“เสี่ยวโหวเหฺยฉลาดเฉลียวมีไหวพริบปฏิภาณยิ่ง หากว่าเสี่ยวโหวเหฺยมีความสนใจ รออีกสักหลายปีมาสอบเข้ากรมโยธาธิการ แต่ว่าอีกสองปีตาแก่เช่นข้าต้องเกษียณราชการแล้ว” การสอบครั้งต่อไปอายุของเขาก็มากแล้ว สมควรที่จะเกษียณ กรมโยธาธิการนี้ควรจะยกให้ผู้ใดเล่า?
“เื่ในอนาคตผู้ใดจะคาดเดาได้เล่า ท่านปู่เสนาบดี ข้าไปก่อนแล้วนะขอรับ บ๊ายบาย” หลี่ลั่วโบกมือ
“บาย...” เสนาบดีกรมโยธาธิการมองมือของตนเอง บ๊ายบายหมายความว่าอย่างไรเล่า?
เมื่อออกมาจากกรมโยธาธิการ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของหลี่ลั่วกลับกลายเป็เคร่งขรึม อาวุธลับะเิควันชนิดนี้ ใช้วิธีการทำเหมือนวิธีการทำะเิควันของโลกยุคปัจจุบัน เป็ความคิดของคนในยุคปัจจุบันจึงจะทันสมัยเช่นนี้ หรือว่า...จะมีคนที่เหมือนกับเขา คนที่มาจากโลกยุคปัจจุบันใช่หรือไม่?
ใจของหลี่ลั่ว ไม่สามารถสงบลงได้เนิ่นนาน
เมื่อรวมกับเื่ที่กู้จวิ้นเฉินต้องพิษตะกั่วในเื ทำให้หลี่ลั่วมีเหตุผลที่จะสงสัย บางทีิญญาที่มาถึงโลกนี้อาจจะไม่ใช่ตนเพียงคนเดียว แต่นี่เป็เพียงความสงสัยของเขาเท่านั้น ทั้งหมดไม่มีหลักฐานจริงๆ
เื่ที่กู้จวิ้นเฉินถูกลอบสังหารที่ซีเป่ย ทั้งราชสำนักต่างรู้ข่าวอย่างรวดเร็ว
องค์ชายใหญ่ไปหาฉินกุ้ยเฟยที่ตำหนัก “พวกเ้าออกไปให้หมด” หลังจากรอให้นางกำนัลออกไปหมดแล้ว เขาจึงมองฉินกุ้ยเฟยด้วยความหนักใจ “เสด็จแม่ เื่เ้าสี่เป็ฝีมือของท่านใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“เื่ของโค่วฉีเป็ความคิดของพวกเรา ทำให้ทหารซีเป่ยอ่อนแอเพื่อให้กำลังของกู้จวิ้นเฉินอ่อนแอลง แต่เื่การลอบสังหารนั้นข้าไม่แน่ใจ ยังคงต้องไปถามท่านตาของเ้า” ฉินกุ้ยเฟยกล่าว ที่จริงแล้วนางและองค์ชายใหญ่ล้วนไม่ต่างกัน ล้วนสงสัยว่าเป็ฝีมือของเสนาบดีฉิน เสียโค่วฉีไปอย่างสูญเปล่า แล้วยังส่งผลให้กู้จวิ้นเฉินไปรับ่ต่อดูแลทหารซีเป่ย ยังไม่สู้ลอบสังหารกู้จวิ้นเฉินให้สิ้นเื่สิ้นราว
แต่ทว่า เื่นี้กลับไม่ใช่ฝีมือของเสนาบดีฉิน
จวนเสนาบดีในขณะเดียวกันนั้นตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดยิ่ง
“นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีผู้ใดคิดจะเอาชีวิตของกู้จวิ้นเฉินอีก?” เสนาบดีฉินถามคนในอาณัติของตน เขาได้ส่งคนไปลอบสังหารกู้จวิ้นแล้วจริงๆ แต่เขาหาได้เป็คนโง่เขลาไม่? ส่งนักฆ่าคนหนึ่งบุกเข้าไปในค่ายทหารซีเป่ยเพื่อสังหารกู้จวิ้นเฉินรึ? เขาคิดว่าคนของกองทัพซีเป่ยเป็ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังหรือไร? ผู้ลอบสังหารกู้จวิ้นเฉินในครั้งนี้ไม่ใช่พวกเขาจริงๆ แต่จะเป็ผู้ใดได้อีก?
