุด
ราตรีนั้นคล้ายกับจะยาวนานกว่าคืนใด ๆ ในชีวิต แม่ทัพหยางเจี้ยนและฮูหยินเหม่ยฟางนอนกอดกันแแ่อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของค่ำคืน แต่ความรู้สึกที่ต่างคนต่างมีให้กันนั้นช่างเร่าร้อนและเต็มไปด้วยแรงปรารถนา
ทั้งสองต่างแอบกระซิบเสียงเบาบอกความในใจผ่านััอบอุ่นและอ่อนโยนที่ส่งผ่านกัน ความอบอุ่นจากกายของอีกฝ่ายคล้ายจะช่วยเติมเต็มหัวใจที่โหยหาอย่างไม่มีวันจางหาย ทุกััของพวกเขาเต็มไปด้วยความรักและความหลงใหลที่เก็บสะสมไว้ตลอดมา ราวกับว่าคืนนี้เป็ค่ำคืนสุดท้ายที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกัน
ค่ำคืนผ่านไปอย่างช้า ๆ แต่เปี่ยมด้วยอารมณ์อันลึกซึ้งที่ยากจะลืมเลือน
ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของกันและกัน แม่ทัพหยางเจี้ยนและฮูหยินเหม่ยฟางต่างเผลอหลับใหลไปท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุขและความรักที่อบอวลในห้องนั้น พวกเขาไม่รู้เลยว่าได้หลับไปั้แ่เมื่อใด เพียงรู้สึกถึงความสงบในหัวใจที่หายากยิ่ง
ยามรุ่งสางมาถึง แสงแรกของวันใหม่ค่อย ๆ ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบไล้ใบหน้าของคนทั้งคู่ เผยให้เห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสงบและความอิ่มเอมจากค่ำคืนที่ผ่านมา แม่ทัพหยางเจี้ยนค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้น เห็นฮูหยินเหม่ยฟางในอ้อมแขนของตน นางนอนหลับตาพริ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มบาง ๆ อันแสนอ่อนโยน
ภาพนั้นทำให้หัวใจของเขาอ่อนโยนและเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง ราวกับเป็การเริ่มต้นใหม่ของความรักที่ไม่จืดจาง
แม่ทัพ หยางเจี้ยนเป็ชายผู้แข็งแกร่งในสนามรบ แต่เมื่อกลับมายังจวน เขากลับกลายเป็บุรุษที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน ยามใดที่มีโอกาสได้ใช้เวลาร่วมกับฮูหยิน เขาจะมอบทั้งหัวใจและความอบอุ่นให้นางเสมอ เหมือน้าเติมเต็มทุกวินาทีที่ขาดหายไปในยามศึกา
เช้านี้ พวกเขานั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกันท่ามกลางบรรยากาศที่เรียบง่ายและเป็กันเอง หยางเจี้ยนคอยตักอาหารให้นางอย่างเอาใจใส่ พูดคุยและแสดงความห่วงใยต่อนางทุกคำที่เอ่ยออกมา เสียงหัวเราะเบา ๆ จากฮูหยินเหม่ยฟางทำให้บรรยากาศยิ่งอบอุ่นยิ่งขึ้น นางมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความผูกพัน หัวใจของนางสั่นไหวไปกับความอ่อนโยนที่เขามอบให้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ระหว่างที่แม่ทัพหยางเจี้ยนและฮูหยินเหม่ยฟางกำลังรับประทานอาหารเช้าในบรรยากาศอันอบอุ่น เสียงของทหารรับใช้ก็ดังขึ้นจากนอกประตูอย่างเร่งด่วน
“ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพ!”
