หยวนจุนยิ้มเจื่อนด้วยความใแล้วถามว่า “ท่านปู่ ผู้าุโทั้งสาม ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว...มาหาข้ามีเื่อะไรอย่างนั้นหรือ?”
ชายชราทั้งสี่มองหน้ากัน คิ้วขมวดเข้าหากันทันที
“จุนเอ๋อร์ เมื่อครู่นี้เ้าเห็นใครที่น่าสงสัยบ้างไหม?” หยวนฉางเทียนถามหยวนจุนอย่างจริงจัง
หลังจากได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัยของเขา หยวนจุนจึงมั่นใจ แม้ทั้งสี่จะพบว่ามีคนในสำนักเชื่อมประสานดาวธาตุไฟ แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่าผู้นั้นเป็ใคร
ด้วยเหตุนี้ หยวนจุนจึงพอจะเดาได้บ้าง
นักยุทธ์ต้องมีกระแสปราณและเส้นปราณ ปราณดาราจึงจะแผ่ออกจากร่างกาย ทำให้ผู้อื่นรู้
ถึงขนาดซ่อนพลังยุทธ์แท้จริงไว้ภายในได้ คงต้องมุ่งไปที่ยอดฝีมือพลังยุทธ์ หรือนักยุทธ์ที่มีทักษะพิเศษแล้ว
ถือว่าโชคดี ที่แม้หยวนจุนจะรวมกระแสปราณสำเร็จ แต่ภายในร่างกายไม่มีเส้นปราณเหมือนนักยุทธ์ทั่วไป ปราณดาราย่อมไม่แผ่ออกมาอยู่แล้ว
และความผันผวนของพลังที่ออกมาจากกระแสปราณ ก็ถูกกลุ่มควันเล็กๆ ที่วนรอบกระดาษปริศนาดูดซับไปจนหมด กล่าวได้ว่าหากหยวนจุนไม่มีอักษรลับเก้าตะวันวนอยู่รอบๆ ขณะเกิดการใช้ร่างสร้างปราณ เขาอาจถูกจับได้ว่ามีปราณดาราอยู่ภายในร่างกาย!
หยวนจุนยิ้มพลางส่ายหัว แสดงให้เห็นว่าตนไม่พบใครที่น่าสงสัย ส่วนเื่ที่ว่าทำไมเขายังไม่นอนแม้จะดึกขนาดนี้แล้ว เขาก็แค่หาเหตุผลดีๆ ตอบแบบส่งๆ ไป
หยวนฉางเทียนและผู้าุโทั้งสามตัวแข็งทื่อ พยักหน้าเงียบๆ
ผู้ที่สามารถเชื่อมประสานกับธาตุดาวได้ อย่างน้อยต้องผ่านระดับตะวัน แต่ในเวลานี้ พวกเขาไม่รู้สึกถึงพลังปราณที่แข็งแกร่งของนักยุทธ์เลย จึงเหลือเพียงสองข้อสันนิษฐานที่เป็ไปได้
ข้อแรก คือมีนักยุทธ์ที่ผ่านระดับตะวันแอบเข้ามาที่สำนักิเจี้ยนโดยที่ไม่มีใครรู้ และใช้ที่นี่บ่มเพาะพลังเพื่อเชื่อมประสานกับธาตุดาว
ข้อสอง คือพวกเขาทั้งสี่คนตาฝาด...
จากข้อสันนิษฐานทั้งสอง ข้อแรกเชื่อถือได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่พวกเขาไม่เห็นว่าในสำนักมีพลังปราณจากคนนอกเลย นี่จึงทำให้ทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด และตกอยู่ในความเงียบอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ถึงจะใช้วิธีบางอย่างแต่ก็ทำไม่ได้ทั้งหมด แม้นักยุทธ์จะแข็งแกร่งจนสามารถปิดบังพลังยุทธ์ได้ แต่ก็ไม่มีทางซ่อนพลังปราณได้มิดชิด ในเมื่อไม่มีนักยุทธ์ระดับตะวันในสำนัก หรือว่าผู้เฒ่าอย่างเราจะตาฝาดจริงๆ ?”
