หลังจากหลินฟางเฉาเผลอคิดถึงสถานที่นั้น ในชั่วขณะหนึ่ง เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายเบาขึ้นเหมือนลอยอยู่ในอากาศก่อนที่ทุกอย่างจะจมหายไปในความมืดมิด
สายตาของเธอเบิกโพลงขึ้นทันใดเมื่อรู้สึกถึงพื้นแข็งเย็นที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ทว่าเมื่อลืมตาขึ้นกลับมองเห็นเพียงโครงสร้างโลหะขนาดใหญ่ พร้อมกับแสงสว่างจ้าจนปรับตัวไม่ทัน
ที่นี่…สถานที่แห่งนี้ เธอจำมันได้ชัดเจน
มันคือโกดังขนาดใหญ่ที่เธอเคยตั้งแผงขายของอยู่ด้านหน้าทุกวัน ก่อนที่จะมายังโลกนี้!
แน่นอนว่าฟางเฉาจำมันได้ เพราะอย่างน้อยเธอก็ได้รับเงินเก็บก้อนแรกจากที่นี่ แม้ว่าสุดท้ายตัวเองจะไม่ได้ใช้เงินนั้นเลยก็ตาม แต่ตราบใดที่จุดทำเงินยังอยู่ เธอก็ยังคงมีความหวัง…
หญิงสาวมองไปรอบๆ ด้วยแววตาซับซ้อน
เธอเคยเข้ามาส่งอาหารให้กับคนงานและหัวหน้าคนงานหลายครั้ง จึงคุ้นเคยกับบรรยากาศภายในดี แต่ว่ามันก็ยังคงมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากกับสิ่งที่เห็นตอนนี้
สินค้าที่อัดแน่นกับผู้คนไม่มีอยู่แล้ว ทำให้พื้นที่กว้างใหญ่ค่อนข้างอ้างว้างอย่างแปลกประหลาด
สำหรับเด็กสาว โกดังแห่งนี้ทอดยาวสุดสายตา โครงสร้างขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบมาให้รองรับสินค้าจำนวนมาก เพดานสูงถูกประดับด้วยหลอดไฟที่ยังคงส่องสว่าง สะท้อนกับโครงเหล็กจนทำให้สถานที่แห่งนี้ดูทั้งเงียบเหงาและทรงพลังในเวลาเดียวกัน
บริเวณชั้นหนึ่งของโกดังว่างเปล่า แต่เธอก็ยังจำได้ว่าครั้งหนึ่งมันเคยเต็มไปด้วยกล่องสินค้า รถยก และอุปกรณ์สารพัด
ในมุมหนึ่งใกล้ผนังด้านหลัง เธอสังเกตเห็นโต๊ะไม้เล็กๆ พร้อมเก้าอี้เหล็กตัวหนึ่งที่ยังคงตั้งอยู่เหมือนเดิม บนโต๊ะยังคงมีคราบหมึกจากปากกา จุดนี้คือที่นั่งของนักบัญชีที่มาตรวจรายการสิ่งของ
เช่นเดียวกับทุกสิ่ง มีเพียงโต๊ะกับเก้าอี้ ไม่มีแม้แต่สมุดปากกาหลงเหลืออยู่
หากใครมาพบกับสถานการณ์ตอนนี้ คงกำลังคิดว่าตนเองอยู่ในโกดังร้างที่ปิดกิจการไปแล้ว ทั้งวังเวงและเงียบเหงาจนน่ากลัว แต่ฟางเฉายังคงมองไปรอบๆ อย่างสำรวจ
เธอไม่เข้าใจ
เมื่อไม่กี่วันก่อน แม้จะมีการขนย้ายของออกไปเพราะเริ่ม่วันหยุดยาว แต่โกดังขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่เกือบ 10,000 ตารางเมตรก็ไม่เคยร้าง
มันเป็พื้นที่เก็บสินค้าที่มีขนาดใหญ่เป็อันดับต้นๆ ของเมืองและถูกปรับปรุงให้ทันสมัย คงไม่มีใครจะยอมปล่อยว่างไว้โดยไม่ใช้งาน
แต่...
