วันนี้พวกจิ่งเซียงไม่มีเรียน จิ่งเซียงต้องไปดูเื่สนุกกับอ๋าวหรานแน่ ส่วนจิ่งจื่อกินซาลาเปาไปสองสามลูกก็หายวับไป อ๋าวหรานคาดว่าคงไปที่ลับที่ไหนสักแห่งเพื่อตามหาเหยียนเฟิงเกอขยับเขยื้อนร่างกายเป็แน่
จิ่งฝานมีเื่ให้ทำอยู่ทุกวัน ดังนั้นนอกจากเื่สมุนไพรที่สามารถอาศัยความจำของตัวเองได้ พวกเื่ ‘ดู ฟัง ดม ถาม จับชีพจร’ นั้นมีแต่ต้องรอให้จิ่งฝานมาสอนถึงจะพัฒนาได้เร็ว ไม่เช่นนั้นก็จะเรียนไปได้ช้ามาก ดังนั้นกลางดึกอ๋าวหรานจึงมักจะหาคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องมาอ่านเอาเอง ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่อย่างน้อยก็ถือเป็การเตรียมตัวก่อนเข้าเรียน ตอนที่จิ่งฝานสอนเขา หากมีการเอ่ยถึงก็จะสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้นเมื่อฟังคาบเรียนของจิ่งฝานกับอ๋าวหรานเสร็จ จิ่งเซียงก็ตกตะลึงมากเช่นกัน สิ่งที่จิ่งฝานสอน อ๋าวหรานสามารถตามทันได้อย่างรวดเร็ว คำถามที่ถามก็ไม่ใช่คำถามโง่งม แต่ดูกว้างขวางลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่เพียงเท่านั้น ตอนที่จิ่งฝานสอนเขาเื่การวินิจฉัยโรคจากการ ‘ดู ฟัง ดม ถาม จับชีพจร’ นั้น ยังถามอีกว่าต้องสั่งยาอะไร ใช้วิธีไหนถึงจะเห็นผลเร็วที่สุด
ถึงแม้เื่หลังๆ อ๋าวหรานจะใช้เวลาขบคิดนานและผิดอยู่บ่อยๆ หรือไม่ก็ไม่ครบถ้วน แต่เื่แรกนั้นตอบได้อย่างรวดเร็วแทบจะไม่มีผิดเลย โดยเฉพาะสมุนไพรที่เขาคุ้นเคยดีแล้วก็สามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว จิ่งเซียงอดนึงถึงเื่ที่เขาบอกว่าจะเป็หมอเทวดาและจะไปให้เหนือกว่านางไม่ได้ เขาไม่ได้พูดเล่นจริงๆ ด้วย
จิ่งเซียงอดเศร้าไม่ได้ “เหตุใดเ้าถึงเก่งถึงเพียงนี้ ทั้งที่เพิ่งไม่นานเ้าก็สามารถจำสมุนไพรได้มากขนาดนี้แล้ว แถมยังใช้เป็อีก เก่งกว่าข้าตอนเด็กที่ใช้เวลาตั้งหลายปีในการจดจำเสียอีก”
อ๋าวหรานบีบจมูกนาง “เื่พวกนี้เทียบกันไม่ได้ ตอนเด็กสติปัญญายังไม่เต็มร้อย ความคิดหลักเหตุผลก็ยังมีไม่มาก ยากที่จะมุ่งสมาธิทั้งหมดไปที่เื่เรียนได้ ต่อให้จำได้ก็คงยากที่จะเข้าใจ แน่นอนว่าพี่ชายเ้ากับศิษย์พี่ข้าถือเป็ข้อยกเว้น”
“แต่ข้าในตอนนี้สามารถควบคุมตนเองให้มุ่งสมาธิไปที่เื่เรียนอย่างเดียวได้โดยไม่สนใจรอบข้าง ยิ่งรวมกับที่ความสามารถในการทำความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น จึงอ่านเข้าใจได้ง่าย ทำความเข้าใจไปจำไปสบายมาก และก็ได้ผลดีด้วย”