ผู้าุโทั้งสามพูดเสียงชัดเจน แก้มสั่นเป็จังหวะ
“เป็ไปได้ไหมว่า ในสำนักิเจี้ยนของเรามีศิษย์ที่เชื่อมประสานธาตุดาวได้?”
“ศิษย์ในสำนักมี 31 คนที่ถึงระดับจันทรา ดูจากคุณสมบัติของพวกเขาแล้ว ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้”
“แต่ลำแสงของดวงดาวที่ส่องอยู่ห่างไปหลายร้อยเมตร ศิษย์ในสำนักจะวิ่งมาที่นี่ได้อย่างไร?”
ทั้งสี่พึมพำเบาๆ สักพัก รู้สึกว่าสงสัยต่อไปอย่างไรก็ไม่มีข้อสรุป จึงส่งสัญญาณมือบอกให้หยวนจุนรีบกลับเข้าห้อง เพื่อไม่ให้กระทบต่อการพักผ่อน
เมื่อมองเงาทั้งสี่จากไปแล้ว หยวนจุนก็ยังตกอยู่ในความเสี่ยง เมื่อวานเขาใช้ทักษะกระบี่เอาชนะวั่นเฮ่าซิงต่อหน้าศิษย์ในสำนักหลายพันคน ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
หากเื่ที่เขาเชื่อมประสานดาวอี้เสอในคืนนี้แพร่งพรายออกไป ถ้าหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้คงต้องแย่จริงๆ
ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าหยวนจุนไม่มีเส้นปราณแต่กำเนิด ในสายตาคนทั่วไป เขาไม่มีทางเป็นักยุทธ์ได้อย่างแน่นอน
“ทำตัวเงียบๆ ก็ไม่ได้ ทำตัวโดดเด่นมากไปก็ไม่ดี”
วันต่อมา หยวนจุนรีบไปที่ประตูใหญ่ของสำนักิเจี้ยน จู่ๆ ก็ได้กลิ่นหอมโชยเตะจมูก เขาหยุดก้าวและเงยหน้ามองร่างงามที่อยู่ในศาลาข้างหน้า ชะงักงันชั่วขณะ
หยวนจุนมองด้วยสายตาไม่แยแสและกำลังจะหันหลังจากไป แต่เสิ่นเฟยเสวี่ยก็เอ่ยปากเรียกให้เขาหยุดก่อน
“ประมุขน้อยโปรดหยุดก่อน” เสิ่นเฟยเสวี่ยก้าวเท้างาม ทิ้งร่องรอยในอากาศ เพียงไม่นานก็ปรากฏตัวต่อหน้าหยวนจุน
“เฟยเสวี่ยมีเื่หนึ่งที่อยากขอคำชี้แนะจากประมุขน้อย แต่เนื่องจากมาเช้าเกินไป ไม่เหมาะที่จะรบกวน จึงทำได้เพียงรอประมุขน้อยอยู่ที่นี่”
หยวนจุนมองไปที่ดวงตางดงามคู่นั้น แต่ในใจรู้สึกหวาดระแวงเป็อย่างมาก กล่าวคือเขาไม่ค่อยประทับใจเสิ่นเฟยเสวี่ยเท่าไร
“หากรู้มาก่อนว่าประมุขน้อยมีทักษะกระบี่ที่ยอดเยี่ยม เฟยเสวี่ยคงขอคำชี้แนะจากท่านแล้ว มิเช่นนั้น คงไม่อับอายพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของวั่นเฮ่าซิงเช่นนี้”
เมื่อเห็นว่าหยวนจุนไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทีภูมิใจ คิ้วของเสิ่นเฟยเสวี่ยก็ขยับลงเล็กน้อยด้วยความรู้สึกแปลกใจ
คนไม่เอาไหนอย่างเขาที่ไม่เคยถูกผู้อื่นชื่นชม หลังจากได้รับคำชมจากหญิงงามอย่างนางแล้ว ทำไมถึงยังแสดงท่าทีเมินเฉย?