หากฝ่ายตรงข้ามมีความคิดที่จะสังหารกู้จวิ้นเฉิน ย่อมไม่ส่งคนมาเพียงคนเดียวแน่ เช่นนั้นจุดประสงค์ของการส่งคนมาเพียงคนเดียวคืออะไร?
“เป็ไปได้หรือไม่ที่จะเป็ลูกหลานของฏเมื่อหกปีก่อน?” เสนาบดีกรมคลังกล่าว “เมื่อหกปีก่อนที่ฝ่าาขึ้นครองบัลลังก์นั้น ลูกหลานฏไม่ได้ทำการขุดรากถอนโคนอย่างสะอาดหมดจด ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้ตัวเองเป็เหยื่อล่อให้ลูกหลานฏปรากฏตัว ทำให้หลี่ซวี่ต้องตายเพื่อปกป้องคุ้มครองเขา”
“แต่ลูกหลานฏมีจำนวนที่แท้จริงที่เท่าใด พวกเราล้วนไม่มีผู้ใดรู้”
“ถ้าหากเป็ลูกหลานฏ ต่อให้คิดจะสังหารกู้จวิ้นเฉิน ก็ไม่สมควรบุกเข้าไปในค่ายทหารซีเป่ย พวกเ้าคิดว่าสติปัญญาของลูกหลานฏเ่าั้เหมือนเต้าหู้หรือไร?” เสนาบดีฉินถาม
“เช่นนั้น ความหมายของใต้เท้าคือ”
เสนาบดีฉินคิดไม่ออกในเวลานี้ “เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น คนของเราคงหาโอกาสลงมือยากแล้ว”
“ฉีอ๋องถูกลอบสังหาร ฝ่าาย่อมต้องเกิดความระแวงเป็แน่ ใต้เท้าคิดว่าฝ่าาจะสงสัยผู้ใด?”
เสนาบดีฉินหรี่ตาลง “มีคนคิดจะเล่นงานพวกเรารึ?” ต่อจากนั้นจึงร้องฮึเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง “ต่อให้สงสัยแล้วอย่างไรเล่า? ไม่มีพยานหลักฐาน ฝ่าาจะทำอันใดได้?”
“เวลานี้กำลังอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดยังคงเป็ฝ่ายฉีอ๋อง ฉีอ๋อง ไม่จำกัดไม่ได้”
“ครั้งนั้นคิดว่าเขาต้องพิษ อย่างไรก็มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่เกินยี่สิบปี จึงให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป เวลานี้พิษของเขาถอนได้แล้ว คนข้างกายที่ไท่จื่อเยี่ยนทิ้งเอาไว้เริ่มมีการเคลื่อนไหว ย่อมปล่อยไว้ไม่ได้แน่ๆ”
ณ จวนองค์ชายรอง
“เ้าว่าอะไรนะ? ช่วยคนออกมาไม่ได้?” องค์ชายรองหรี่ตาลง “ตายแล้วรึ?” ไม่ได้ช่วยกลับมา ก็แล้วไปเถิด
“ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ คนถูกช่วยไปแล้ว แต่ไม่ใช่พวกเราที่ช่วยคนพ่ะย่ะค่ะ” ผู้ที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าตอบ
ปึง...องค์ชายรองยกเท้าถีบเข้าไปที่ยอดอกของคนผู้นั้น คนผู้นั้นกระอักเืล้มลงบนพื้น ได้ยินเสียงขององค์ชายรองที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวเต็มโสตประสาท “เ้าสิ่งของไร้ประโยชน์ คนร้อยกว่าคนยังไม่สามารถช่วยคนเพียงคนเดียวได้?”
