แม่เฒ่าตู้คุกเข่าลงดังตุบ “นายหญิง ฮูหยินรอง บ่าวขออภัยเ้าค่ะ ปิ่นนี่... วันนั้นคุณชาย... เป็ผู้ให้บ่าวมา!”
คราวนี้ไป๋เซียงจู๋ยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “แม่เฒ่าตู้ เ้าคิดว่าพวกเราเป็คนโง่หรือ ท่านพี่ให้อะไรไม่ให้ ดันให้ปิ่นนี่... อีกทั้งเป็ปิ่นที่เหมือนของท่านน้าทุกกระเบียดนิ้วเสียด้วย หรือเ้าหมายความว่าท่านพี่เอาปิ่นของท่านน้าไป!”
“ไม่... ไม่ใช่เ้าค่ะ... บ่าวอายุอานามปูนนี้แล้ว ความจำไม่ดีเ้าค่ะ... ฮูหยินรอง ฮูหยินรองให้บ่าวมาเ้าค่ะ” แม่เฒ่าตู้ก้มศีรษะกระแทกพื้นด้วยความเกรงกลัว ต่อให้นางกล้าเพียงใดก็พูดว่าคุณชายลู่ขโมยมาไม่ได้ ตระกูลลู่เป็ตระกูลใหญ่มั่งคั่งและทรงอิทธิพล ไม่จำเป็ต้องขโมยปิ่นหยกอันเดียว ตอนนั้นนาง้าพูดว่าคุณชายมอบให้นางเป็สินบนเพื่อพบกับไป๋เซียงจู๋ แต่พอคิดอีกที เป็ไปไม่ได้ที่คุณชายจะให้ปิ่นปักผมกับสาวรุ่นแม่เฒ่าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยอย่างนาง
เมื่อแม่เฒ่าตู้สารภาพ คนทั้งเรือนก็ตกตะลึง
ไป๋เซียงจู๋คลี่ยิ้มเล็กน้อย เครื่องหน้างามดุจภาพวาด แพรวพราวดุจแสงตะวัน!
“ยังไม่ยอมพูดความจริงอีก! ปิ่นนี่ท่านตาสั่งทำด้วยตนเองและส่งไปให้ท่านน้าเป็ของกำนัลแต่งงาน ท่านน้าจะมอบมันให้เ้าได้อย่างไร ก่อนหน้านี้เ้าบอกว่าปิ่นนี่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ต่อมาก็ท่านพี่ให้ บัดนี้กลับบอกว่าท่านน้าให้ วาจากลับกลอก! เห็นชัดว่าเ้ากำลังร้อนตัว!” นางเดินมาหยุดตรงหน้าแม่เฒ่าตู้ ดึงปิ่นนั้นออกมา พลิกเล่นในมือพลางพูดอย่างเยือกเย็น “แจ่มแจ้งแล้วว่าเ้าขโมยปิ่นของท่านน้า แต่หลังจากนั้นก็ยังไม่รู้สึกพอ วางแผนใส่ร้ายท่านพี่ ขโมยทรัพย์สินของเขา อีกทั้งทำร้ายเขาจนเจ็บหนัก! ท้ายที่สุดพอเห็นว่าเื่ราวถูกเปิดเผยก็กลับจะปรักปรำข้า ใส่ความยังไม่เท่าไร แต่เ้าชั่วร้ายถึงขั้นบอกว่าข้าลักลอบพบกับท่านพี่ บ่าวโลภมากใจทรามเช่นนี้ ในห้องต้องซุกซ่อนของมีค่าที่เบียดบังมาไว้ไม่น้อยแน่ ส่งคนค้นห้องเดี๋ยวนี้!”