สิ่งที่เธอเห็นตอนนี้มันคืออะไรกันนะ?
“อือ พี่สาว” เสียงแ่เบาคล้ายปลุกให้ฟางเฉาหลุดออกจากภวังค์
เพียงพริบตาเดียว เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงกลับมา และเมื่อหันมองไปรอบตัว ก็พบว่าร่างของเธออยู่บนฟูกนอนเก่าคร่ำคร่าแล้ว ด้านข้างยังมีเด็กน้อยที่กำลังควานหาบางสิ่งด้วยมือเล็กๆ ทั้งที่ยังหลับตาอยู่
“เสี่ยวฉิน” ฟางเฉาคว้ามือเล็ก ทำให้เ้าตัวปรือตามองและพูดด้วยน้ำเสียงติดจะอ้อน
“หิว..น้ำ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็คว้าขวดน้ำอุ่นด้านข้างมาป้อนเขา หลังจากจิบน้ำไปหลายอึก เด็กชายก็หลับไปอีกครั้งด้วยการกล่อมของพี่สาว
ฟางเฉาคิดอย่างง่วงงุนว่า หลังจากหางานทำได้ เธอควรจะซื้อนมผงหรืออาหารเสริมมาเพิ่มโภชนาการของเซียงฉินบ้าง อย่างน้อยก็จะได้ทำให้เขาแข็งแรงมากกว่านี้
สองพี่น้องผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย และฟางเฉาก็หลงลืมสิ่งที่เพิ่งพบไปชั่วขณะ
ฟางเฉาค่อยๆ ลืมตาขึ้นในยามบ่าย เสียงอื้ออึงของเด็กๆ ทำให้เธอตื่นจากการหลับลึก
เด็กสามคนที่เพิ่งกลับบ้านมาคือลูกๆ ของหลินเหมย คนโตเป็เด็กชายชื่อหรงจื้อคัง อายุ 13 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น คนที่สองเป็เด็กผู้หญิงชื่อหรงหยุนลี่ อายุ 10 ปี กำลังเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลาย
ส่วนคนสุดท้องชื่อหรงจิ้งฮวา อายุ 6 ขวบ กำลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง
“ผมกลับมาแล้ว!” หรงจื้อคังส่งเสียงดังลั่นเมื่อเข้าประตูมา เขาโยนกระเป๋าหนังสือ ก่อนจะวิ่งมาถามหลินเหมย “แม่ครับ มีอะไรให้กินบ้างไหม?”
หลินเหมยออกจากครัวพร้อมกับผ้าเช็ดมือ “กลับมาแล้วเหรอเด็กๆ จื้อคังกินหัวมันต้มนี่รองท้องไปก่อนนะลูก แล้วอย่าเพิ่งออกไปเล่นข้างนอก แม่มีเื่จะคุยด้วย” เธอยัดหัวมันให้ลูกชาย จากนั้นพาลูกๆ มาจับกลุ่มคุยกันอยู่หน้าครัว “ั้แ่วันนี้ ลูกพี่ลูกน้องของลูกจะมาพักอยู่กับพวกเราด้วย ตอนนี้เขานอนพักอยู่ในห้องเพราะเสี่ยวฉินมีไข้นิดหน่อย เขาร่างกายอ่อนแอ พวกลูกอย่าเพิ่งไปกวนเขานะ”
หรงจื้อคังพยักหน้ารับโดยไม่คิดอะไรมาก หรงหยุนลี่เงียบไป แต่หรงจิ้งฮวากลับเบ้ปากและทำท่าไม่พอใจ “แล้วพวกเขาจะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน หนูกับพี่ยังต้องแบ่งที่นอนให้อีกเหรอ? น่าอึดอัดจะตาย!” เธอยังเด็กและแสดงออกโดยไม่เก็บงำ ไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อลูกพี่ลูกน้องที่แม่พูดถึงเลยแม้แต่น้อย
