หลิวหย่งเป็คนงานยุ่ง แต่เมื่อไรที่ทางบ้านโทรศัพท์มาเขาจะตั้งใจฟังอย่างใจเย็น
หลังฟังสิ่งที่หลี่เฟิ่งเหมยพูดจนจบ หลิวหย่งก็เงียบไปนานพอสมควร “เสี่ยวหลานอยากแยกร้านก็ไม่เป็ไร เด็กคนนั้นมีความคิดเป็ของตัวเอง อย่างไรก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกเราขาดทุน อีกอย่างพวกเราก็ไม่มีทางที่จะทำให้เธอขาดทุนเหมือนกัน เื่นี้รับปากไปก่อนเถิด แต่จะแยกกันดูแลแบบไหน ไว้ฉันไปปักกิ่งแล้วค่อยปรึกษาเสี่ยวหลานดูอีกที”
ครอบครัวเขาสร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างไร
ร้านเสื้อผ้าที่ทำกำไร บริษัทตกแต่งภายในที่มีรายได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หล่นมาจากฟากฟ้า
หลิวหย่งให้เงินห้าสิบหยวนแก่เซี่ยเสี่ยวหลาน ใช้จักรยานขนสัมภาระของหลิวเฟินกับเซี่ยเสี่ยวหลานมายังหมู่บ้านชีจิ่ง ให้ที่พักอาศัยแก่สองแม่ลูก
ไม่ทันไรหลานสาวที่ทั้งฉลาดและรู้จักจดจำบุญคุณ ก็พาคนบ้านนอกเท้าเปื้อนโคลนอย่างครอบครัวเขามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมณฑล
โอกาสต่างๆ ล้วนเป็เซี่ยเสี่ยวหลานที่ให้มา ทางเดินนี้ก็เป็เซี่ยเสี่ยวหลานที่ช่วยปูให้ หลิวหย่งจดจำได้ขึ้นใจ
ครอบครัวเดียวกันย่อมเป็หนึ่งเดียวกัน เงินที่เขาหามาได้ เขาไม่เคยคิดอยากเก็บไว้ใช้เอง
แต่หากเสี่ยวหลานคิดว่าการปล่อยให้เงินปะปนกันเช่นนี้มันไม่ดี อยากแยกออกจากกัน ก็แสดงว่าเธอมีเหตุผลของตัวเอง ร้านเสื้อผ้าที่ซางตู เมื่อเสี่ยวหลานบอกว่าจะยกให้ หลิวหย่งก็กล้าบอกให้หลี่เฟิ่งเหมยรับเอาไว้ ถ้าเสี่ยวหลานอยากได้บริษัทตกแต่งภายในของเขา หลิวหย่งก็จะไม่มีวันขมวดคิ้วปฏิเสธอย่างแน่นอน
หลิวหย่งฝ่าฝันทำงานอยู่ต่างถิ่น ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าหลี่เฟิ่งเหมย การมองโลกจึงกว้างขึ้น
หาเงินได้เท่าไรไม่สำคัญ อย่างไรก็ตามเขาได้เรียนรู้สิ่งอื่นระหว่างการทำงาน ต่อให้สูญเสียบริษัทที่ทำเงินให้ในตอนนี้ หลิวหย่งก็เชื่อว่าตนสามารถลุกขึ้นสู้ใหม่ได้ นั่นเป็เพราะเขารู้จักวิธีการหาเงินแล้ว เขาเริ่มจากคนที่ไม่มีความรู้ด้านตกแต่งภายใน จนกระทั่งกลายเป็คนในแวดวงนี้ หลิวหย่งใช้เวลาหนึ่งปีกว่าในการเรียนรู้และปฏิบัติจริง
เช่นเดียวกับเซี่ยเสี่ยวหลานที่รู้ว่าร้านเสื้อผ้าที่ซางตูเปิดกิจการได้อย่างไร นั่นเป็เพราะั้แ่การสั่งสินค้าเข้าร้าน การตกแต่งภายใน รวมถึงวิธีการกระตุ้นยอดขายต่างๆ ล้วนเป็ความคิดของเซี่ยเสี่ยวหลานทั้งหมด
ไม่มีร้านที่ซางตู เสี่ยวหลานก็ยังสามารถเปิดร้านอื่นได้ นี่ก็คือความสามารถของเสี่ยวหลานที่ไม่มีทางถูกใครแย่งไปได้ หลิวหย่งไม่คิดว่าหลานสาว้าสลัดพวกเขาทิ้งเพื่อหาเงินตามลำพัง เขาดูออกว่าเสี่ยวหลานเพียงอยากส่งต่อความสามารถนี้ให้กับเขาและหลี่เฟิ่งเหมยเท่านั้น ทำให้พวกเขาสองสามีภรรยาไม่จำเป็ต้องพึ่งคนอื่นอีก
ต่อให้ ‘คนอื่น’ ที่ว่าจะเป็เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่ควรพึ่งพา
คนเราต้องยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเอง เหมือนการหย่านมที่ย่าอวี๋กล่าวไว้!