ทั้งที่รู้ว่าเสิ่นเฟยเสวี่ยเป็สตรีถือตัว มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วจักรวรรดิ เป็ความภูมิใจของสำนักเสวี่ยเจี้ยนในรอบหลายพันปี และมีลูกหลานตระกูลดังมากมายที่ใฝ่ฝันอยากเห็นรอยยิ้มนาง
แน่นอนว่าการได้รับคำชมจากนาง เป็เื่ที่ไม่มีใครกล้าคิด
แต่การแสดงออกที่ไม่แยแสแม้แต่น้อยของหยวนจุน ทำให้เสิ่นเฟยเสวี่ยแปลกใจ ทั้งยังไม่พอใจอีกด้วย
นางอุตส่าห์ยอมเสียหน้ามาคุยกับหยวนจุน แต่กลับได้รับการตอบสนองที่เมินเฉยเช่นนี้หรือ!
“เื่ที่แม่นางเสิ่น้าพูดมีเท่านี้ใช่ไหม? หากไม่มีเื่อื่นแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
หยวนจุนเพิ่งก้าวเท้า เสิ่นเฟยเสวี่ยก็รีบส่งเสียงตาม “หยวนจุน หรือเ้าไม่อยากสนทนาทำนองกระบี่กับข้า?”
“ไม่มีอะไรให้สนทนา พื้นฐานทักษะกระบี่ของเ้ายังไม่ดีเท่าวั่นเฮ่าซิง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยอยู่ในสายตาข้า ที่ว่าสนทนา เป็การเสียเวลาของข้ามากกว่า”
ทิ้งท้ายประโยคนี้ หยวนจุนก็เดินต่อไปยังประตูใหญ่ของสำนักโดยไม่สนใจ
เสิ่นเฟยเสวี่ยมองหลังของคนหยิ่งผยองนั้นจากไป กัดปากล่างอย่างรุนแรง ใบหน้างดงามเปลี่ยนเป็ขาวซีด “หยวนจุน ข้าจะทำให้เ้าเสียใจภายหลัง! ข้าจะทำให้เ้าต้องชดใช้คำพูดที่เ้าเพิ่งพูดไป!”
เสิ่นเฟยเสวี่ยกัดฟันกรอด สาวเท้าก้าวออกไปคนละทางกับหยวนจุนอย่างรวดเร็ว
“สตรีใต้หล้าล้วนร้ายกาจ รูปโฉมงดงาม พูดจาไพเราะหวานหู แต่ไว้ใจไม่ได้ ดังเช่นคุยจี เสิ่นเฟยเสวี่ยก็ด้วย!”
เมื่อนึกถึงคุยจี ในใจของหยวนจุนก็รู้สึกสับสนวุ่นวาย เขาทาบมือลงบนหน้าอก ใบหน้าที่เ็าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและความขุ่นเคือง
“เมื่อใดที่ข้ากลับวังโต้วเทียน เมื่อนั้นคือเวลาที่เ้าจะต้องจากไป!”
เมื่อออกจากประตูสำนักิเจี้ยน หยวนจุนวิ่งไปตลอดทาง ด้วยความที่เคยฝึกพลังยุทธ์ระดับตะวันวงแหวนใหญ่ กำลังเท้าจึงแข็งแรงเทียบเท่ากับเสือชีตาห์เต็มวัย ไม่นานเขาก็มายืนอยู่บนหน้าผาที่ห่างจากสำนักิเจี้ยนเกือบร้อยลี้
“แม้ว่าข้าจะบรรลุระดับดาราวงแหวนใหญ่ขั้นหนึ่ง หากไม่สำเร็จวิชายุทธ์ ก็ไม่สามารถแสดงกำลังได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเชี่ยวชาญวิชายุทธ์ก่อน!”
นี่เป็เหตุผลสำคัญที่ทำให้หยวนจุนต้องมองหาพื้นที่แห้งแล้งเช่นนี้
เมื่อระลึกความทรงจำ เปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย สุดท้ายเขาก็เลือกวิชายุทธ์เนี่ยผานที่ชื่อว่า ปางมือมรณาเก้าท่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้