จิ่งเซียงถอนหายใจ “ถ้าเช่นนั้นจะให้เราเรียนตอนเด็กไปตั้งมากมายเพื่ออะไร ไม่มีประโยชน์ ไม่เข้าใจ เสียเวลาเปล่า”
“คิดเช่นนั้นไม่ได้หรอก เ้าคิดดู ข้าเอาแต่จำๆๆ จำได้เยอะแต่ก็ลืมได้เร็ว ต้องกลับไปขบคิดอยู่บ่อยๆ เกียจคร้านเพียงสักนิดก็ลืมสิ้นแล้ว” อ๋าวหรานยิ้ม “แต่เ้าไม่เหมือนกัน เ้าจำมันั้แ่เด็ก พอถึงตอนนี้ก็ฝังรากลึกลงไปในสมองแล้ว พอถึงเวลาต้องใช้ก็พูดออกมาได้อย่างเป็ธรรมชาติ แม้ไม่ต้องขบคิดก็ตอบถูก ข้ากลับต้องคิดแล้วคิดอีก ต้องคิดอย่างละเอียด เปลืองสมองมาก”
อ๋าวหราน “อีกอย่าง การที่เรียนมาั้แ่เด็กทำให้เ้าได้ซึมซับวิธีการเรียนที่ดี ไม่เช่นนั้นรอให้เ้าโตก่อนค่อยฝึกก็สายไปเสียแล้ว”
เกี่ยวกับคำพูดของอ๋าวหราน จิ่งเซียงเห็นด้วยเป็อย่างมาก
จิ่งฝานพลิกหนังสือเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าก็เห็นว่าเ้าก็ไม่ได้เปลืองสมองสักเท่าไร ถามอะไรก็ตอบได้อย่างเป็ธรรมชาติ อีกอย่าง เ้าซึบซับวิธีเรียนดีๆ เช่นนี้มาั้แ่เมื่อไร”
จิ่งเซียงหันศีรษะไปมองเขา ท่าทางราวกับจะบอกว่า ‘น้ำแกงที่ป้อน1 ข้าเมื่อกี้นี้เป็ของปลอมอย่างนั้นหรือ’
อ๋าวหรานไม่พอใจที่จิ่งฝานรื้อเวทีเขา2 “ถ่ายทอดแิที่ถูกที่ควรให้แก่เด็กเสียบ้าง อีกอย่างข้าก็เรียนมาั้แ่เด็กแล้ว เพราะความขยันั้แ่เมื่อก่อน วันนี้ถึงไม่ต้องเปลืองสมอง”
ความคุ้นเคยเื่เรียนนี้มีมาไม่น้อยั้แ่เด็กจนโต อนุบาล การศึกษาภาคบังคับเก้าปี มัธยมปลายสามปี มหาวิทยาลัยสี่ปี และไหนยังไปเรียนปริญญาโทอีก ทั้งหมดก็ยี่สิบปี เขาเพิ่งจะใช้ชีวิตมาแค่ยี่สิบแปดปีเอง สุดท้ายเหมือนจะใช้เวลาทั้งหมดให้กับการศึกษาไปแล้ว
จิ่งเซียงชกหน้าอกเขา “เ้าสิเด็กน้อย เ้ากับข้าอายุเท่ากันนะรู้หรือไม่?”
แอ๊ด...แอ๊ด...
“นายน้อย ผู้น้อยมีเื่จะรายงานขอรับ”
อ๋าวหรานถาม “พ่อบ้านหรือ?”
จิ่งเซียงพยักหน้า
อ๋าวหราน “ข้าต้องหลบไปก่อนหรือไม่?”
แต่จิ่งฝานหาได้สนใจเขา ทำแค่พูดไปทางประตูว่า “เข้ามา”
พ่อบ้านผลักประตูเข้ามา ค้อมเอว ท่าทางนอบน้อมอย่างยิ่ง คารวะให้กับทั้งสาม “นายน้อย ผู้คุ้มกันที่หน้าหมู่บ้านรายงานว่าด้านนอกมีแม่นางสองคนมาหานายน้อยและคุณหนูเซียงเซียงขอรับ”
จิ่งเซียงสงสัย “หาข้า? ผู้ใดกัน? ได้บอกชื่อไว้หรือไม่?”