อวี๋ซื่อยื่นมือห้ามทันที “ไม่จำเป็หรอก ปิ่นอันนี้ข้ามิได้มอบให้ใครทั้งนั้น เป็เพราะแม่เฒ่าตู้ผู้นี้ร้ายกาจ อันที่จริงข้าสงสัยนางมานาน ห้องก็เคยค้นแล้ว นี่น่าจะเป็หนแรก เพราะข้าไม่พบของมีค่าอื่นที่ถูกขโมย นางบ่าวเฒ่าเนรคุณ เสียแรงที่ข้าปฏิบัติต่อนางอย่างดี ไม่นึกว่าจะกล้าขโมยของของเ้านาย ซ้ำยังวางแผนทำร้ายคุณหนูใหญ่ มา! ปิดปากลากออกไปโบยจนตายบัดเดี๋ยวนี้!”
“ฮูหยิน ฮะ...” แม่เฒ่าตู้กรีดร้อง แต่ยังไม่มีโอกาสได้พูดอะไรก็ถูกคนลากออกไปเสียแล้ว
ไป๋เซียงจู๋มองด้วยแววตาเยือกเย็น ไม่ใจอ่อนแต่อย่างใด
ชาติก่อนหากมิใช่เพราะแม่เฒ่าตู้ นางจะลงเอยด้วยการประสบชะตากรรมอันน่าเวทนาเช่นนั้นในท้ายที่สุดหรือ!
ก็เพราะว่านางเป็ดีจนเคยชิน ดังนั้นทุกคนจึงข่มเหงนางรังแกนาง ชาตินี้นางจะไม่เป็คนดีอีกแล้ว!
แท้จริงแล้วนางไม่ได้ใส่ใจว่าภายในห้องของแม่เฒ่าตู้ผู้นี้มีสมบัติเงินทองอะไรอยู่ เนื่องจากแม่เฒ่าตู้กับหลี่ฟู่กุ้ยมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือมักนำของมีค่าออกไปเก็บข้างนอก หลี่ฟู่กุ้ยนำไปฝากที่ธนาคาร ส่วนแม่เฒ่าตู้ส่งกลับไปยังครอบครัวของนางเอง
อวี๋ซื่อน่าจะให้ปิ่นปักผมนี้แก่แม่เฒ่าตู้ขณะร้อนรนกระวนกระวาย และไม่ได้ไตร่ตรองมากขนาดนั้น คาดว่านางคงลืมกระทั่งที่มาในตอนแรกของปิ่นนี่หมดสิ้นแล้วด้วยซ้ำ
สิ่งที่ไป๋เซียงจู๋้าคืออวี๋ซื่อยอมรับว่าแม่เฒ่าตู้มีความผิดฐานลักขโมย ทำให้นางตัด ‘แขน’ ของตนทิ้งด้วยตนเอง
จัดการไปแล้วหนึ่งราย ยังเหลืออีกหนึ่ง!
ไป๋เซียงจู๋หันกลับมา กล่าวกับทุกคนที่เพิ่งหายตกอกใ “ในเมื่อแม่เฒ่าตู้ยืนยันแล้วว่าใส่ร้ายข้า ทำร้ายท่านพี่จนาเ็ และปล้นทรัพย์สิน เช่นนั้นเรามาซักถามหลี่ฟู่กุ้ยต่อกันเถิด นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่”
“หลี่ฟู่กุ้ย ข้าขอถามเ้าหน่อย เ้าบอกว่าคนที่ขับรถม้าส่งข้ากลับจวนในวันนั้นคือเ้า”
เห็นแม่เฒ่าตู้ถูกลงโทษโบยจนตาย หลี่ฟู่กุ้ยใจเสียไปแล้ว เขากลืนน้ำลายอึกอัก “เป็ข้าขอรับ”
เซียงจู๋เดินต้อนเข้าใกล้ไม่หยุด “ถ้าอย่างนั้นทำไมเ้าถึงลงจากรถม้ากลางทางเล่า เ้ายืนกรานว่าส่งข้ากลับจวน ทว่าไม่ใยดีเ้านาย และเ้ายังพูดว่าตอนนั้นท่านพี่เป็คนสั่งให้เ้าลงจากรถม้า แล้วเงินนี่ของเ้ามันมาจากไหนกันเล่า”
