หลังจากโม่เสวี่ยถงไปรับประทานอาหารกลางวันที่จวนฝู่กั๋วกงแล้วก็กลับมาที่จวนโม่ ฮูหยินเซียนหยางโหวเป็ลูกผู้น้องของลั่วเสียมารดานาง ทั้งสองเกิดเร็วช้าต่างกันไม่กี่วันแต่ก็เติบโตมาด้วยกัน ฮูหยินเซียนหยางโหวแต่งงานกับท่านโหวก่อน ต่อมาลั่วเสียก็แต่งให้โม่ฮว่าเหวิน ทั้งสองต่างติดตามสามีของตนเอง และไม่ได้พบกันอีกจนกระทั่งลั่วเสียสิ้นใจ
ครานี้ฮูหยินเซียนหยางโหวถือโอกาสที่สามีกลับเมืองหลวงมาคารวะเหล่าไท่จวิน จึงทราบว่าโม่เสวี่ยถงก็เข้าเมืองหลวงมาแล้วเช่นกัน ดังนั้นเหล่าไท่จวินจึงส่งคนมาเชิญโม่เสวี่ยถงให้ไปหาเพื่อทำความรู้จักในฐานะญาติมิตร ผู้ที่มาแจ้งข่าวบอกเพียงว่าเหล่าไท่จวินอยากพบคุณหนู นอกจากนี้ฮูหยินเซียนหยางโหวก็อยากพบหน้าหลาน มิได้เอ่ยวาจาวางก้ามใหญ่โตเช่นที่โม่เยี่ยกล่าวขณะอยู่หน้าห้อง
“คุณหนู สตรีที่ชื่อหลันซินหยูจะมาอยู่ในจวนเราจริงๆ หรือเ้าคะ” โม่หลันซึ่งอยู่ด้านหลังโม่เสวี่ยถงคิ้วขมวด เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก นางติดตามโม่เสวี่ยถงมาโดยตลอด ย่อมทราบดีว่าตอนที่ฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ หลันซินหยูผู้นี้แม้ต่อหน้าจะเอาอกเอาใจฮูหยินและคุณหนู แต่ลับหลังกลับทำมารยาเสแสร้งหมายให้ท่านายท่าน
มีครั้งหนึ่งสตรีผู้นั้นแกล้งหกล้มต่อหน้านายท่าน แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่มีความรู้สึกอ่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้นางล้มอยู่ตรงนั้น ไม่เข้าไปช่วยหรือไถ่ถาม แม้แต่หางตาก็ไม่เหลือบแล ต่อมาฮูหยินป่วยหนัก หลันซินหยูเข้ามาอยู่จวนโม่โดยอ้างว่ามาช่วยดูแลอาการเจ็บป่วย แต่กลับแต่งตัวฉูดฉาดปานบุปผาอวดความงามมาเฝ้าข้างเตียงทุกวัน สาวใช้ประจำตัวของฮูหยินเห็นแล้วก็โมโหจนพูดไม่ออก
ยามนั้นฮูหยินกำลังทรุดหนัก ไม่มีอารมณ์สนใจเื่เหล่านี้ เหล่าไท่ไท่ส่งนางเข้าจวนโม่โดยอ้างเื่เจ็บป่วย ดีที่นายท่านรักฮูหยินอย่างลึกซึ้ง มิได้สนใจนางั้แ่ต้น หลังจากหักหน้านางต่อหน้าบ่าวไพร่อยู่สองสามครั้ง ในที่สุดสตรีผู้นั้นก็ทนอยู่ต่อไปไม่ไหวได้แต่ซมซานกลับไป แต่คิดไม่ถึงว่ายังจะกล้าตามนายท่านมาอีก
“เหล่าไท่ไท่คิดเื่นี้มานานแล้ว จะไม่มาได้อย่างไรเล่า อีกประเดี๋ยวเ้าไปหาท่านป้าิแจ้งให้ทราบว่าคุณหนูหลันซินหยูจะมาอยู่เป็เพื่อนเหล่าไท่ไท่ เรือนที่อยู่ฝั่งตะวันออกของจวนทั้งใหม่และสง่างาม ทิวทัศน์ก็ไม่เลว ให้นางหารือกับอี๋เหนียงทั้งสอง แล้วให้คนไปทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพราะคนจะมาอยู่สองสามวันนี้แล้ว”
