ฉีเฉินเดินเข้ามาหาจวินหวง ประคองมือของจวินหวงให้ยืนขึ้น หลังจากนั้นก็กล่าวกับเว่ยหลานอิ๋ง "นี่คือแขกคนสำคัญยิ่งของจวนเปิ่นหวาง เฟิงไป๋อวี้"
"คารวะฟูเหริน" ท่วงท่าจวินหวงสุภาพอ่อนโยนและสง่างาม ดวงตาทั้งคู่คล้ายกับจันทร์กระจ่างในคืนเหมันต์ เว่ยหลานอิ๋งเห็นแล้วเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี ยิ่งสายตาของฉีเฉินยามที่มองเขา เต็มไปด้วยความเลื่อมใสชื่นชม นางยิ่งรู้สึกว่าจวินหวงอาจจะกลายมาเป็ศัตรูของตน
แล้วทุกอย่างก็เป็ไปตามคาดหมาย ฮ่องเต้ได้ยินข่าวลือที่แพร่สะพัดในเมืองหลวง ใต้เท้าเว่ยกับกลุ่มขุนนางใหญ่ถกเถียงกันในท้องพระโรงไม่จบไม่สิ้น ในที่สุดก็ยังหาต้นสายปลายเหตุของเื่ที่เกิดขึ้นไม่ได้ หลังเลิกประชุมฮ่องเต้จึงให้คนมาที่จวนเฉินอ๋องเพื่อเชิญฉีเฉินเข้าวัง
ตอนที่จวินหวงจะออกมา เว่ยหลานอิ๋งกล่าวกับนางอย่างไม่ไว้ไมตรี "ข้าไม่สนใจว่าเ้าเป็ผู้ใด แต่ทางที่ดีอย่ามาเล่นลูกไม้กับข้า หากเ้าทำเื่ที่ผิดต่อหวางเหย่ ข้าจะให้เ้าตายอย่างไร้ที่กลบฝังแน่นอน"
จวินหวงหยุดฝีเท้า รู้สึกว่าการที่เว่ยหลานอิ๋งจู่ๆ ก็ตั้งตนเป็ศัตรูโดยไม่มีเหตุผลเป็เื่ประหลาดที่ไม่คาดคิด จึงหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า "คำพูดของฟูเหรินดูเหมือนจะไร้เหตุผล ผู้น้อยอยู่ในจวนนี้มานาน หากคิดร้ายต่อหวางเหย่ แล้วจะมีฟูเหรินในวันนี้ได้อย่างไร?" หลังจากพูดจบก็ไม่ให้โอกาสเว่ยหลานอิ๋งได้สนทนาต่อ หมุนกายเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เว่ยหลานอิ๋งยืนโมโหกระทืบเท้าอยู่ที่เดิมคนเดียว
ไม่นานฉีเฉินก็นั่งเกี้ยวมาถึงในวังหลวง ขันทีนำพาเขาไปยังห้องทรงพระอักษร หลังจากได้รับพระบรมาานุญาตแล้วถึงเข้าไปด้านใน ฉีเฉินคุกเข่าถวายบังคม "ถวายพระพรเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี"
ฮ่องเต้ที่กำลังอ่านพระราชสาส์นอยู่เงยพระพักตร์ขึ้นมองฉีเฉิน ที่คุกเข่าด้วยความเคารพอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะทรงพระอักษรของพระองค์มากนัก แววพระเนตรลึกล้ำเคลื่อนไหวเล็กน้อย ผ่านไปชั่วครู่ถึงทรงรู้พระองค์ และให้ฉีเฉินรีบลุกขึ้น
"ไม่ทราบว่าเสด็จพ่อรับสั่งให้ลูกมาพบมีเื่อันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?" ฉีเฉินมองฮ่องเต้ และรอฟังกระแสพระราชดำรัสของพระองค์
"เรารู้เื่ข่าวลือในเมืองหลวงแล้ว ก็อย่างที่ใต้เท้าเว่ยกล่าวไว้ว่า บ้านเมืองไม่อาจขาดผู้นำ และเราก็ไม่อาจปล่อยให้ตำแหน่งรัชทายาทว่างเว้นไว้นานเกินไปโดยไม่เลือกผู้ใดขึ้นมา เราจะมอบราชกิจใน่สองสามวันนี้ให้เ้าไปจัดการ แน่นอนว่าหากเ้าไม่ทำให้เราผิดหวัง เราก็จะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้แก่เ้า" ฮ่องเต้ทรงมีกระแสรับสั่งให้ขันทีที่ถวายงานปรนนิบัติอยู่ด้านข้างนำพระราชโองการมอบให้แก่ฉีเฉิน ในใจของฉีเฉินรู้สึกลิงโลด แม้ว่าจะรู้สึกกดดัน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย
ไม่นานนัก ข่าวที่ฉีเฉินขึ้นเป็รัชทายาทก็เป็ที่รู้กันทั่วเมืองหลวง พลพรรคของกั๋วจิ้วเข้าเฝ้าหลายต่อหลายครั้งเพื่อให้ฮ่องเต้ถอนพระราชโองการคืน แต่ทว่าในที่สุดก็ต้องพ่ายแพ้กลับไป กั๋วจิ้วก็ถูกลงโทษกักบริเวณอยู่ในจวนของตนเองก็เพราะเหตุนี้ แม้ว่าฮองเฮาจะทรงขอร้องแทนก็ไร้ผล
ฉีเฉินกำลังมีจิตใจฮึกเหิมเปี่ยมด้วยพลัง พระสนมกุ้ยเฟยก็ยิ่งวางอำนาจหยิ่งยโส
ทำตัวเป็ศูนย์กลางของวังหลัง สำคัญตนว่าเป็เ้านายของวังหลังไปแล้วจริงๆ
ราตรีนั้น ฉีเฉินได้เชิญจวินหวงมาร่วมร่ำสุราภายใต้แสงจันทร์ด้วยกัน จวินหวงมองพิจารณาฉีเฉินอยู่เงียบๆ ฉับพลันก็นึกถึงเว่ยหลานอิ๋งขึ้นมา นางรู้ว่าเว่ยหลานอิ๋งคือสิ่งกีดขวางที่ใหญ่ที่สุดของตนเองในการช่วยเหลือฉีอวิ๋นขึ้นครองราชบัลลังก์ แค่่สั้นๆ เพียงไม่กี่วัน เว่ยหลานอิ๋งก็สามารถช่วยให้ฉีเฉินได้ครองตำแหน่งรัชทายาทได้แล้ว หากยังปล่อยให้ก้าวล้ำต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าอีกไม่กี่วันฉีเฉินก็คงได้เป็ฮ่องเต้เป็แน่ สตรีเช่นเว่ยหลานอิ๋งไม่อาจดูเบาได้จริงๆ
เห็นจวินหวงไม่ดื่มสุรา ฉีเฉินก็หน้าเบ้ "วันนี้เปิ่นหวางมีความสุขเบิกบานใจ จึงเชิญน้องเฟิงมาร่วมแบ่งปันความสำราญ แต่น้องเฟิงกลับไม่ไว้หน้า เอาแต่ชมจันทร์กระจ่างฟ้าไม่แตะต้องสุราเลยสักนิด ทำให้เปิ่นหวางรู้สึกเสียใจจริงๆ"
"หวางเหย่กล่าวเช่นนี้ทำให้ผู้น้อยหวั่นใจยิ่งนัก ตอนนี้หวางเหย่เป็รัชทายาทแล้ว ผู้น้อยรู้สึกยินดีกับหวางเหย่ด้วยส่วนลึกจากหัวใจ เพียงแต่..." จวินหวงหยุดเว้น่ไว้ ช้อนตาขึ้นมองฉีเฉินคล้ายจะมีวาจาแต่ลำบากใจจะเอ่ยออกมา
"เพียงแต่อะไร น้องเฟิงมีอะไรจะพูดก็ว่ามาตรงๆ เถิด"
จวินหวงได้ยินเช่นนั้นก็หายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เรียบเรียงถ้อยคำแล้วถึงจะเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง "หวางเหย่ได้เป็รัชทายาทเป็เื่ที่น่ายินดีอย่างยิ่ง แต่ทว่าฟูเหรินแท้จริงแล้วก็เป็ผู้หญิงยิงเรือ นับแต่โบราณกาลมาสตรีไม่อาจก้าวก่ายราชการแผ่นดิน หากยังเป็เช่นนี้ต่อไป ผู้น้อยคิดว่าจะไม่เป็ผลดีต่อหวางเหย่"
ฉีเฉินวางจอกสุราลงครุ่นคิด หลังจากไตร่ครองอย่างถี่ถ้วนแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย "คำกล่าวของน้องเฟิงถูกต้องที่สุด เปิ่นหวางจะจดจำไว้ให้จงดี เอาล่ะ ค่ำคืนพิเศษที่บรรยากาศดีแบบนี้ พวกเรามาร่ำสุราให้สำราญใจกันดีกว่า" พอกล่าวจบฉีเฉินก็ยกจอกสุราขึ้น แล้วยิ้มให้จวินหวง
