ทันทีที่ิหยวนรู้ว่าิหลาน้าพบเขาก็ใมาก
“เหตุใดท่านพ่อเ้าถึง้าพบข้า?”
ิเยี่ยไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน นั่งไขว่ห้างกินผลไม้อยู่บนโคนต้นไม้ใหญ่ ฉีกยิ้มกว้างเหมือนประชดพร้อมตอบด้วยคำพูดที่ิหยวนพูดให้เขาเมื่อวาน “ตัวข้าเป็คนอย่างไรมีหรือท่านพ่อข้าจะไม่รู้ เขาย่อมต้องอยากพบผู้ที่อยู่เื้ั”
ิหยวนได้ยินเช่นนั้นยิ่งว้าวุ่นใจจนอยากเตะอีกฝ่ายสักที แต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นไว้ เพราะเขาเป็ผู้มีพระคุณ
บ่ายวันนั้น หวังหม่าเอ๋อร์ก็ได้มาตามหาเขา “เ้าได้ไปก่อเื่อันใดไว้ เหตุใดนายท่านถึงเรียกเ้าเข้าพบ? หึ! ข้าว่าแล้วเชียว ถึงอย่างไรเ้าก็คือเป่ยเหล่าชั้นต่ำอยู่วันยังค่ำ ต่อให้นายท่านเมตตาเ้า ให้โอกาสได้เล่าเรียน ทั้งที่ไม่มีลูกคนงานคนใดในตระิได้รับโอกาสเหมือนเ้า แต่เ้ากลับก่อเื่ให้นายท่านต้องปวดหัวใช่หรือไม่?”
หวังหม่าเอ๋อร์บ่นระหว่างทางพาเขาไปส่งให้บ่าวเฝ้าประตูจวน ถึงหวังหม่าเอ๋อร์จะมีความสุขบนความทุกข์ของิหยวน แต่ก็อดแนะนำอีกฝ่ายไม่ได้ “ทันทีที่เ้าพบนายท่าน ทำสิ่งใดไปก็รีบก้มหัวสารภาพผิด โขกหัวแรงๆ สักสองสามทีไปเลย พ่อแม่พี่น้องเ้าจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนไปด้วย”
คราวนี้คนนำทางพาเขาไปพบเ้านายในจวนดูให้เกียรติเขามากกว่าเดิม ไม่ได้พาเดินลัดเลาะไปตามทางเดินเล็กๆ อีกแล้ว ิหยวนแอบบ่นในใจ
ิเยี่ยยืนรอหน้าห้องโถงหลัก เพื่อพาเขาไปพบท่านพ่อด้วยตนเอง “ท่านพ่อข้าใจดีมีเมตตา เพียงเข้มงวดไปหน่อย เ้าไม่ต้องกังวล ยิ่งเ้าประหม่า ข้าก็จะยิ่งประหม่า”
ิหยวนคิดในใจ "ที่เ้าพูดมาข้าควรรู้สึกดีขึ้นใช่หรือไม่?"
“เ้าเข้าไปก่อน อีกสักพักข้าจะตามเข้าไป แล้วก็อย่าคุยกับข้าเหมือนที่คุยกันตอนนี้ สำรวมกิริยาเหมือนที่เ้าชอบทำยามอยู่ต่อหน้าท่านอาจารย์ ยามเ้าทำเช่นนั้นมันค่อนข้างดูเหมือนคนน่าเชื่อถือจริงๆ”
“อะไรคือดูเหมือน... เดิมทีข้าก็เป็คนน่าเชื่อถืออยู่แล้ว!” ิหยวนเอ่ยแย้งเสียงต่ำ เขาไม่ได้โง่เสียหน่อย
ิหลานกำลังฝึกสมาธิและอ่านตำราเป้าผู่จือ [1] อยู่ในห้อง จู่ๆ พ่อบ้านก็เข้ามารายงานว่าคุณชายสามกับเด็กคนหนึ่งมาขอเข้าพบตามคำสั่ง ตอนนี้รออยู่ข้างนอก พอพ่อบ้านรายงานจบ คนเป็นายจึงสั่งให้ออกไป ทว่าเขากลับไม่ยอมออกไป ทำท่าลังเลว่าควรจะบอกสิ่งที่ตนได้ยินมาดีหรือไม่ “มีอีกเื่ที่ต้องรายงานฝู่จวินขอรับ ตอนที่หวังหม่าเอ๋อร์พาเด็กคนนี้มาส่ง เขาบอกว่าเด็กคนนี้ค่อนข้าง เอ่อ… ค่อนข้าง…”
“มีอะไรจะพูดก็พูดมา”