“ขอท่านอ๋องโปรดระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“รู้หรือไม่ว่าเป็คนของฝ่ายใดที่ยื่นมือเข้ามา?” องค์ชายรองสงบสติอารมณ์ลงมาแล้ว
“ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ แต่วรยุทธ์ของอีกฝ่ายล้ำเลิศยิ่ง รวมทั้งหมดสิบกว่าคน อีกทั้งคนที่พวกเราส่งไปมีคนหนึ่งถูกตัดแขนข้างหนึ่ง เส้นเอ็นขาก็ถูกตัดไปด้วย ช่วยออกมาแล้วก็ไร้ประโยชน์อันใดพ่ะย่ะค่ะ” อีกฝ่ายพูดขึ้นอีก
“เ้าสี่โเี้ปานนี้เลยรึ?” องค์ชายรองคาดไม่ถึงเล็กน้อย ตัดแขน ตัดเส้นเอ็นขา นี่ไม่ใช่การทำให้อยู่มิสู้ตายหรือไร? “เื่นี้ให้หยุดเพียงเท่านี้ก่อน ในเมื่อไร้ประโยชน์แล้วก็ไม่ต้องสนใจ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้งต่อไปหากทำงานพลาดอีก เ้ารู้กฎดี”
“ไม่มีครั้งต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากรอให้อีกฝ่ายจากไปแล้ว ในห้องมีเสียงกระดิ่งดังขึ้นครั้งหนึ่ง องค์ชายรองหันกายกดลงบนปุ่มลับครั้งหนึ่ง ต่อมาประตูลับบานหนึ่งจึงเปิดออก หลังจากเขาเดินเข้าไป ประตูลับพลันปิดกลับเอง
เสียงกระดิ่งที่เชื่อมต่อกับห้องลับนั้น ดูเหมือนลมพัดแล้วทำให้เกิดเสียงจากกระดิ่งลม ทำให้ไม่เป็ที่สนใจของผู้คนนัก แต่เสียงของกระดิ่งลมที่ดังขึ้นเพราะลมพัดกับเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นเพราะมีคนกดนั้นแตกต่างกัน ดังนั้นเมื่อฟังเสียงของกระดิ่งองค์ชายรองก็รู้ได้ทันทีว่าเป็เสียงกระดิ่งแบบใด
ข้างในห้องลับนั้น ฉินเยวี่ยปิงรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นองค์ชายรองมาถึง เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็ของว่างที่ระหว่างทางข้าแวะร้านอาหารว่างเพื่อการกุศลมาพ่ะย่ะค่ะ รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ พูดขึ้นมาแล้ว เ้าเด็กชายตัวน้อยนั้นไม่เลวเลย ฉลาดเฉลียวมีปฏิภาณไหวพริบ”
“ต่อให้ฉลาดเฉลียวกว่านี้ก็เป็เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง สำหรับบ้านการกุศล...กลับมีการกระทำคล้ายคลึงกับเ้าสี่ เด็กน้อยอายุเพียงหกขวบรึ? จะมีสติปัญญาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” องค์ชายรองนั่งลง หยิบแผ่นมันฝรั่งขึ้นมากิน
“ความคิดของฉีอ๋องหรือ?” ฉินเยวี่ยปิงมีความสงสัยขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน ด้วยเหตุที่อีกฝ่ายเป็เพียงเด็กน้อยอายุหกขวบจะมีสติปัญญาเช่นนี้ได้อย่างไร
“และอาจเป็ความคิดของคนในจวนโหวก็เป็ได้เช่นกัน ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเรา” องค์ชายรองไม่แยแส “ที่เ้ามาวันนี้คือ?”
พูดถึงตรงนี้ฉินเยวี่ยปิงพลันขมวดคิ้ว “เื่ลอบสังหารฉีอ๋องไม่ใช่ฝีมือคนของเสนาบดีฉิน” เสนาบดีฉินเป็ปู่ของเขา แต่ไรมาเขาไม่เคยเรียกขานอีกฝ่ายว่าท่านปู่ ทุกครั้งที่เอ่ยถึงสกุลฉิน เสนาบดีฉิน ความเคียดแค้นชิงชังที่ปรากฏในแววตาเขานั้นลึกล้ำมากขึ้นทุกครั้ง
“อ้อ? เช่นนั้นความหมายของเ้าคือ?” เื่ที่องค์ชายรองส่งคนไปลอบสังหารกู้จวิ้นเฉิน เขาไม่ได้บอกฉินเยวี่ยปิง ถังฮองเฮาไม่มีคนของตนอยู่ในราชสำนักเท่าใดนัก สกุลถังถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล เฉิงเอินโหวในเวลานี้แทบจะไม่มีประโยชน์อันใด ดังนั้นขุนนางในราชสำนัก นอกจากผู้ที่สนับสนุนกู้จวิ้นเฉินแล้ว ที่เหลือก็คือผู้ที่สนับสนุนองค์ชายใหญ่ เสนาบดีกรมกลาโหมมีอำนาจที่แท้จริงในมือ และบทบาทขององค์ชายใหญ่ในราชสำนักนั้นก็โดดเด่นกว่าองค์ชายรองเช่นกัน