ยามที่โม่เสวี่ยถงเดินผ่านโค้งประตูวงเดือนเข้ามาถึงเขตเรือนตนดูเหมือนสีหน้าจะยังยิ้มแย้มอยู่ แต่เมื่อโม่เยี่ยพิจารณาอย่างละเอียด กลับไม่ใช่
นับั้แ่ติดตามคุณหนูสามสกุลโม่เป็ต้นมา โม่เยี่ยซึ่งไม่เคยนับถือใครเป็พิเศษ กลับรู้สึกชื่นชมโม่เสวี่ยถงด้วยใจจริง ยังอายุน้อยเพียงเท่านี้ แต่กลับมีปฏิภาณไหวพริบเยี่ยมยอด ความคิดล้ำลึกโดยแท้ ดูจากที่โม่หลันกระซิบบอกนางเป็การส่วนตัวถึงความมักใหญ่ใฝ่สูงของคุณหนูหลันผู้นั้น หากนางบอกเื่นี้กับอี๋เหนียงทั้งสองว่ามีสตรีหมายมาแย่งชิงสามีของพวกนางเพิ่มอีกคนหนึ่ง ไหนเลยจะวางใจลงได้
เรือนฝั่งตะวันออกดังกล่าวโม่เยี่ยเคยไปมาแล้ว ไม่นับว่าไกลมาก ทิวทัศน์ก็สวยงาม แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ จุดที่เป็หัวใจหลักคือสถานที่แห่งนั้นอยู่ติดกับประตูกลาง เพียงเดินผ่านประตูออกไปก็พ้นเขตเรือนชั้นใน จึงไม่ค่อยเหมาะสมสำหรับใช้เป็ที่พักของสตรีในห้องหอเท่าใดนัก
ยิ่งอยู่ติดกับคฤหาสน์ด้านนอก หากไม่ระวังอาจพบปะกับบุรุษจากภายนอกได้โดยง่าย หากคุณหนูท่านนี้มีพฤติกรรมไม่สำรวม เื่ไม่งามย่อมเกิดขึ้นได้ง่าย แน่นอนว่าอี๋เหนียงทั้งสองย่อมปรารถนาให้เื่นี้เกิดขึ้น หากหลันซินหยูมีปัญหาใดที่เกี่ยวข้องกับชายอื่นในจวน ย่อมไม่มีสิทธิเป็ภรรยาเอกของโม่ฮว่าเหวินได้อีก ดังนั้นคุณหนูแค่ชี้แนะแนวทางเล็กน้อย พวกนางย่อมกระจ่างใจ ช่วยเปิดทางอำนวยความสะดวกให้สตรีผู้นี้เป็พิเศษ
คุณหนูของตนช่างใจดำยิ่ง แค่คำพูดสองประโยคก็สามารถผลักคุณหนูหลันไปอยู่ในอุ้งมือของอี๋เหนียงทั้งสองได้แล้ว
แต่โม่เยี่ยย่อมกระจ่างใจยิ่ง ว่าความใจดำของคุณหนูยังเทียบไม่ได้กับเ้านายเดิมของตน ที่ชอบสวมชุดสุกรกินเนื้อพยัคฆ์ คอยช้อนผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรงอยู่เป็ประจำ ติดตามเ้านายแบบนี้มีดีที่ไม่ถูกใครเอาเปรียบ โม่เยี่ยจึงพึงพอใจในจุดนี้เป็อย่างยิ่ง
“เ้าค่ะ เดี๋ยวบ่าวจะไปหาฉิงอี๋เหนียงและบอกนางว่าคุณหนูหลันประสงค์จะมาปรนนิบัติเหล่าไท่ไท่ จึงขอมาอาศัยอยู่กับพวกเราเพื่อฉลองเทศกาลปีใหม่โดยเฉพาะ” โม่หลันเป็สาวใช้ที่ฉลาดเฉลียว ตรองเพียงเล็กน้อยหัวคิ้วที่มุ่นขมวดก็ผ่อนคลาย ดวงตากะพริบพราว สีหน้าเบาใจลง
โม่เสวี่ยถงได้ฟังคำเหน็บแนมของโม่หลันแล้วก็หลุดหัวเราะคิก