หลี่ฟู่กุ้ยถอยหลังทีละก้าว “คุณ... คุณชายให้มาขอรับ”
“ทั้งที่รับเงินมาแล้ว เห็นท่านพี่โดนโจรปล้นทรัพย์กลับไม่แจ้งเ้าหน้าที่ทางการ หรือหมายความว่าเ้าสมรู้ร่วมคิดกับโจรนั่นล่วงหน้าและรอแบ่งเงินหลังทำสำเร็จ”
“ไม่ใช่นะขอรับ บ่าวไม่ได้ร่วมมือกับแม่เฒ่าตู้ บ่าวเก็บเงินได้บนพื้นหลังเกิดเื่... ” สติปัญญาของหลี่ฟู่กุ้ยไม่ได้เฉียบแหลมนัก เขาถูกไป๋เซียงจู๋จูงจมูกเดินโดยสมบูรณ์ เริ่มพูดพล่ามเพ้อเจ้อแล้ว
“ท่านพี่โดนโจรปล้นชิงทรัพย์ไป เ้าไร้เรี่ยวแรงช่วยเหลือก็พอเข้าใจได้ แต่เ้ากลับฉวยโอกาสลักเงินของคนอื่น บ่าวที่ไม่แยแสความเป็ตายของเ้านาย อีกทั้งละโมบโลภมากเช่นนี้ ท่านน้า ท่านว่าสมควรโบยให้ตายเช่นกันหรือไม่เ้าคะ!”
อวี๋ซื่อเหมือนหัวใจหยุดชะงัก โกรธจัดจนสั่นไปทั้งตัว
หลี่ฟู่กุ้ยขวัญหนีดีฝ่อ คร่ำครวญอ้อนวอน “นายหญิง ฮูหยินรอง ได้โปรดไว้ชีวิตบ่าวด้วย บ่าวโง่เขลาชั่ววูบ...”
ฮูหยินเฒ่าไป๋ก็เห็นบางอย่างไม่ชอบมาพากลเช่นกัน นางหน้าเขียวด้วยความขุ่นเคือง ถึงคำพูดของไป๋เซียงจู๋ไม่ได้ไร้ที่ติ แต่ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมานี้ เพื่อการค้าผ้าไหมนั่น จวนไป๋แทบจะต้องควักทรัพย์สมบัติทั้งหมด ตนก็มีคำสั่งให้แต่ละครอบครัวประหยัดแล้ว ตอนนี้กระทั่งเ้านายยังไม่ค่อยมีเงินสดติดตัว นับประสาอะไรกับบ่าวผู้นี้ และลู่ชางหลงก็พูดตรงกันว่าถูกโจรชิงเงินทองไปจนต้องาเ็สาหัส นางนิ่วหน้าตวาดเสียงดัง “ไม่คิดเลยว่าในจวนไป๋ของข้าจะเลี้ยงบ่าวไพร่ระยำตำบอนอย่างพวกเ้าไว้! หัวหน้าบ่าว โบยห้าสิบที แม้ถึงตายคนลงไม้ก็ไม่ผิด!”
เมื่อฮูหยินเฒ่าออกคำสั่ง อวี๋ซื่ออยากจะห้ามสักแค่ไหนก็ห้ามไม่ได้แล้ว หลี่ฟู่กุ้ยทรุดลงบนพื้นในทันทีด้วยความกลัว กลัวอย่างถึงที่สุด ปากได้แต่ร้องอ้อนวอน “ฮูหยินรองช่วยบ่าวด้วย ฮูหยินรองช่วยบ่าวที!”
อวี๋ซื่อเบือนหน้าหนี นางทนดูเขาไม่ได้
ไป๋ชิงโหรวเจรจาบ้าง “ไป๋เซียงจู๋ พอเ้ากลับมาก็เอาแต่ขู่เข็ญตัดชีวิตคน ท่านย่าเป็ผู้ถือศีล วันนี้ก็ลงโทษไปคนหนึ่งแล้ว เ้ายัง้าอะไรอีก!”