หลินเหมยหน้าเสีย แต่ก็รีบพูดปลอบ “อย่าพูดแบบนั้น พวกเขาเป็ญาติของเรา การช่วยเหลือกันเป็เื่ปกติ”
“แต่ห้องมันเล็กอยู่แล้ว!” เด็กหญิงโวยวายเสียงเบา “หนูไม่อยากให้ใครมาแย่งที่นอนเลย”
“เงียบได้แล้ว!” หลินเหมยดุ “นี่ไม่ใช่เื่ที่ลูกจะมาพูดแบบนี้ อย่าพูดแบบนี้ต่อหน้าฟางเฉากับเซียงฉินเชียว”
ใบหน้าของหรงจิ้งฮวางอง้ำ
หรงหยุนลี่มีนิสัยเก็บตัวและอ่อนโยนกว่า เธอพูดเสียงเบา “ไม่เป็ไรหรอก พวกเขาคงไม่อยู่ในเมืองนานนัก”
หลินเหมยฟังลูกสาวคนรองแล้วก็หนักใจเล็กน้อย หากฟางเฉาหางานไม่ได้ ครอบครัวของเธอคงต้องเลี้ยงดูพวกเขาไปอีก 2-3 ปี ซึ่งอาจจะทำให้ครอบครัวสามีของเธอไม่พอใจ อีกอย่าง ลูกของเธอก็กำลังเรียนอยู่ ค่าอาหารที่เพิ่มขึ้นนั้นแทบจะไม่พอกับรายได้เลย
หลังจากนั้นไม่นาน สามีของหลินเหมยก็กลับมา หรงเทียนเจี๋ยทำงานอยู่ในโรงงานถุงเท้า ชายวัยสามสิบกว่ามีใบหน้าเหมือนคนซื่อสัตย์ที่ดูใจดี เมื่อได้ยินว่าหลานของภรรยามาอยู่ด้วย เขาไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจ แต่ก็เพียงพยักหน้าอย่างไม่แสดงอารมณ์
หลินเหมยถอนหายใจ รู้สึกว่าสามีเป็คนใจกว้างมากพอแล้ว
ฟางเฉาแอบฟังเสียงพูดคุยเ่าั้เงียบๆ ผนังบ้านค่อนข้างบาง เพียงแค่พูดเสียงดังหน่อยก็สามารถทำให้ได้ยินไปจนถึงบ้านข้างเคียง
หลังจากยืนยันว่าครอบครัวนี้ไม่ได้มีการต่อต้านสองพี่น้องมากนัก เธอจึงแกล้งทำตัวว่าเพิ่งตื่นแล้วลุกออกไปช่วยงานในครัว
ระหว่างนั้นเธอยังได้ทักทายหรงเทียนเจี๋ยกับเด็กทั้งสามคนด้วย
หลินเหมยย่อมไม่ปฏิเสธการช่วยนี้ เธอรู้ว่าฟางเฉาเป็เด็กที่ขยันขันแข็งและช่วยงานที่บ้านมาตลอด
หลังจากสองอาหลานทำงานในครัวอยู่พักหนึ่ง อาหารเย็นก็ถูกเตรียมอย่างเรียบร้อย
ฟางเฉาไปปลุกน้องชาย และพาเขามาทักทายกับทุกคน ก่อนที่ทั้งหมดจะกินอาหารมื้อแรกร่วมกัน
หรงจื้อคังไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก ในสายตาของเด็กชาย หลินฟางเฉาเป็ผู้หญิงน่าเบื่อที่ไม่ต่างอะไรกับน้องสาวของเขา ส่วนหลินเซียงฉินก็เป็เด็กป่วย ไม่เห็นจะน่าสนุกเลยสักนิด
หรงหยุนลี่ค่อนข้างเงียบและพูดคุยกับฟางเฉาไม่กี่คำ ส่วนหรงจิ้งฮวาเธอยังคงบูดบึ้งและไม่พอใจที่ถูกแย่งที่นอน
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฟางเฉาก็อาสาล้างจานให้ ส่วนหลินเหมยก็ให้เซียงฉินกินยากับต้มน้ำอุ่นไว้ให้ดื่ม