เมื่อเป็เช่นนี้ องค์ชายรองย่อมไม่เป็ที่จับตามองของผู้อื่น
จะแต่งตั้งบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกหรือแต่งตั้งบุตรที่ถือกำเนิดขึ้นมาก่อน ปัญหานี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้คำตอบ ด้วยกฎหมายของแคว้นไม่ได้เขียนออกมาเป็ลายลักษณ์อักษรว่าให้แต่งตั้งผู้ใด แต่ระหว่างพวกเขายังมีกู้จวิ้นเฉินอีกหนึ่งคน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็องค์ชายใหญ่หรือองค์ชายรองต่างก็ล้วนกระจ่างแจ้งแก่ใจดี พวกเขาต่างเป็คู่ต่อสู้ของกันและกัน แต่ระหว่างพวกเขาศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดคือกู้จวิ้นเฉิน เื่ต่อกรกับกู้จวิ้นเฉินของสองพี่น้องนั้น เป็ความคิดที่เป็อันหนึ่งอันเดียวกัน
“หากไม่ใช่ฝีมือคนของเสนาบดีฉินแล้ว องค์ชายรองคิดว่าเป็ผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ?” ฉินเยวี่ยปิงถาม
“เ้าสงสัยผู้ใด?” องค์ชายรองย้อนถาม
ดวงตาของฉินเยวี่ยปิงมองไปที่องค์ชายรอง เพื่อไม่ให้พลาดการเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของเขาแม้สักกระผีกเดียว “มีเพียงท่านอ๋องที่รู้เื่ที่เสนาบดีฉิน้าลอบสังหารฉีอ๋อง ดังนั้นข้าจึงอยากรู้ว่าเื่นี้เป็ฝีมือท่านอ๋องใช่หรือไม่?”
“ในเมื่อเ้ารู้แล้ว จะถามเพื่ออันใดอีกเล่า?” องค์ชายรองไม่ได้ปฏิเสธ
“แต่ท่านอ๋องไม่ใช่้ายืมมือเสนาบดีฉินมาถอนรากถอนโคนฉีอ๋องหรอกหรือ?” ฉินเยวี่ยปิงไม่กระจ่างแจ้ง
“ข้าเพียงแต่ให้เบาะแสเ้าสี่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น” องค์ชายรองพูดแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จืดจางลง “เยวี่ยปิง เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าและองค์หญิงฉวี่หลงแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกันด้วยเงื่อนไขอันใด?”
ฉินเยวี่ยปิงหัวใจหดรัด “ข้าน้อยไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนั้น หลังจากเื่ที่องค์ชายฉวี่หลงคิดจะแต่งเจียงซูเอ๋อร์ล้มเหลวลง องค์หญิงฉวี่หลงมาหาข้า บอกว่าจะแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับข้า เ้าใหญ่ เ้าสี่ และข้า กำลังของข้าอ่อนแอที่สุด หากข้าแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับนาง เช่นนั้นกำลังของฉวี่หลงย่อมเป็กำลังของข้าด้วย ข้าจึงรับปาก เมื่อข้าไปทูลเสนอฎีกาต่อเสด็จพ่อนั้น เสด็จพ่อตรัสถามข้าว่าอยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับฉวี่หลงหรือไม่? ด้วยกำลังอำนาจของแคว้นเรานั้นไม่จำเป็ต้องแยแสฉวี่หลง เ้าลองทายดูซิข้าพูดอันไร?” องค์ชายรองยิ้มหยัน
“ข้าน้อยไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเยวี่ยปิงคาดเดาได้ว่า คำพูดในห้องทรงพระอักษรในวันนั้นย่อมไม่น่าฟังเป็แน่
“ข้าบอกว่า ด้วยข้ามีใจปฏิพัทธ์ต่อองค์หญิงฉวี่หลง ดังนั้นจึงคิดจะแต่งนาง แต่เสด็จพ่อกลับถามข้าว่า มิใช่ด้วยกำลังทางทหารของฉวี่หลงหรือไร?” องค์ชายรองกล่าว
ฉินเยวี่ยปิงหัวใจพลันกระตุกวาบ “คำพูดของฝ่าานี้...” คิดไม่ถึงว่าฝ่าาจะไม่ให้หน้ากันถึงเพียงนี้
“คำพูดนี้ของเสด็จพ่อตัดทางหนีทีไล่ของข้าทั้งหมด” องค์ชายรองหัวเราะขึ้นมาอีก “ข้าจะตอบอย่างไรได้เล่า? ข้าย่อมต้องตอบว่าข้าชมชอบนาง มิใช่ด้วยกำลังทางทหารของฉวี่หลง”
“จากนั้นเล่า?”