จวินหวงก็ยกจอกสุราตรงหน้าขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า "ย่อมต้องเป็เช่นนั้น" นางค่อยๆ จิบสุรา แต่สายตากลับมองไปที่ฉีเฉิน ในใจนางรู้ดีว่าฉีเฉินเองก็รู้สึกหวาดหวั่นในตัวเว่ยหลานอิ๋งอยู่ เพียงแต่้าเหตุผลสักข้อมารองรับ และตอนนี้ตนเองก็ได้ให้เหตุผลที่เหมาะเจาะแก่เขาไปแล้ว
เว่ยหลานอิ๋งมีความคิดลึกล้ำละเอียดรอบคอบ ทำให้คนรู้สึกไม่ไว้วางใจ เพิ่มความระวังตนมากขึ้นเป็หมื่นส่วน ระยะนี้จวินหวงไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไรมาก ได้แต่ให้ฉีเฉินออกโรง ดับความเหิมเกริมของนางเสีย
ทั้งสองดื่มสุราชมจันทร์ไปได้ครู่หนึ่ง เว่ยหลานอิ๋งก็ใช้ให้คนมาตามฉีเฉิน ผู้ที่มาก็คือสาวใช้ประจำตัวที่เว่ยหลานอิ๋งพามาจากจวนสกุลเว่ย นางเป็คนฉลาดหลักแหลมใช้ได้ แต่ก็เป็พวกตาสุนัขที่ชอบอวดโอหังเชิดหน้าดูถูกผู้คน
ตอนที่นางเห็นจวินหวงก็เบ้ปาก กลอกตาขาวมองบน แต่พอเดินมาอยู่ต่อหน้าฉีเฉินกลับพลิกสีหน้ามาเป็นบนอบเสียเหลือเกิน "ไท่จื่อ[1] ฟูเหรินกล่าวว่านี่ก็ดึกมากแล้ว นางยังมีธุระอยากจะปรึกษากับพระองค์ จึงเชิญพระองค์กลับห้องเพคะ"
ฉีเฉินรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจเล็กน้อย "เปิ่นหวางรู้แล้ว เ้ากลับไปก่อนเถอะ ข้ากับคุณชายเฟิงจะดื่มกันต่ออีกสักสองสามจอก"
พอเด็กสาวได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งไม่พอใจ เดินเข้าไปยืนอยู่หน้าจวินหวง แล้วกล่าวอย่างไม่รู้จักว่าใครเป็นายใครเป็บ่าว "คุณชายเฟิง ตอนนี้ฝ่าพระบาทเป็รัชทายาทแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะดื่มสุราจนดึกดื่น นอกจากนี้ฟูเหรินกับฝ่าพระบาทเพิ่งจะอภิเษกสมรสกัน คุณชายเฟิงยึดตัวฝ่าพระบาทไว้แบบนี้คงเป็การไม่สมควรหรอกกระมัง?"
"บังอาจ! ใครให้ท้ายเ้าจึงได้กล้าพูดจาแบบนี้กับคุณชายเฟิง? ลืมไปแล้วหรือว่าตนเองมีสถานะอะไร?" ฉีเฉินตวาดเสียงเข้ม เด็กสาวหวาดกลัวจนเข่าอ่อนล้มพับลงไปคุกเข่าที่พื้น ตาแดงน้ำตาร่วงเผาะกล่าวแต่ว่าตนเองผิดไปแล้ว
จวินหวงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ กล่าวว่า "หวางเหย่อย่าโมโหไปเลย ที่นางกล่าวมาก็มีเหตุผล เป็ผู้น้อยที่คิดไม่ถี่ถ้วนเอง เอาอย่างนี้แล้วกัน ผู้น้อยขอลากลับก่อน หวางเหย่จะได้ใช้เวลาอยู่เป็เพื่อนฟูเหรินให้มากๆ" กล่าวจบนางก็ประสานมือคารวะแล้วเดินออกไปจากศาลา
ฉีเฉินแค่นเสียงเย็นเยียบใส่สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น "ที่แท้นายเป็เช่นไรบ่าวก็เป็เช่นนั้น" พูดจบก็สะบัดชายแขนเสื้อเดินออกมาจากศาลา ตรงไปหาเว่ยหลานอิ๋ง เขาอยากจะดูว่าเว่ยหลานอิ๋งมีเื่อะไรจะคุยกับตนกันแน่
