การอยู่โดยลำพังในแดนต้าโหมวเทียนด้วยชื่อของศิษย์ผู้เฒ่าร้องไห้ก็ไม่มีความกังวลใจอะไร แต่ในสามปีนี้ตนเองจะต้องเป็หนึ่งในสามสิบหกขุนพล์ให้ได้ ในหลายเื่จึงไม่สามารถออกตัวได้ เมื่อมีหวังจงและหลิวเจ๋อ เื่ทุกอย่างก็ดูจะสะดวกขึ้นมาก
หากตนเองได้เข้าไปยังเมืองเทียนโหมวชั้นใน และปล่อยให้พวกเขาสองคนอยู่ที่เมืองเทียนโหมวชั้นนอก อาจเกิดเื่ที่ไม่คาดคิดขึ้นได้ เขาเป็เพียงสองคนในแดนต้าโหมวเทียนที่ฉินอวี่รู้จัก ฉินอวี่จึงไม่้าให้เกิดเื่ขึ้นกับพวกเขาเพราะสาเหตุจากตนเอง และหากให้สองคนนั้นมาเป็คนใกล้ชิดของตนเองก็ไม่เลวเลยทีเดียว
สำหรับเื่คุณสมบัติของทั้งสองคนว่ามีอะไรบ้างนั้น ฉินอวี่ไม่ค่อยสนใจอะไร คุณสมบัติที่พูดถึงบางครั้งอาจจะสำคัญมากกับ่ต้นของการฝึกฝน แต่ผู้ฝึกตนคนหนึ่งจะไปได้ไกลเพียงใด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติที่มี ส่วนมากแล้วคือ ความเข้าใจ ความโชคดี และการสรรค์สร้าง ฉินอวี่ก็เป็เช่นนี้ เขามีคุณสมบัติที่ไม่เอาไหน แต่สามารถฝึกฝนตนเองจนสามารถมาได้ถึงจุดนี้ แต่คิดว่าในแดนคุ่นหลงซิงเฉินคงมีไม่มากนัก
นอกจากนี้ แม้แต่เด็กชายคุณสมบัติทั่วไปอย่างหวังชิงยังสามารถก่อตั้งสำนักขึ้นมาได้ หวังจงและหลี่เจ๋อก็สามารถทำได้ไม่ต่างกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี่ หวังจงและหลิวเจ๋อก็ไม่อยากเชื่อหูของตนเอง ดวงตาของทั้งสองเบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความใ ต่างไม่อยากเชื่อและซาบซึ้งใจ แม้แต่หวังจงที่มักนิ่งเฉยเองก็ยังตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
ก่อนหน้านี้ที่ฉินอวี่ หลิงซวี และสยงถูแตกแยกกัน ทำให้ในใจของหวังจงซาบซึ้งใจแต่ก็ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในตนเอง โดยเฉพาะคำพูดของบรรดาผู้ฝึกตน ทำให้หวังจงรู้ชัดว่าสถานะของฉินอวี่นั้นสูงส่งเหนือกว่าที่จินตนาการไว้มากเพียงใด และก่อนหน้านี้เมื่อได้ยินว่าหลิงตู้และสยงถูไปรับแส้ฆ่าัทั้งห้าจริงๆ ยิ่งทำให้หวังจงใมากขึ้น
ด้วยสติปัญญาของเขา เขาย่อมรู้แน่นอนว่าหลิงตู้และสยงถูจะต้องไปรับแส้ฆ่าั หลิงตู้หวังและสยงเทียนโห่วล้วนต้องรู้เช่นกัน จนถึงกับให้ผู้แข็งแกร่งสองคนขอช่วยให้ทั้งสองคนไปเอามา!
ในขณะกำลังสับสนนั้น ในใจของหวังจงก็เอาแต่ตัดพ้อตัวเอง และถึงแม้ว่าฉินอวี่จะให้เขาและหลิวเจ๋อออกไป แต่พวกเขาก็ไม่บ่นหรือไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ฉินอวี่จะไม่อยู่ห่างไกลพวกเขาสองคน แต่ยังได้ขอให้ชิงเยว่หวังพาพวกเขาสองคนเข้าไปยังเมืองเทียนโหมวชั้นในด้วย... สิ่งนี้ทำให้หวังจงรู้สึกตื้นตันและประทับใจมาก แต่มีเพียงเจ็ดสิบสองอสูรธรณีขึ้นไปเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าไปยังเมืองเทียนโหมวชั้นใน!
หากไม่มีอะไรอย่างอื่นเกิดขึ้น เมืองเทียนโหมวชั้นในแห่งนี้เป็สิ่งที่หวังจงไม่เคยคิดที่จะเข้ามาเลย!