พ่อบ้านยิ้มตอบ “บอกขอรับ หนึ่งในสองคนนั้นข้าน้อยก็รู้จัก เป็แม่นางอิ่นซีเิ เทพธิดาดอกจินมู่ประจำปีนี้ ส่วนอีกท่านเรียกตัวเองว่าหลางฉา ข้าน้อยเองก็ไม่รู้จัก”
ในตอนแรกใบหน้าของจิ่งเซียงยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้ยินชื่อหลางฉาก็เปลี่ยนสีหน้าทันที ย่นจมูกแล้วพูดว่า “เหตุใดหลางฉาถึงมาด้วย?”
อ๋าวหรานสะท้อนใจ เหตุใดหลางฉาถึงไปอยู่กับอิ่นซีเิได้? แค่มาหมู่บ้านสกุลจิ่งก็ยังต้องมาพร้อมกัน รู้สึกเหมือนจะมาเล่นละครตบตีวังหลังกันอย่างไรอย่างนั้น
จิ่งเซียงพูดอย่างดุดัน “ท่านลุงจิ่ง ท่านไปบอกผู้คุ้มกันว่าให้อิ่นซีเิเข้ามาได้ ส่วนหลางฉามาทางไหนให้กลับไปทางนั้น”
พ่อบ้านมีชื่อว่าจิ่งฝู บรรพบุรุษต้นตระกูลมีแซ่ว่าหยาง ต่อมาได้เปลี่ยนแซ่ตามตระกูลจิ่ง ทำหน้าที่เป็พ่อบ้านให้ตระกูลจิ่งมาทุกรุ่น ดูแลเื่ทุกอย่างทั้งเล็กใหญ่ในตระกูลจิ่ง และจะเชื่อฟังเพียงคำสั่งของผู้นำตระกูลหรือผู้นำในอนาคตเท่านั้น
จิ่งฝูก็ฟังออกว่าจิ่งเซียงกับหลางฉาคนนั้นไม่ค่อยถูกกัน แล้วยิ้มเหมือนพระศรีอริยเมตไตรย “คุณหนูเซียงเซียง แม่นางหลางฉาคนนั้นรังแกท่านหรือ? ท่านบอกข้าน้อยมาเถิด ข้าน้อยจะช่วยระบายความโกรธให้ท่านเอง”
ถึงจะบอกเช่นนี้ แต่ก็เป็แค่การโอ๋จิ่งเซียงเท่านั้น สายตาของเขาก็ยังมองไปทางจิ่งฝานราวกับถามความคิดเห็นจากเขา
จิ่งฝานเพียงหันไปมองอ๋าวหรานทีหนึ่ง “เ้าคิดเช่นไร?”
อ๋าวหรานสูดลมหายใจ ปัญหานี้ช่างน่าหนักใจจริงๆ หลางฉาผู้นี้ถือว่าเป็ตัวปัญหาของจริง ถ้าให้นางเข้ามาก็เหมือนเป็การชักศึกเข้าบ้าน ไม่แน่อาจจะก่อปัญหาอะไรให้จิ่งฝานอีก แต่หากไม่ให้นางเข้ามาก็เหมือนกับปล่อยเสือเข้าป่า ยังคงสร้างปัญหาให้จิ่งฝานได้อยู่ดี
หลังจากขบคิดอย่างกลัดกลุ้มอยู่นาน สุดท้ายอ๋าวหรานก็ตอบว่า “ให้นางเข้ามาด้วยเถิด”
จิ่งเซียงโกรธจนโยนหนังสือใส่หัวอ๋าวหราน แต่อ๋าวหรานกลับรับไว้ได้ จึงทำได้แค่พูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เ้ากล้า! ห้ามให้นางเข้ามา”
อ๋าวหรานพูดอย่างเกรงกลัวว่า “สุดท้ายสิทธิ์ในการตัดสินใจก็ยังคงเป็พี่เ้าอยู่ดี”
จิ่งเซียงรีบหันศีรษะไปออดอ้อนทันที “พี่...”