จากนั้น...องค์ชายรองคิดถึงเหตุการณ์ในห้องทรงพระอักษร
“มีใจปฏิพัทธ์รึ?” จ้าวหนิงฮ่องเต้ทรงเลิกพระขนงทอดพระเนตรบุตรชายคนรองที่ไม่โดดเด่นในสายตาผู้อื่นนักคนนี้ ในบรรดาบุตรชายทั้งสามของพระองค์ องค์ชายใหญ่โดดเด่นที่สุด เ้ารองและเ้าสามล้วนติดตามเขา แต่จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่ใช่คนหนุ่มอ่อนด้อยประสบการณ์จึงดูไม่ออก หากพระองค์ทรงเชื่อว่าการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีขององค์ชายรองและองค์หญิงฉวี่หลงเกิดขึ้นด้วยความรักดั่งสุนัขผายลมแล้วละก็ เช่นนั้นไฉนไม่พูดั้แ่แรกเล่า? “มีเื่หนึ่งที่ข้าไม่เคยพูดกับเ้า ตำแหน่งฮ่องเต้ของแคว้นเราไม่ยอมรับสายเืจากแคว้นอื่น หากเ้าแต่งองค์หญิงฉวี่หลง เ้าคิดจะทำอย่างไร? ให้นางไม่มีบุตรตลอดกาล จากนั้นแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ของเ้ารึ? หรือว่าสละสิทธิ์ในบัลลังก์ัของเ้า เป็ท่านอ๋องที่มีความสุขไปวันๆ คนหนึ่ง ไปกับนางจนสุดหล้าฟ้าเขียวหรือ?”
องค์ชายรองฟังถึงตรงนี้ คนทั้งคนพลันหนาวเหน็บไปทั่วสรรพางค์กาย เขารู้สึกว่าตนเองเป็เช่นตัวตลกตัวหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพระบิดาผู้ซึ่งเป็ฮ่องเต้ เขาถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เขากับองค์หญิงฉวี่หลงจะมีเอาความรักมาจากที่ใดกัน? แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของบิดาที่เอ่ยเช่นนี้แล้ว เขาคิดจะแต่งตั้งบุตรชายที่ถือกำเนิดจากภรรยาสายเอกเป็องค์รัชทายาทหรือไร? เช่นนั้นเ้าใหญ่มิใช่บุตรจากภรรยาสายเอก ความเป็ไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็มีเพียงเ้าสี่แล้ว
เสด็จพ่อไม่ได้ให้แม้กระทั่งโอกาสที่จะให้เขาได้เลือก หากเวลานี้เขาเปลี่ยนใจกลับคำ ไม่แต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์หญิงฉวี่หลงแล้ว เช่นนั้นผลลัพธ์ยิ่งไม่น่าขันหรอกหรือไร?
ดังนั้นองค์ชายรองจึงกัดฟันกล่าวว่า “ต่อให้ต้องสละสิทธิ์ในตำแหน่งฮ่องเต้ ข้าก็ยังคงมีใจปฏิพัทธ์ต่อนางพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้น เสด็จพ่อจึงอนุญาตให้ข้าแต่งงานกับองค์หญิงฉวี่หลง” องค์ชายรองพูดประโยคนี้จบ ในห้องลับมีเพียงความเงียบสงัด
ฉินเยวี่ยปิงอยากจะเอ่ยวาจาแล้วกลับชะงัก สุดท้ายเขาไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ เอ่ยออกมา เื่นี้จ้าวหนิงฮ่องเต้กระทำได้อย่างเด็ดขาด หรือจะกล่าวว่า จ้าวหนิงฮ่องเต้สามารถรู้เื่ราวล่วงหน้าได้?
องค์ชายรองเคียดแค้นชิงชังบิดาผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย ครอบครัวสกุลถังทั้งตระกูลล้วนต้องตายหมด จึงปกป้องคุ้มครองเสด็จพ่อได้ ตำแหน่งองค์รัชทายาทที่จริงสมควรตกเป็ของเขา และต่อให้ไท่จื่อเยี่ยนส่งต่อบัลลังก์ให้กับเสด็จพ่อ เช่นนั้นในยามนี้เป็บัลลังก์ของเสด็จพ่อ พ่อส่งต่อให้ลูก ไม่ใช่เื่ชอบธรรมหรอกหรือไร? เหตุไฉนเสด็จพ่อจึงยินยอมมอบให้กับเ้าสี่ อย่างไรก็ไม่มอบให้เขา?