เมื่อถึงเวลาเข้านอนตอนค่ำ หลินเหมยก็ไปจัดแจงห้องของพวกเด็กๆ อยู่นาน หลังจากกลับมาก็พบว่าสามีเพิ่งอาบน้ำเสร็จและก้มดูบัญชีรายรับรายจ่ายอยู่
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันครบรอบการก่อตั้งของโรงงานแล้ว” หรงเทียนเจี๋ยพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้าจากสมุดบัญชี “หัวหน้าบอกว่าทางโรงงานจะแจกถุงเท้าให้พนักงานทุกคนเพื่อเป็ของขวัญ”
หลินเหมยที่กำลังจะนั่งลงบนเตียงชะงัก เธอถอนหายใจและพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “แจกถุงเท้าอีกแล้วเหรอ? ตอนนี้ก็ใกล้จะเข้าหน้าร้อนแล้ว ใครจะอยากได้ถุงเท้ากันล่ะ? บ้านเราก็มีถุงเท้าเหลือเฟืออยู่แล้ว จะเอาไปทำอะไรอีก?”
หรงเทียนเจี๋ยเผยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “ฉันคิดว่าทางโรงงานคงพยายามประหยัดค่าใช้จ่าย ตอนนี้บริษัทเอกชนก็เริ่มก่อตั้งขึ้นเยอะ สินค้าที่โรงงานของเราผลิตก็ขายไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน อีกอย่าง วิธีนี้ยังช่วยระบายสินค้าที่ค้างสต๊อกอยู่ในโกดังได้อีก”
หลินเหมยฟังแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง เธอเข้าใจว่าหรงเทียนเจี๋ยพูดถูก แต่ในฐานะแม่บ้านที่ต้องดูแลค่าใช้จ่ายในครอบครัว เธอก็อดกังวลไม่ได้ ตอนนี้ที่บ้านมีหลายปากรอกินข้าว เธออยากได้อาหารหรือเงินมากกว่าถุงเท้าไร้ค่าเหล่านี้
“อย่างน้อยฟางเฉาก็ดูเป็เด็กขยัน” หรงเทียนเจี๋ยว่า “ถ้าเธอช่วยแบ่งเบางานบ้านได้บ้าง แบบนี้คุณจะได้ไม่เหนื่อยมาก”
“ฉันรู้” หลินเหมยตอบเบาๆ “แต่เราก็ต้องคิดถึงอนาคตด้วย ฉันไม่อยากให้ลูกๆ ของเรารู้สึกว่าถูกแบ่งปันจนต้องใช้ชีวิตลำบาก โดยเฉพาะจิ้งฮวา เธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเื่พวกนี้”
หรงเทียนเจี๋ยพยักหน้า “จริงอย่างที่เธอว่า จิ้งฮวาเป็เด็กเอาแต่ใจ แต่ฉันเชื่อว่าเมื่อโตขึ้นอีกหน่อย ลูกก็จะเข้าใจเอง”
หลินเหมยเงียบไป “ฉันขอโทษคุณกับลูกที่สร้างปัญหา แต่พี่รองเคยใจดีกับฉันมาก...”
“ไม่ต้องกังวล” ผู้เป็สามีเอ่ยปลอบ “ฉันก็เป็คนมีสำนึกเหมือนกัน ถ้าตอนนั้นพี่รองไม่ได้ควักเงินเก็บของครอบครัวเขามาช่วย ฉันก็คงไม่ได้งานนี้มา ตอนนี้แค่ช่วยเขาดูแลลูกๆ แทนสักพัก ครอบครัวเรายังทนไหว”
หลินเหมยมองเขาอย่างซาบซึ้ง ความหนักหน่วงที่แบกรับพลันเบาบางลงกว่าครึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้