จิ่งฝานยิ้มแล้วลูบหัวนาง หันไปสั่งพ่อบ้านว่า “ให้พวกนางทั้งคู่เข้ามาเถิด”
จิ่งเซียงคิดแล้วว่าต้องเป็เช่นนี้ จึงได้แต่ขมวดคิ้ว กรุ่นโกรธ
ั้แ่ที่จิ่งฝูเข้ามาก็เอาแต่ค้อมเอวก้มหน้า น้อยครั้งที่เขาจะมองไปทางเ้านายตรงๆ แต่ตอนนี้ก็อดเงยหน้าขึ้นมองไม่ได้ นายน้อยของตัวเองเพิกเฉยต่อคำร้องขอของน้องสาวแท้ๆ กลับถามความเห็นของอ๋าวหรานที่เป็เพียงคนนอก แล้วยังทำตามที่เขาว่า ถึงแม้ไม่รู้ว่าหลางฉามีความสัมพันธ์อย่างไรกับเ้านายทั้งสอง แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วคงไม่ใช่สหายกัน เหตุใดถึงยอมให้แม่นางคนนี้เข้ามา
ราวกับรับรู้ได้ถึงสายตาของจิ่งฝู จิ่งฝานเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาแหลมคม “ยังมีเื่อื่นอีกหรือ?”
จิ่งฝูรีบก้มหน้า น้ำเสียงสั่นสะท้าน “ไม่มีแล้วขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ตอนที่หมุนตัวไป เขาก็ถูมือที่จู่ๆ ก็มีเหงื่อออก ่นี้สายตาของนายน้อยยิ่งกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
...
หลังจากจิ่งฝูออกไป จิ่งเซียงก็ถามอย่างโกรธเคืองว่า “พี่ ท่านให้นางเข้ามาได้อย่างไร? ในใจนางต้องคิดไม่ดีอยู่แน่”
จิ่งฝานไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา พูดว่า “อ๋าวหรานให้เข้ามา”
อ๋าวหราน “...” โยนปัญหาให้อย่างเร็วเชียวนะ
จิ่งเซียงฟังแล้วก็ยิ่งโกรธ “อ๋าวหรานคงถูกผี...บ้าตัณหาสิงเข้า ถูกปั่นหัวจนหลงระเริงไปหมดแล้ว!”
อ๋าวหราน “...”
จิ่งเซียงเห็นพี่ชายนางนิ่งราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่ แม้แต่ขนคิ้วยังไม่ขยับสักนิด จึงทำได้เพียงทุ่มความโกรธไปลงที่อ๋าวหราน จิ้มนิ้วไปบนหัวอ๋าวหรานแล้วพูดว่า “เ้าถูกหลางฉานั่นจุ๊บไปทีหนึ่งก็ลืมไม่ลงเลยหรือ หา เ้าต้องรู้ก่อนนะว่าเ้าเป็ภรรยาของพี่ชายข้า หากเ้ากล้านอกใจ ข้าจะ...ข้าจะ...”
จิ่งเซียงคิดอยู่เป็นาน จู่ๆ ก็นึกออก ทำเสียงขรึมให้ใว่า “ข้าจะวางยาเ้า จับเ้ามัดไว้แล้วโยนไปบนเตียงพี่ชายข้า!”
อ๋าวหราน “...”
จิ่งฝาน “...”
ต้องพูดออกมาให้ใถึงจะยอมหยุดใช่หรือไม่
อ๋าวหรานดึงนิ้วของนางที่จิ้มอยู่บนหัวเขาออก “หลางฉาผู้นี้จะอย่างไรก็ต้องมาที่หมู่บ้านสกุลจิ่งอยู่ดี อีกทั้งงานประลองยุทธ์ นางต้องเข้าร่วมด้วยแน่”
จิ่งเซียง “ท่านลุงใหญ่ข้าไม่มีทางเชิญพวกเขาแน่ ไม่ว่าตระกูลทางจะแกล้งทำตัวเป็หมูในคราบเสือหรือไม่ แต่ในสายตาของคนทั่วไปก็ไม่ได้โดดเด่นน่าสนใจอะไร”
อ๋าวหรานส่ายหน้า “ท่านลุงใหญ่เ้าไม่มีทางเชิญตระกูลทางก็จริง แต่เขาต้องเชิญตระกูลสวีแน่ สถานะของตระกูลสวีคงไม่ต้องให้ข้าพูดถึงใช่หรือไม่”
จิ่งเซียงพยักหน้าอย่างไม่ยินยอม
อ๋าวหราน “เมื่อตระกูลสวีได้รับเทียบเชิญ แน่นอนว่าต้องไปขอความเห็นจากตระกูลทาง ถึงตอนนั้นตระกูลทางก็ต้องส่งหลางฉาที่อยู่ภาคตะวันออกอยู่แล้วมาเข้าร่วมด้วยแน่ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่มีเหตุผลต้องส่งหลางฉามาไกลถึงเพียงนี้ ให้หลางฉาซึ่งเป็คนนอกคอยดูสถานการณ์ในภาคตะวันออก แล้วจะยอมเสียเวลาดูเื่สนุกไปเฉยๆ หรือ?”