หากบอกกับอี๋เหนียงทั้งสองว่าหลันซินหยูเข้าจวนมาเพื่อปรนนิบัติเอาอกเอาใจเหล่าไท่ไท่ ซึ่งเป็บุคคลที่โม่ฮว่าเหวินเคารพยิ่ง แม้จะมิได้พูดตรงๆ ว่ามีแผนการอันใด แต่บางเื่ก็เป็ที่รู้กันว่าเหล่าไท่ไท่สามารถออกหน้าจัดการได้ เมื่อก่อนฮูหยินยังอยู่เหล่าไท่ไท่ได้แต่เก็บงำไว้ แต่ยามนี้ในจวนไม่มีแม้กระทั่งนายหญิง การมาของหลันซินหยูย่อมมีวัตถุประสงค์อื่นแน่นอน
ยิ่งรู้ว่าเหล่าไท่ไท่มีความประสงค์อยากให้หลันซินหยูแต่งเข้ามาเป็ภรรยาเอกของจวนโม่ อี๋เหนียงทั้งสองย่อมหาวิธีกลั่นแกล้งนางเป็แน่ ในชาติก่อนเนื่องจากอี๋เหนียงทั้งสองไม่มีบุตรชายจึงไม่อาจ่ชิงความโปรดปรานมาจากฟางอี๋เหนียง ท้ายที่สุดจึงต้องยอมสละตำแหน่งนายหญิงให้แก่อีกฝ่าย แต่แม้จะเป็เช่นนั้นฟางอี๋เหนียงก็ยังไม่อาจปล่อยพวกนางให้เป็เสี้ยนหนามตำใจ เห็นได้ว่าอี๋เหนียงสองคนก็มิใช่พวกถือศีลกินเจเช่นกัน
มีพวกนางสองคนเป็ทัพหน้า หลันซินหยูคิดเข้าหาท่านพ่อย่อมมิใช่เื่ง่าย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยนิสัยของบิดาไม่มีทางชอบสตรีใจง่ายที่มักยั่วยวนให้ท่าผู้ชายเช่นหลันซินหยู มิเช่นนั้นก็คงไม่กล้าตอกหน้าเหล่าไท่ไท่ ทำให้นางตกอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนจนไม่อาจบากหน้าอยู่ต่อ ต้องซมซานกลับบ้านไปในตอนนั้น
ขณะที่นายบ่าวกำลังสนทนากันอย่างเริงรื่น ก็มีเสียงคนผู้หนึ่งแทรกขึ้นมา
“ขอเรียนถามคุณหนูสาม เห็นว่ามาจากเรือนของคุณหนูใหญ่ มิทราบว่านางเป็อย่างไรบ้าง” น้ำเสียงเ็าแต่ดูมีมารยาทลอยมาข้างหู โม่เสวี่ยถงชะงักฝีเท้าหันไปมองทางเดินด้านซ้าย ซึ่งเป็ทางผ่านไปยังห้องหนังสือของบิดา เห็นบ่าวชายนำอยู่หน้าบุรุษสองคนยืนอยู่ตรงปากทาง
โหยวเยวี่ยเฉิงสวมอาภรณ์สีงาช้าง สายคาดเอวปักดิ้นทองแขวนพู่หยกประดับเนื้องามชิ้นหนึ่ง ภาพลักษณ์ดูสุขุมนุ่มลึก ศีรษะสวมรัดเกล้าทองคำ ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉยดูหยิ่งยโส แม้คำถามจะฟังดูมีมารยาทยิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกคล้ายวางอำนาจอยู่กลายๆ
ข้างกายเขายังมีบุรุษยืนอยู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งมีบุคลิกตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง แม้จะสวมอาภรณ์ไหมปักดิ้นทอง เอวคาดหยกล้ำค่าสี่ห้าชิ้นดูงดงามหรูหรา แต่เมื่อทุกอย่างมารวมอยู่บนตัวเขากลับมองแล้วประหลาดนัก รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าคมคายมีกลิ่นอายเ้าชู้เสเพลแผ่กำจายออกมาชัดเจน ขนาดยังมิได้เอ่ยวาจา เพียงถูกสายตาพิจารณาั้แ่หัวจรดเท้าอย่างจาบจ้วง ก็ทำให้โม่เสวี่ยถงรู้สึกอึดอัดมากแล้ว โม่เยี่ยรีบออกมายืนขวางด้านหน้า เพื่อบังสายตาไร้มารยาทของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าเป็โหยวเยวี่ยเฉิง รอยยิ้มเยาะหยันพลันทอวาบจากก้นบึ้งดวงตา