“ค่อนข้างขี้โม้ขอรับ” พ่อบ้านอธิบายต่อ “หวังหม่าเอ๋อร์บอกว่าเด็กคนนี้ชอบโดดเรียนไปเที่ยวเล่นที่ทุ่งนาอยู่บ่อยๆ พอเขาถามว่าเหตุใดไม่เข้าเรียน ไยถึงไม่สำนึกบุญคุณที่นายท่านเมตตา เด็กคนนั้นก็ตอบว่าเขาจำทุกอย่างที่อาจารย์สอนได้แล้ว ไม่ไปก็ไม่เป็ไร”
ิหลานขมวดคิ้ว นึกรังเกียจในใจ ใต้หล้านี้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนถือเป็แนวทางปฏิบัติอันดีงาม ทั้งที่ยังเป็เด็ก แถมยังเป็เพียงลูกชาวนา แต่กลับอวดดีถึงเพียงนี้ เขาเกิดไม่อยากพบหน้าคนผู้นั้นทันที แต่ติดตรงที่เด็กคนนั้นดันมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซานเอ๋อร์ และยังมีส่วนรู้เห็นในเื่นี้ อย่างไรเสียก็ต้องพบ
ทันใดนั้นเอง บ่าวรับใช้ก็พาเด็กชายคนหนึ่งเข้ามา ิหลานใ รีบสั่งให้จุดตะเกียงทันที ทั้งที่ห้องโถงในยามนี้ก็ไม่ทันได้มืด บ่าวรับใช้ตั้งตัวแทบไม่ทัน รีบจุดไฟบนเชิงเทียนทั้งสี่มุมของห้องโถง แสงเทียนสาดส่องทำให้ห้องสว่างขึ้นทันที
“ผู้น้อยิหยวน ศิษย์ในสำนักศึกษาตระกูลิ คารวะฝู่จวินขอรับ” ิหยวนคำนับเต็มพิธี เพราะิหลานเคยมีตำแหน่งเ้าเมือง ทุกคนจึงต้องเคารพเขาในฐานะฝู่จวิน
ทันทีที่ิหลานเห็นรูปลักษณ์หล่อเหลาเปล่งประกายของคนตรงหน้า ความรังเกียจในใจก็พลันหายไป ยิ่งเห็นท่าทางยามที่เด็กคนนั้นเดินเข้ามาแสดงความเคารพ กิริยามารยาทประพฤติได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ทั้งที่เป็เพียงเด็กอายุสิบขวบต้นๆ แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนต้นหลิวยามวสันต์เหมือนต้นสนยามสารทฤดู แม้ิหยวนสวมชุดผ้าหยาบ แต่กิริยามารยาทสุขุมสง่างามเสียจนผู้คนมองข้ามเสื้อผ้าบนตัว เห็นเขาเป็เหมือนคุณชายรูปงามจากตระกูลชั้นสูง
สิ่งที่ิหลานได้เห็นในวันนี้ ทำให้เขานึกถึงเื่ะเืใจที่ยังอยู่ในใจเขา แม้จะผ่านมานานหลายสิบปี เื่ราวของสหายร่วมสำนักศึกษานามว่า “เผยซูเยี่ย” ย้อนกลับไปปีที่ซูเยี่ยถูกลงความเห็นในงานเลี้ยงเยวี่ยตั้นผิง [2] ว่าเป็บุรุษที่สง่างามที่สุด ผู้คนมักบอกว่าเขาเปล่งประกายราวกับสายฟ้า สูงส่งอ่อนโยนประดุจูเาหยก
ยามนั้นเผยซูเยี่ยกับเซี่ยโหวมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้น คนหนึ่งเก่งบุ๋นอีกคนหนึ่งเก่งบู๊ ผู้คนในสมัยนั้นเรียกพวกเขาว่า “หยกคู่” น่าเสียดายที่เซี่ยโหวอายุสั้น เสียชีวิตระหว่างเดินทางท่องทางเหนือ หลังจากนั้นซูเยี่ยก็เก็บตัว ศึกษาคัมภีร์ ไม่พบปะผู้ใดมาหลายปี ด้วยเหตุนี้ิหลานจึงเสียใจมาก
วันนี้ได้พบเด็กคนนี้ แม้ยามนี้จะยังไม่เป็หนุ่มเต็มตัว แต่ิหลานกล้าพูดได้เลยว่าหากเด็กคนนี้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ได้รับเลี้ยงดูอย่างดี เด็กคนนี้จะต้องเติบโตเป็บุรุษที่สง่างามไม่น้อยกว่าสองคนนั้นแน่นอน