จิ่งเซียงเม้มปาก
ตระกูลสวีเป็ตระกูลใหญ่ของภาคกลาง แต่ภายในได้เป็พวกของตระกูลทางไปหมดแล้ว ขอแค่เป็เื่บนแผ่นดินใหญ่ ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ตระกูลสวีจะต้องขอคำแนะนำจากตระกูลทางก่อน
อ๋าวหราน “มาช้าหรือเร็วก็เหมือนกัน หากสามารถใช้ประโยชน์จากเวลานี้ ดึงนางเป็พวกได้ั้แ่เนิ่นๆ ต่อไปจะลดปัญหาไปได้เยอะ อีกอย่างมีนางอยู่ก็จะทำให้ตระกูลทางสงบไม่มากก็น้อย ให้พวกเขาอยู่ในที่ของตัวเองอย่างสงบๆ ไป่หนึ่งก่อน จะได้ไม่ออกมาสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น”
จิ่งเซียงเลิกคิ้ว “คิดจะดึงนางมาเป็พวก เ้าคิดจะดึงดูดนางอย่างไร?”
อ๋าวหรานแอบส่งสายตาไปมองจิ่งฝาน ‘ภรรยาเ้า เ้าคิดหาวิธีเอาเองแล้วกัน’
จิ่งฝานรับรู้ถึงสายตาของเขาจึงหันมามอง
จิ่งเซียงใ “หรือเ้าอยากให้พี่ข้าเสียสละร่างกายขายความงาม?”
อ๋าวหราน “จะเรียกว่าเสียสละร่างกายขายความงามได้อย่างไร?”
นี่เป็เื่ระหว่างสามีภรรยา อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดีไม่ว่าช้าหรือเร็ว ทำให้เร็วขึ้นหน่อยคงไม่เป็ไร
จิ่งเซียงถอนหายใจ “พี่จะจัดการภรรยาท่านหรือไม่ ตอนนี้นางก็เป็เช่นนี้แล้ว ต่อไปท่านจะคุมอยู่หรือ?”
จิ่งฝานแค่เหยียดริมฝีปาก ไม่พูดอะไร
จิ่งเซียงลืมหลางฉาออกไปจากสมองแล้วทำท่าทางเหมือนเป็ผู้ใหญ่ “อ๋าวหราน เ้าดูสิ พี่ชายข้างดงามถึงเพียงนี้ เฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ ทั้งยังมีความสามารถ ชาติตระกูลก็ดี คนดีถึงเพียงนี้เหตุใดเ้าถึงไม่พอใจ แล้วยังผลักไปให้คนอื่นอีก”
อ๋าวหรานอดกัดฟันไม่ได้ พูดว่า “ข้าชอบคนที่ไม่งดงาม ไม่เฉลียวฉลาด ไม่มีความสามารถ แล้วชาติตระกูลยังไม่ดี...ที่เป็หญิง!”
จิ่งเซียง “...”
จิ่งฝานตอบอย่างเรียบๆ ว่า “ข้าจะช่วยเ้าดูไว้”
อ๋าวหรานยิ้มแยกเขี้ยวอย่างสดใส เป็ธรรมชาติ “ขอบคุณ”
จิ่งฝาน “เกรงใจไปแล้ว”
จิ่งเซียง “...”
เชิงอรรถ
น้ำแกงที่ป้อน1 หมายถึง สิ่งที่บอกไป
รื้อเวทีเขา2(拆台)ขัดขวางกีดกันไม่ให้กระทำการได้สำเร็จ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้