ช่างเป็บุรุษจอมปลอมนัก เห็นชัดอยู่ว่าไม่ชอบหน้านาง แต่กลับแสร้งสวมหน้ากากทำเป็ใจกว้างวางมาดสุขุม เมื่อคืนยังวางแผนกับโม่เสวี่ยิ่เล่นงานตนเองอยู่เลย รู้อยู่แก่ใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร โม่เสวี่ยิ่จ้องแต่จะเอาชีวิตตนเอง แล้วตนจะต้องไปใส่ใจอีกฝ่ายด้วยหรือ พูดง่ายๆ โหยวเยวี่ยเฉิงคิดฉวยโอกาสนี้ทำให้คนเข้าใจผิดแล้วเล่าลือต่อกันไปว่านางไม่เคารพพี่สาว ทุ่มหินลงบ่อในขณะที่อีกฝ่ายอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
ในขณะที่หัวใจนึกเยาะหยัน แต่ใบหน้าที่แสดงออกกลับใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่ง น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยก็นุ่มนวลอ่อนโยน นางเดินออกมาจากด้านหลังของโม่เยี่ย ย่อกายคำนับอย่างงดงามมีมารยาท “คารวะโหยวซื่อจื่อ” หลังจากหยัดกายตรงก็ตอบคำถามของเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งกลับมาจากจวนฝู่กั๋วกง ไม่ทราบว่าพี่หญิงใหญ่มีเื่อันใดหรือ แม้แต่ซื่อจื่อยังถามไถ่ถึงเช่นนี้ เอ๊ะ... หรือว่าพี่หญิงจะเกิดเื่?”
ดวงตาสุกใสมองโหยวเยวี่ยเฉิงอย่างนึกฉงน นางไม่เชื่อว่าเขาจะประกาศเื่น่าอับอายของโม่เสวี่ยิ่ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้
โหยวเยวี่ยเฉิงไม่คิดว่าโม่เสวี่ยถงจะเป็คนหนึ่งถามสามไม่รู้ ดั่งกำหมัดต่อยใครสักคน แล้วคนผู้นั้นกลับกลายเป็ผ้านวมนุ่มๆ ไม่มีแรงต้านแม้แต่น้อย วันนี้เขามาจวนโม่เป็เพื่อนหลี่โย่วโม่ เพิ่งเดินออกมาจากห้องหนังสือของโม่ฮว่าเหวิน ก็มาเจอโม่เสวี่ยถงกำลังหัวเราะหน้าชื่นตาบานอยู่กับสาวใช้ พลันรู้สึกว่ารอยยิ้มแบบนั้นดูขวางหูขวางตายิ่งนัก
เมื่อนึกถึงคำพูดของโม่เสวี่ยิ่ก็เหมือนมีผีดลใจให้อยากแกล้งนางขึ้นมา จึงจงใจถามด้วยวาจาแบบนั้น คิดจะทำให้อับอายด้วยการเสียดสีว่านางเป็คนแล้งน้ำใจ พี่สาวมีเื่ ผู้เป็น้องสาวไม่เพียงแต่ไม่ปลอบใจ กลับมายิ้มยั่วหัวเราะกับสาวใช้ คิดไม่ถึงว่านางจะทำเป็ไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้น