ในตอนนี้ หวังจงมองไปทางฉินอวี่ด้วยสายตาที่หนักแน่น เขากำลังคิดอะไรในใจ ก็คงมีแต่ตนเองเท่านั้นที่รู้ แต่นับจากนี้ไป พวกเขาจะต้องกลายเป็คนปรนนิบัติฉินอวี่
เมื่อเทียบกับหวังจงที่กำลังมีความคิดซับซ้อน หลิวเจ๋อกลับเป็คนไม่คิดอะไรมากเลย เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้จนเกือบจะเป็ลมหมดสติไป แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา เขาหายใจอย่างหนักหน่วง มองไปยังหลัวชิงเยว่ที่มีใบหน้าเ็าด้วยความกังวล และมองไปทางฉินอวี่อย่างซาบซึ้ง
หลัวชิงเยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางนึกไม่ถึงว่าฉินอวี่จะขอให้หวังจงและหลิวเจ๋อไปที่นั่นด้วย ถึงอย่างไรที่แห่งนั้นก็คือแดนเทียนโหมวชั้นใน แม้จะเป็อสูรธรณีอารักขาก็ไม่มีสิทธิ์ได้เข้าไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนเล็กๆ ขั้นเทียนชุ่ยธรรมดาอย่างพวกเขาสองคนเลย แต่คำพูดของท่านพ่อของนางก็ดังก้องในหูตลอดเวลา หลัวชิงเยว่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “ข้าจะพยายาม ส่วนจะทำได้หรือไม่ได้ไม่ใช่การตัดสินใจของข้า”
“ขอบพระคุณ!” ฉินอวี่แสดงความเคารพ สายตาทั้งสองเปล่งประกาย แต่รอยยิ้มแฝงไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
คำร้องขอนี้ของเขาคือการขอให้พาหวังจงและหลิงเจ๋อเข้าไปในเมืองเทียนโหมวชั้นใน และยังเป็การหยั่งเชิงด้วย แม้ว่าหลัวชิงเยว่จะตอบกลับไปอย่างมีไหวพริบ แต่หากไม่มีอะไรผิดพลาด หวังจงและหลิวเจ๋อจะต้องได้เข้าไปในเมืองเทียนโหมวชั้นในอย่างแน่นอน
จากนั้นหลัวชิงเยว่จึงพาพวกฉินอวี่ทั้งสามคนออกไป มุ่งหน้าสู่เมืองเทียนโหมวชั้นใน ตลอดเส้นทางบรรดาผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่กำลังแอบใช้มโนจิตปกคลุมฉินอวี่ไว้ต่างตกตะลึง หากพูดถึงก่อนหน้านี้ ยังคงเชื่อครึ่งสงสัยครึ่ง แต่ในตอนนี้ เมื่อชิงเยว่หวังปรากฏตัว ก็เป็การยืนยันสิ่งที่ฉินอวี่พูดอย่างไม่ต้องสงสัย
หลี่โหย่วฉาย เป็ศิษย์ของผู้เฒ่าร้องไห้จริงๆ อย่างแน่นอน!
นับั้แ่มาจากเมืองเทียนโหมวชั้นนอกตรงมาถึงเมืองเทียนโหมวชั้นใน มีอสูรอารักขาคอยเฝ้าอยู่เพียงสองคนเท่านั้น แม้หลัวชิงเยว่จะได้รับแต่งตั้งเป็หวัง แต่ก็ไม่กล้าจะฝ่าฝืนกฎ ทำให้พวกฉินอวี่ทั้งสามคนต้องรออยู่ครู่หนึ่ง จนกว่าจะมีรายงานอนุญาตให้นั่งค่ายกลนำส่งเข้าไปยังเมืองชั้นใน
ในระหว่างรออยู่นั้น ฉินอวี่ก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังอสูรเซียนที่สูงตระหง่านดั่งูเา สิ่งที่ทำให้ฉินอวี่ต้องใคือพลังการกดขี่ที่น่าสะพรึงกลัวอยู่เต็มพื้นที่ เพียงสิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าเมืองเทียนโหมวชั้นในแห่งนี้ถูกสร้างออกมาจากอสูรเซียนจริงๆ!