เว่ยหลานอิ๋งเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จพอดี พอรู้ว่าฉีเฉินกลับมาก็รีบออกไปต้อนรับ เห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก ในใจนึกว่าคงเป็เฟิงไป๋อวี้คนถ่อยผู้นั้นกวนโทสะทำให้หว่างเหย่อารมณ์เสีย ใบหน้าของนางก็ยิ่งแย้มยิ้มเบิกบานขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน "ฝ่าพระบาทเป็เช่นนี้ เป็เพราะถูกเ้าคนไม่รู้ดีชั่วเฟิงไป๋อวี้ยั่วโมโหมาใช่หรือไม่? ฝ่าพระบาทจะต้องหัวเสียไปไย หากเขาล่วงเกินฝ่าพระบาทจริงๆ พระองค์ไล่ตะเพิดเขาไปให้พ้นเสียก็สิ้นเื่"
ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้แววตาของฉีเฉินก็เยียบเย็น สายตาที่มองเว่ยหลานอิ๋งราวกับน้ำแข็งเหมันต์ เว่ยหลานอิ๋งสั่นสะท้านไม่รู้ว่าตนเองกล่าวอะไรผิดไป
"เปิ่นหวางว่าทางที่ดีเ้าควรจะกลืนคำพูดที่เพิ่งพ่นออกมากลับไปดีกว่า" ฉีเฉินกล่าวอย่างหมางเมิน
เว่ยหลานอิ๋งรู้สึกสับสนเล็กน้อย นางมองฉีเฉินอย่างอึ้งงัน ไม่เข้าใจว่าตนเองพูดอะไรผิด อ้าปากค้างอยู่นานถึงจะกล่าววาจาออกมา "เหตุใดฝ่าพระบาท ทรงปกป้องเขาเช่นนี้ ฝ่าพระบาทควรจะเชื่อในสัญชาตญาณสตรี เฟิงไป๋อวี้ไม่ใช่คนดิบดีอะไร ไม่แน่ว่าภายหน้าเขาอาจจะก่อเื่กำเริบเสิบสานขึ้นมาก็ได้ ทางที่ดีฝ่าพระบาทควรจะขับไล่เขาออกไปจากจวนเสียแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่มาทะเลาะกับอิ๋งเอ๋อร์เช่นนี้"
"พอได้แล้ว" ฉีเฉินตวาด เขาไม่อาจทนฟังใครพาดพิงถึงจวินหวงในทางไม่ดีได้ สายตาเย็นเยียบจ้องมองเว่ยหลานอิ๋งอยู่ชั่วครู่ ถึงกล่าวต่อไป "เ้ารู้หรือไม่ว่าั้แ่ต้นน้องเฟิงได้ออกอุบายมากมายแค่ไหนเพื่อช่วยเปิ่นหวาง? หากไม่ใช่เขา มีหรือที่เปิ่นหวางจะได้รับความไว้วางพระทัยจากเสด็จพ่อง่ายดายถึงเพียงนี้? เปิ่นหวางคิดว่าเ้าก็เป็แค่ผู้หญิงยิงเรือ ผมยาววิสัยทัศน์สั้น ในเมื่อเป็เช่นนี้ ต่อไปเ้าอย่ามาก้าวก่ายราชการแผ่นดินอีก" พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจากห้องนอน ทิ้งเว่ยหลานอิ๋งไว้คนเดียว
เว่ยหลานอิ๋งยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกรอดๆ เล็บคมจิกเข้าไปในอุ้งมือที่กำแน่นแต่ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้สึกเจ็บ ในชั่วนาทีนั้นนางเกลียดชังจวินหวงเข้ากระดูก ยิ่งรู้สึกว่าจวินหวงเป็ตัวหายนะ จะปล่อยให้อยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้ต่อไปไม่ได้
พอออกจากห้องนอนมาแล้ว ฉีเฉินรู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆ จึงเดินเรื่อยเปื่อยไปยังเรือนข้างอันเป็ที่พักของจวินหวง เว่ยเฉี่ยนคิดจะปิดประตูอยู่พอดี เมื่อเห็นฉีเฉินก็ขมวดคิ้วยุ่ง แต่เพียงพริบตาเดียวสีหน้าก็กลับมาเรียบเฉยไร้อารมณ์ดังเดิม แล้วเดินมาคารวะอย่างนอบน้อม
"น้องเฟิงหลับแล้วหรือ?" ฉีเฉินถาม
เว่ยเฉี่ยนมองไปทางสวนด้านข้างแล้วก็ส่ายหน้า "คุณชายยังไม่หลับ กำลังนั่งจิบชาอยู่ในสวนด้านข้างเพคะ"
ฉีเฉินพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในสวน เว่ยเฉี่ยนรีบเดินตามหลังเข้าไปทันที