หยางเจี้ยนหันไปมองด้วยความสงบสุขุม แม้จะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแต่เขายังคงรักษาท่าทีอันสงบไว้ได้ เขาวางตะเกียบเบา ๆ ก่อนเอ่ยถามทหารที่เข้ามา “มีอะไรรึ? ว่ามาเถิด” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่มนวล สุขุม
ทหารรับใช้รีบตอบอย่างนอบน้อม “องค์ฮ่องเต้ทรงมีพระประสงค์ให้ท่านแม่ทัพเข้าพบ เพราะมีเื่สำคัญที่้าหารือกับท่าน”
หยางเจี้ยนพยักหน้าเล็กน้อย สายตาหันไปมองฮูหยินเหม่ยฟางด้วยความอ่อนโยน “ข้าคงต้องขอตัวไปเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้แล้ว” เขากล่าวเบา ๆ พร้อมกับจับมือของนางไว้อย่างแ่เบาเพื่อแสดงถึงความห่วงใย
ฮูหยินเหม่ยฟางพยักหน้าเข้าใจ แม้จะมีแววตาเป็ห่วงอยู่บ้าง แต่ก็กล่าวตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “ข้าจะรอท่านกลับมานะเ้าคะ ดูแลตัวเองด้วย”
หยางเจี้ยนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นและมองทหารรับใช้ “นำทางไปเถอะ” เขากล่าวเสียงเข้มและสงบนิ่ง ขณะก้าวเดินออกจากจวนพร้อมเตรียมใจรับมือกับหน้าที่สำคัญที่กำลังรอเขาอยู่
รถม้าคันใหญ่ที่จอดรออยู่ด้านหน้าจวนของแม่ทัพหยางเจี้ยนออกเคลื่อนตัวไปทันที ทหารรับใช้ที่คุมรถม้าต่างเงียบกริบและเร่งมือเต็มกำลัง รู้ดีว่านี่คือคำสั่งจากองค์ฮ่องเต้ที่รีบร้อนยิ่ง ครั้งนี้อาจเป็เื่สำคัญยิ่งเกี่ยวข้องกับชะตาของบ้านเมือง และหยางเจี้ยนเป็บุคคลที่องค์ฮ่องเต้ไว้วางใจที่สุดในการตัดสินใจที่เด็ดขาดเช่นนี้
แม่ทัพหยางเจี้ยนเองแม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ภายในเขาก็อดไม่ได้ที่จะครุ่นคิดถึงเหตุที่องค์ฮ่องเต้เร่งด่วนเรียกเขาเข้าเฝ้าเช่นนี้ ด้วยปกติแล้วองค์ฮ่องเต้ทรงเป็ผู้สงบนิ่งและหนักแน่น ไม่เคยเร่งร้อนเว้นเสียแต่ว่าเื่นั้นสำคัญอย่างแท้จริง
เมื่อรถม้าแล่นผ่านถนนที่ปูด้วยหินและเข้าสู่ประตูวังหลวง ทหารราชองครักษ์ก็เปิดทางอย่างรวดเร็ว หยางเจี้ยนก้าวลงจากรถม้าและพยักหน้าให้แก่ทหารผู้คอยต้อนรับก่อนเดินตรงไปยังท้องพระโรงด้วยท่าทีมุ่งมั่น
ภายในห้องท้องพระโรงที่เงียบสงบ องค์ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าที่แฝงแววตรึกตรองลึกซึ้ง เมื่อเห็นแม่ทัพหยางเจี้ยนเดินเข้ามา องค์ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“แม่ทัพหยางเจี้ยน ข้าเรียกเ้ามาในครั้งนี้เพราะมีเื่สำคัญต่อแผ่นดิน เื่ที่ข้าเชื่อว่าเ้าเท่านั้นที่รับมือได้”
หยางเจี้ยนค้อมศีรษะลงอย่างเคารพและตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “กระหม่อมพร้อมที่จะถวายชีวิตเพื่อปกป้องบ้านเมืองพะยะค่ะ พระองค์โปรดสั่งมาเถิด”
ในห้วงเวลานี้ มีเพียงความมุ่งมั่นและความจงรักภักดีในหัวใจของแม่ทัพหยางเจี้ยน เขาพร้อมแล้วที่จะทำทุกอย่างเพื่อบ้านเมือง