มิอาจรู้ได้ว่าอสูรเซียนตัวนี้มีขนาดใหญ่เพียงใด เมื่อยืนอยู่ข้างล่างนี้ มโนจิตของฉินอวี่ยังไม่สามารถสาดส่องปกคลุมไปได้ทั่วเมืองเทียนโหมวชั้นใน
ผ่านไปไม่นานนัก หลัวชิงเยว่ก็กลับออกมา ในมือถือป้ายคำสั่งออกมาสามป้าย ยื่นส่งให้ฉินอวี่ และพูดขึ้น “ไปกันเถอะ”
ฉินอวี่รับป้ายคำสั่งไว้ และยื่นต่อให้หวังจงและหลิวเจ๋อ ทั้งสองคนถือป้ายคำสั่งไว้และไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในใจไว้ได้ หลิวเจ๋อน้ำตาไหลออกมาทันที พลางร่ำไห้ออกมา “ขอบคุณพี่หลี่ ขอบคุณชิงเยว่หวัง” และหวังจงลืมตัวไปเล็กน้อยเช่นกัน ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด ริมฝีปากสั่น และมองฉินอวี่ด้วยความรู้สึกที่แปลกๆ
“เอาล่ะ ข้าก็คงทำให้พวกเ้าได้เพียงเท่านี้ การฝึกฝนจากนี้ไปก็คงต้องอาศัยตัวพวกเ้าเองแล้วล่ะ รู้หรือไม่?” ฉินอวี่มองไปทางทั้งสองคน และพูดช้าๆ
“หวังจงจะไม่ทำให้พี่หลี่ต้องผิดหวัง” หวังจงพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“พี่หลี่ ท่านวางใจเถอะ หลิวเจ๋อจะตั้งใจฝึกฝนขึ้นเป็เท่าตัว”
ฉินอวี่พยักหน้าเบาๆ และเดินตามหลังหลัวชิงเยว่ไป
ทั้งสี่คนในตอนนี้กำลังตกอยู่ในสายตาที่แปลกประหลาดของอสูรอารักขาทั้งสอง จากนั้นจึงเข้าไปยืนในค่ายกลนำส่งเข้าสู่เมืองเทียนโหมวชั้นใน
ฉินอวี่รู้สึกเพียงว่าฉากที่เขาเห็นเปลี่ยนไป และขณะที่ยังมองเห็นภาพเ่าั้ได้ไม่ชัดเจน กลับรู้สึกได้ถึงพลังอันบริสุทธิ์ที่เหมือนดั่งคลื่นทะเลได้ถาโถมเข้ามา รูขุมขนทั่วทั้งร่างต่างผ่อนคลายลงโดยธรรมชาติ จากนั้นจึงเริ่มดูดซับพลังนี้เข้าไปอย่างตะกละตะกลาม
“พลังิญญาเต๋า! มันคือพลังิญญาเต๋า!” ฉินอวี่ใ พลังชนิดนี้เหมือนพลังงานที่ท่วมท้นอยู่ในแดนลับของสำนักเทียนฉีในอดีต อีกทั้งหากเทียบกับแดนลับแห่งนั้นแล้วยังมีพลังไม่น้อยไปกว่ากันเลย หากได้ฝึกฝนอยู่ในที่แห่งนี้... อย่างน้อยก็จะรวดเร็วกว่าภายนอกถึงสิบเท่า
ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า ในเขตส่วนที่เหลือของจอมอสูรแห่งนี้จะมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับฝึกฝนเช่นนี้อยู่!
ฉินอวี่กวาดสายตามองไปยังเบื้องหน้า ในใจของเขารู้สึกใอย่างไม่สามารถบรรยายได้ จะมีผู้แข็งแกร่งสักกี่คนที่จะสามารถฝึกฝนเพียงลำพังอยู่ในแดนเทียนโหมวชั้นในแห่งนี้ได้? พลังของจอมอสูรที่หลงเหลืออยู่จะมีสะสมอยู่ระดับไหนกัน?
เมื่อได้เห็นภาพของเมืองเทียนโหมวชั้นใน ฉินอวี่ก็ต้องใขึ้นอีกครั้ง เมืองเทียนโหมวชั้นในทั้งหมดเป็ูเาขนาดั์ลูกหนึ่ง และไม่รู้ว่าจะมีขนาดใหญ่เพียงใด แต่ก็ใหญ่จนเกือบจะครองแดนชั้นในนี้ได้ทั้งหมด และไม่รู้ว่าสูงเท่าไร แต่เห็นได้เพียงว่าสูงเสียดฟ้า
เมื่อมองไปคร่าวๆ จะเห็นบ้านเรือนนับหมื่นนับพันตั้งอยู่ตลอดสองข้างทางที่คดเคี้ยว ไม่อาจจะจินตนาการได้ว่าในเมืองเทียนโหมวชั้นในแห่งนี้จะมีผู้ฝึกตนเท่าไร มีผู้แข็งแกร่งซ่อนตัวอยู่มากเพียงใด เกรงว่า นี่น่าจะเป็พละกำลังของจอมอสูรที่ยังหลงเหลืออยู่
ที่ตีนเขาขนาดั์ลูกนี้ มีก้อนหินสลักขนาดั์สูงกว่าสามสิบจ้าง รูปสลักหินสวมชุดเกราะ มีผมยาวประบ่า หินสลักนี้ดูเหมือนมีชีวิต ราวกับคนจริงๆ ที่กำลังเอามือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไปบนฟ้า ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ฉินอวี่มองไปยังรูปสลักหินขนาดั์ด้วยความประหลาดใจ หรือนี่คือจอมอสูรโหมวเซี่ยน? เมื่อคิดถึงจุดนี้ ฉินอวี่ก็กวาดมโนจิตส่องออกไปทันที เพราะอยากรู้ว่าโหมวเซี่ยนมีรูปลักษณ์เป็อย่างไร
เมื่อมโนจิตของเขาปกคลุมใบหน้าของรูปสลักหิน ร่างกายของฉินอวี่ก็สั่นเทา ราวกับถูกสายฟ้าผ่าติดต่อกัน เขาไม่อยากจะเชื่อมโนจิตของเขาที่เผยให้เห็นใบหน้าอันเฉยเมยของรูปสลักหินได้ เมื่อมองดูสายตาอันเฉียบคมราวกับพญาอินทรีนั่นแล้ว เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ชิง... ชิงเยว่หวัง นาง... นางคือจอมอสูรโหมวเซี่ยนหรือ?”