แต่ไม่รู้ว่าเ้าเด็กนี่เป็แค่เด็กไม่เอาไหนจริงหรือไม่ “เ้าคือคนที่บอกว่าจดจำทุกอย่างที่คุณชายตงเลี่ยงสอนได้แล้วใช่หรือไม่? และไม่จำเป็ต้องเข้าเรียนแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ิหยวนสะดุ้งใ รีบคำนับอีกครั้ง “ฝู่จวินเมตตาอนุญาตให้ผู้น้อยได้เล่าเรียนที่สำนักศึกษา นับเป็บุญคุณยิ่งใหญ่ที่ผู้น้อยไม่มีวันลืม ความรู้นั้นมีกว้างขวางและลึกซึ้งเกินกว่าจะกล้ากล่าวว่าศึกษาครบถ้วนแล้ว คุณชายตงเลี่ยงเป็ผู้มีความรู้กว้างขวางและน่าเคารพนับถือ ความสามารถศิษย์มีน้อยนิด ไหนเลยจะกล้าถือดีกล่าวว่าตนเข้าใจถ่องแท้ ทว่าครอบครัวของผู้น้อยฐานะต่ำต้อยและยากจนนั้นเป็เื่จริง ต้องหาเลี้ยงน้องๆ ที่บ้าน แบ่งเบาภาระบิดามารดา ผู้น้อยจึงจำเป็ต้องละทิ้งการเรียนชั่วคราว เพื่อไปเก็บผักเก็บหญ้าที่ทุ่งนา หารายได้ให้ครอบครัว ไม่กล้าปากพล่อยเช่นนั้นหรอกขอรับ ผู้น้อยมีใจใฝ่เรียน ฝู่จวินโปรดให้ความเป็ธรรม”
ิหลานได้ยินเขาตอบเสียงฉะฉาน ทั้งยังมีเหตุมีผลก็พลันแปลกใจมากกว่าเดิม ตอนนี้เขาแน่ใจแล้วว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่คนชอบพูดเกินจริงอย่างที่หัวหน้าคนงานบอกแน่นอน จึงเผลอยิ้มพอใจ “เช่นนั้นข้าขอถามเ้าอีกเื่ เ้าได้ศึกษาสิ่งใดมาบ้างแล้ว?”
“เริ่มจากตำราซ่างซู [3] และตำราหลุนอวี่ [4] ตำราทั้งสองศึกษาหมดแล้วขอรับ ตอนนี้กำลังศึกษาคัมภีร์หลี่จี้ [5] ม้วนที่สอง ท่านอาจารย์ยังให้ยืมตำราชุนชิวจั่วซื่อจ้วน [6] ไปอ่าน สั่งให้ศึกษาด้วยตนเองไปก่อนด้วยขอรับ”
“หืม?” ิหลานเริ่มสนใจในตัวเขา “ยังไม่ทันฝึกเดินก็ฝึกวิ่งแล้ว เช่นนั้นเ้าท่องคัมภีร์หลี่จี้ได้หรือไม่?”
ิหยวนนั่งตัวตรง สายตาแน่วแน่ แต่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต่ำต้อย “ฝู่จวิน้าฟังบทใดขอรับ”
“โบราณ”
---------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ตำราเป้าผู่จือ (抱朴子) หมายถึง วรรณกรรมโบราณเกี่ยวกับลัทธิเต๋า
[2] เยวี่ยตั้นผิง (月旦评) หมายถึง งานเลี้ยงที่จัดขึ้นในวันแรกของทุกเดือน จัดขึ้นเพื่อวิจารณ์บุคคล กวีนิพนธ์ จิตรกรรม และลิปิศิลป์หรือการคัดลายมือ ซึ่งจะเปลี่ยนหัวข้อไปในแต่ละเดือน
[3] ตำราซ่างซู (尚书) หมายถึง ตำราประวัติศาสตร์
[4] ตำราหลุนอวี่ (论语) หมายถึง ตำราบันทึกคำสอนของขงจื่อ
[5] คัมภีร์หลี่จี้ (礼记) หมายถึง คัมภีร์ว่าด้วยเื่พิธีการ
[6] ตำราชุนชิวจั่วซื่อจ้วน (春秋左氏传) หมายถึง บันทึกประวัติศาสตร์สมัยชุนชิว หรือที่เรียกว่าตำราจั่วจ้วน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้