หลิวหย่งพึมพำกับตัวเอง
“ในหนังสือเขียนไว้ดีมากเลยจริงๆ หาปลาให้กิน ไม่สู้สอนวิธีจับปลา...”
นอกจากเื่ตกแต่งภายในแล้ว หลิวหย่งยังได้เรียนรู้วิธีการเข้าสังคม รู้จักวิธีการพูดคุยกับลูกค้า เนื่องจากเขาเรียนมาไม่สูง จะให้หยุดฝีก้าวอยู่ที่เดิมก็คงไม่ได้ หลิวหย่งอ่านหนังสืออย่างสะเปะสะปะ คำคมปลุกใจพวกนี้จึงออกจากปากโดยไม่ต้องคิด
เมื่อได้ฟังความเห็นของหลิวหย่งแล้ว หลี่เฟิ่งเหมยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น
เธอโกรธที่หลิวหย่งซื้อบ้านที่ปักกิ่งโดยไม่บอกกล่าว แต่ไม่ว่าอย่างไรเื่ใหญ่เช่นนี้ก็ต้องปรึกษาเขา เพราะต้องได้ฟังความคิดเห็นของหลิวหย่งเสียก่อนเธอถึงจะมั่นใจ!
—----------------------------------------------
ความจริงเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้คิดมากขนาดนั้น
เธออยากสอนให้พวกเขาจับปลาเองก็จริง แต่หลักๆ เป็เพราะเธอไม่อยากทำอะไรยุ่งยาก แยกกันดูแลร้านจะได้ไม่ต้องเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา
ถ้าธุรกิจย่ำแย่ลงเธอจะได้ไม่ต้องคอยไปอธิบายกับใคร เมื่อก่อนที่ร่วมหุ้นเปิดร้านเพราะเธออยากช่วยฉุดครอบครัวของลุงขึ้นมาจากความยากจน ตอนนี้หลิวหย่งรวยกว่าเธอแล้ว จะให้จับมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อยอีกหรือ
เซี่ยเสี่ยวหลานปรึกษาเื่การตกแต่งร้าน Luna กับเฉินซีเหลียงอย่างคร่าวๆ ร้านเสื้อผ้าที่ซางตูตอนนั้นมีเงินทุนไม่พอ แม้ชาวซางตูจะรู้สึกว่าร้านเสื้อผ้านั้นหรูหรามากแล้ว แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงรู้สึกไม่พอใจ เพราะผู้บริโภคสมัยนี้ยังไม่เคยเห็นโลกกว้างจึงยังไม่ช่างเลือกน่ะสิ แต่ถ้าร้านที่ตกแต่งแบบ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ทำเงินได้ปีล่ะสองแสนหยวนได้นั่นก็คงเป็เื่ตลก!
อย่างแรกที่ไม่ผ่านมาตรฐานคือด้านหน้าร้าน
จะให้เปิดประตูกว้างกลางฤดูหนาว ปล่อยให้ลมหนาวพัดเข้ามาในร้านคงไม่งามสักเท่าไร แต่หากปิดประตูเพื่อกันลมหนาว ลูกค้าที่สัญจรผ่านไปมาคงไม่อาจมองเห็นเสื้อผ้าหลากสีสันด้านใน เช่นนั้นจะดึงดูดคนเข้าร้านได้อย่างไรกัน
ร้านเสื้อผ้าลักษณะนี้ต้องมีกระจกบานใหญ่อยู่ด้านหน้า ไม่บดบังสายตา แต่สามารถกันร้อนกันหนาวได้
ไม่ว่าจะเป็ฤดูไหน อุณหภูมิภายในร้านจะต้องพอเหมาะอยู่เสมอ ลูกค้าเมื่อได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่รู้สึกสบายตัว ย่อมอยากเดินดูของนานยิ่งขึ้น
หากลองชุดหลายๆ ชุด ย่อมเจอชุดที่ชอบเป็พิเศษ จากนั้นก็ควักเงินจ่าย
เครื่องทำความร้อนในฤดูหนาว เครื่องปรับอากาศในฤดูร้อน กระจกหน้าร้าน และแสงไฟในร้าน ของเหล่านี้ล้วนคือสิ่งที่จำเป็ทั้งสิ้น
ปี 1985 ลูกค้าไม่เลือกมาก แม้แต่สินค้าตามแผงข้างทางหรือร้านที่รกรุงรังก็สามารถขายได้ทั้งนั้น
เซี่ยเสี่ยวหลานอยากให้พวกเขาได้ดื่มด่ำกับความหรูหราในราคาที่สามารถจับต้องได้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าการซื้อเสื้อผ้าที่ Luna เป็สิ่งที่มีเกียรติ และจดจำแบรนด์ด้วยภาพลักษณ์นี้ ก็เหมือนที่ว่าทำไมเซี่ยเสี่ยวหลานถึงไปทำธุรกรรมกับผู้จัดการใหญ่อู่ นั่นก็เพราะการบริการของผู้จัดการใหญ่อู่นั้นดีเยี่ยม เซี่ยเสี่ยวหลานเคยได้รับการบริการเช่นนี้แล้วคงไม่ไปหาคนอื่นอีกแน่นอน!