แท้จริงแล้ว จวินหวงกำลังเท้าศีรษะแหงนหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า อาภรณ์แพรต่วนตัวยาวทำให้เขาให้ความรู้สึกคล้ายเทพเซียนที่ห่างไกลจากควันไฟโลกมนุษย์ ฉีเฉินยืนตะลึงเล็กน้อย อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าที่งดงามอ่อนหวานของนางชวนให้คนคะนึงหา
"น้องเฟิงช่างสง่างามยิ่งนัก ราวกับเทพเซียนที่ลงมาจุติในโลกมนุษย์ หากเป็สตรีแล้วไซร้ จะต้องเป็โฉมสะคราญล่มเมืองเป็แน่"
จวินหวงได้ยินเสียงก็ได้สติกลับมา ลุกขึ้นประสานมือคารวะ แล้วกล่าวเรียบๆ "หวางเหย่กล่าวชมเกินไปแล้ว สามัญชนคนธรรมดาเช่นผู้น้อยไหนเลยจะกล้ารับคำชื่นชมเยี่ยงนี้"
"น้องเฟิงถ่อมตัวไปแล้ว" กล่าวจบฉีเฉินก็นั่งลงตรงข้ามกับจวินหวง เป็การบ่งบอกให้จวินหวงนั่งลงเช่นกัน จวินหวงรินน้ำชาให้เขาถ้วยหนึ่ง ฉีเฉินพลันย่นคิ้ว "น้องเฟิงเคยกล่าวมิใช่หรือว่าการดื่มชาในตอนกลางคืนเป็สิ่งไม่ดี แล้วเหตุใดวันนี้กลับมาดื่มชาเสียเองเล่า?”
จวินหวงก้มศีรษะลงมองใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วย แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย "ผู้น้อยว่างๆ ไม่มีอะไรทำ คืนนี้อย่างไรก็นอนไม่หลับ ไม่สู้มาดื่มชาให้ผ่อนคลาย เป็ความเลินเล่อของผู้น้อยเอง หากหวางเหย่ทรงถือสาเื่นี้ ก็อย่าดื่มชาจะดีกว่า" พูดจบจวินหวงก็ยื่นมือเข้ามาหมายจะหยิบถ้วยชาของฉีเฉินไปเททิ้ง แต่ฉีเฉินยื่นมือมาห้ามไว้
"ไม่ใช่ปัญหาอันใด คืนนี้เปิ่นหวางก็นอนไม่หลับ หากน้องเฟิงไม่รังเกียจ เช่นนั้นเปิ่นหวางก็ยินดีจะอยู่ชื่นชมดวงจันทร์เป็เพื่อนน้องเฟิงเอง" ฉีเฉินกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ แล้วชิงเอาถ้วยชาจากมือของจวินหวงไปจิบเล็กๆ คำหนึ่ง
จวินหวงนึกระอาใจอยู่เงียบๆ แต่ใบหน้ามิได้ลดรอยยิ้มลงเลยแม้เพียงส่วนเสี้ยว นางพยักหน้า แล้วสั่งให้บ่าวในเรือนข้างไปเตรียมขนมมาเล็กน้อย ฉีเฉินรู้สึกผ่อนคลาย เลียนแบบท่าทางแหงนหน้ามองพระจันทร์ที่อยู่บนศีรษะของจวินหวง ในใจก็เกิดความคิดไปหมื่นพันประการ
จวินหวงเป็ผู้อยู่เป็เพื่อนที่ประเสริฐ นางไม่กล่าวสิ่งใดเลยสักประโยค เพียงแค่รินน้ำชาให้เป็ครั้งคราวยามที่ถ้วยชาเหือดแห้งเท่านั้น บางครั้งเขามีคำถามมานางก็ตอบไป ไม่ถามฉีเฉินสักคำว่าเพราะเหตุใดถึงมา แต่จวินหวงเป็ใคร ด้วยสติปัญญาเฉียบแหลมของนางจะไม่รู้เชียวหรือว่าเขาหัวเสียเพราะทะเลาะกับเว่ยหลานอิ๋งมา เพียงแต่นางแสร้งทำเป็ไม่รู้เท่านั้นเอง
ฉีเฉินเพียรแต่คิดว่าจวินหวงไม่รู้เื่ราวของตน แต่เขาหรือจะล่วงรู้ความคิดลึกซึ้งของสตรีได้
..............................................................................................................
[1] ไท่จื่อ หมายถึง รัชทายาท