ไป๋เซียงจู๋มองไป๋ชิงโหรวด้วยความประหลาดใจ มีพัฒนาการนี่นา น้องสาวผู้ใจร้อนเอะอะน่ารำคาญคนนี้ จู่ๆ ตอนนี้ก็เฉลียวฉลาดขึ้นมาแล้วหรือ ใช้ฮูหยินเฒ่ามาปกป้องตน ทำเอาห้ามใจแสยะยิ้มเย้ยไม่ได้เลย
ไป๋เซียงจู๋ซับน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้า เอ่ยตอบช้าๆ “น้องรอง พี่รู้ดีว่าท่านยายเป็คนใจเมตตา แต่น้องเคยคิดถึงพี่บ้างไหม หากไม่จัดการบ่าวอกตัญญูใส่ความทำลายเ้านายพวกนี้ พวกเขาก็จะกระพือข่าวลือที่ไม่จริงไปทั่ว ส่วนพี่ก็เสื่อมเสียชื่อเสียงโดยไม่รู้สาเหตุ ถึงเวลานั้นคนที่เหมือนตายทั้งเป็ก็คือพี่ วันนี้ยากเย็นนักกว่าความจริงจะปรากฏ ทว่ายังต้องประนีประนอมให้คนชั่วเช่นนี้อีก น้องรอง ข้าเป็พี่สาวของเ้านะ...”
คิดจะแสดงงั้นหรือ ตัวนางไป๋เซียงจู๋ก็ไม่ได้กินผัก [1] เหมือนกัน!
ไป๋ชิงโหรวค้อนไป๋เซียงจู๋ ทว่าพูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
คนรับใช้จำนวนหนึ่งแบกไม้มาฟาดลงบนร่างของหลี่ฟู่กุ้ยอย่างรุนแรง หนึ่งทีสองที โบยจนหลี่ฟู่กุ้ยร้องโหยหวนดั่งหมูถูกเชือด “โอย... ฮูหยิน... ฮูหยินช่วยข้าด้วย... คุณชาย... โปรดช่วยข้าอธิบายที... ข้ายอมแล้ว ข้าจะพูดทุกอย่าง... ฮูหยินรองกับคุณชาย...”
ในที่สุดก็ยอมปริปากแล้วหรือ ไป๋เซียงจู๋ยกยิ้มเย็น ดีมาก ถือว่ายังไม่โง่เง่าจนเกินไป ข้าชอบคนฉลาดเช่นเ้าเป็ที่สุด มิเช่นนั้นข้าก็ไม่มีหนทางจัดการกับเ้าจริงๆ นั่นแล
“เอี๊ยด” ทันใดนั้น ประตูห้องของลู่ชางหลงถูกเปิดออก เขาพุ่งออกมาจากข้างในราวลมกระโชก ฉวยไม้จากมือของบ่าวและฟาดหลี่ฟู่กุ้ยเต็มแรง
“คุณชะ... อ๊า!” หลี่ฟู่กุ้ยเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตระหนก ยังไม่ทันขาดคำ ไม้ท่อนโตนั่นก็ฟาดเข้าที่ท้ายทอยในบัดดล จากนั้นจึงตามมาอีกหลายไม้ เขาแผดเสียงร้องอันน่าสังเวช ของเหลวสีแดงปนขาวสาดกระเซ็นทั่วพื้น ไม่นานก็หมดลม
คนทั้งเรือนอกสั่นขวัญหาย
ลู่ชางหลงโยนไม้ทิ้ง หันไปพูดกับไป๋เซียงจู๋ด้วยท่าทีประจบประแจง “บ่าวเลวทรามนี่มันเนรคุณนัก บังอาจลอบร่วมมือกับโจรชั่ว! สมควรตายตั้งนานแล้ว! น้องรัก ใจเย็นๆ ก่อนนะ ต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครกล้าใส่ร้ายเ้าอีก”
เชิงอรรถ
[1]吃素 กินผัก หมายถึง อ่อนแอ