“ลูกค้าเคยเห็นร้านที่ดีแล้วย่อมไม่อยากไปซื้อเสื้อผ้าในร้านที่ไฟสว่างไม่เพียงพอ และตัวร้านดูซอมซอ มีเพียงสถานที่แบบร้านนี้เท่านั้นที่จะสามารถขายเสื้อผ้าที่มีต้นทุนแค่สิบหยวนในราคาที่สูงกว่าหลายเท่า... มูลค่าตราสินค้าของเสื้อผ้าน่ากลัวมากนะ”
ในส่วนที่ว่าหาก Luna หรูหราทั้งภายนอกและภายในเช่นนี้ แล้วร้านเสื้อผ้าประเภทเดียวกันจะอยู่อย่างไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานต้องเก็บมาพิจารณา การแข่งขันทางการตลาดได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หากใช้แต่วิธีการเดิมๆ กับลูกค้า สักวันคงเป็เธอที่จะถูกตลาดทอดทิ้ง!
ระดับรายได้และค่านิยมการจับจ่ายที่ต่างกัน เป็ตัวแบ่งระดับของผู้บริโภค
คนที่ชอบเสื้อผ้าแฟชั่น เดิมทีก็เป็คนมีรายได้สูงอยู่แล้ว เพราะคนที่มีรายได้ต่ำจะไม่เดินเข้าร้านลักษณะนี้ แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเองก็ไม่เห็นด้วยกับการที่พนักงานขายพูดจาดูถูกผู้มีรายได้ต่ำ พอเห็นคนแต่งตัวไม่ดีก็ไม่อยากบริการ ดังนั้นเื่นี้เธอต้องตัดไฟแต่ต้นลม
การอบรมพนักงานนับว่าเป็ศาสตร์อย่างหนึ่ง เฉินซีเหลียงฟังแล้วหัวจะะเิ
“คุณผู้หญิงเซี่ย เื่นี้ให้เธอทำได้หรือเปล่า”
เขาแทบจะแยกร่างอยู่แล้ว หากทำทุกเื่คงไม่อาจดูแลได้ทั่วถึง
อย่างไรก็ตามนี่คือธุรกิจของเฉินซีเหลียงกับโจวเฉิง เซี่ยเสี่ยวหลานจะไม่เป็ห่วงได้หรือ
อบรมพนักงานย่อมได้ ช้าเร็วก็ต้องทำอยู่ดี ไม่ใช่แค่ช่วยเฉินซีเหลียง แต่พนักงานของหลานเฟิ่งหวง เซี่ยเสี่ยวหลานก็อยากอบรมพร้อมกันเสียเลย เธอไม่กลัวพนักงานจะกลายเป็คนฉลาด ลูกน้องยิ่งฉลาด นายจ้างยิ่งสบายไม่ใช่หรือ
ตัวเองมีความก้าวหน้า ธุรกิจมีการพัฒนา สิ่งนี้ย่อมทำให้ลูกจ้างรู้สึกมีความหวัง คิดว่าการทำงานให้เซี่ยเสี่ยวหลานนั้นมีอนาคต เซี่ยเสี่ยวหลานก็จะไม่มีวันขาดพนักงานที่เก่งกาจอย่างแน่นอน
ในเมื่อช้าเร็วก็ต้องทำ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงตบปากรับคำในเื่นี้
ต้องยืนอย่างไร ยิ้มอย่างไรถึงจะดูจริงใจ เซี่ยเสี่ยวหลานมีหรือที่จะไม่รู้!
“่นี้ฉันยังไม่ว่าง อย่างไรคุณก็เลือกคนมาก่อนแล้วกัน ที่หยางเฉิงก็ต้องเปิดร้านเหมือนกันไม่ใช่หรือ ไว้ปิดเทอมฤดูหนาวเมื่อไร คุณค่อยส่งคนที่ใช้งานได้ไปที่ซางตู ฉันจะได้อบรมพร้อมกันทีเดียว”
พนักงานร้านไม่ใช่อาชีพที่มีหน้ามีตานัก จะหาคนมาทำงานต่างถิ่นนั้นไม่ใช่เื่ง่าย ส่วนใหญ่แล้วมักจะจ้างคนท้องถิ่นด้วยกันทั้งนั้น
ร้านของหยางเฉิงย่อมหาพนักงานชาวหยางเฉิงอย่างแน่นอน
ปักกิ่งยังมีอีกสองร้าน ก่อนปิดเทอมฤดูหนาวเซี่ยเสี่ยวหลานจะต้องหาพนักงานที่ยินดีติดตามเธอไป ‘ฝึกอบรม’ ที่ซางตู หลังผ่านการเตรียมพร้อม่ปิดเทอมฤดูหนาว หลังตรุษจีนก็ถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่อย่างแท้จริง เฉินซีเหลียงอยากเปิดกิจการ่ฤดูใบไม้ผลิ เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็อยากให้ร้านเสื้อผ้าของตนเปิดตอนฤดูใบไม้ผลิเช่นกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้