ทำให้วาจาประชดประชันที่เตรียมมาเต็มท้องไม่อาจกล่าวออกมาได้ จุกแน่นอยู่เต็มอกจนแทบะเิ
ขณะที่เขากำลังพูดไม่ออก หลี่โย่วโม่ที่อยู่ด้านข้างกลับเอ่ยด้วยวาจาไหลลื่น “นี่คงเป็น้องภรรยาสามใช่หรือไม่ ข้าเป็พี่เขยใหญ่ของเ้าเอง วันนี้มาเพื่อคุยธุระเื่พี่หญิงของเ้า ไม่ทราบว่านางอยู่ที่เรือนหรือเปล่า ไม่ได้เจอนานแล้ว รู้สึกคิดถึงยิ่งนัก กำลังจะไปหาที่เรือนอยู่พอดี เยวี่ยเฉิง... ไปด้วยกันสิ ถึงอย่างไรอีกไม่นานคุณหนูใหญ่ก็ต้องแต่งให้ข้าแล้ว เ้าก็มิใช่คนนอก ข้าไม่ถือสาหรอก”
คำพูดของคนผู้นี้ช่างน่าสะพรึงยิ่ง ขนาดโม่เสวี่ยถงตายแล้วเกิดใหม่มาชาติหนึ่ง เข้าใจอะไรได้ดียิ่ง ยังแทบสำลักเป็โลหิตเพราะวาจาโอหังของเขา โหยวเยวี่ยเฉิงที่ชูคอวางท่าหยิ่งยโสอยู่ด้านข้างยังสีหน้าแข็งค้าง โม่หลันและโม่เยี่ยตัวกลายเป็หินไปแล้ว เกิดมาไม่เคยเจอใครหน้าหนาเช่นนี้มาก่อน ไม่ทันแลกดวงชะตาแปดอักษรกันด้วยซ้ำ แต่เรียกนางว่าน้องภรรยาแล้ว มิหนำซ้ำยังเรียกตนเองว่าพี่เขยอีก
ทั้งสองเพิ่งมีเื่กันเมื่อวาน ตอนนี้กลับกลายเป็นานแล้วมิได้เจอกัน อยู่ในจวนโม่แท้ๆ แต่กลับทำตัวเหมือนอยู่บ้านตนเอง ไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายยังเชิญบุรุษไปยังเรือนของสตรี ด้วยท่าทางวางโตไม่สนใจสิ่งใด ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ เอ่ยเหตุผลที่ฟังดูเป็ธรรมชาติอย่างไม่น่าเชื่อ
สุดยอด! บุรุษผู้นี้ช่างเหนือชั้นยิ่งนัก โม่เสวี่ยถงต้องระบายลมหายใจเฮือกใหญ่ จึงระงับเสียงหัวเราะที่ะเิอยู่ในหัวใจลงได้
ต้องเก่งกาจระดับนี้จึงจะสมน้ำสมเนื้อกับโม่เสวี่ยิ่ ไม่เลวเลยจริงๆ!
หญิงร้ายก็ต้องคู่กับชายโฉด หากนางมีแผนการร้ายกาจอะไรอีกก็เหมือนกับบัณฑิตเจอนักสู้ พูดเหตุผลเท่าไรย่อมไม่เข้าหู
“เ้าสวะต่ำช้า พูดจาเหลวไหล” โม่เสวี่ยิ่มาพร้อมกับโม่ซิ่ว ยืนอยู่หน้าสวนดอกไม้ โกรธจนหน้าถอดสี ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวคล้ำ เนื้อตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม
เมื่อเห็นโม่เสวี่ยิ่ปรากฏตัว ความสนใจของหลี่โย่วโม่ก็พุ่งปราดไปที่นางทันที “โอ้... ที่แท้คุณหนูใหญ่ก็มาแล้ว ใจเราช่างตรงกันยิ่งนัก คุณหนูใหญ่ก็คิดเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่ วันเดียวไม่พบเยาวมาลย์ เนิ่นนานดั่งสามสารทฤดู สามวันไม่เห็นยอดพธู เก้าสารทฤดูผ่านไปราญใจร้าว คุณหนูใหญ่ดั่งรู้ใจข้า มิสู้พวกเราเข้าไปคุยกับท่านพ่อตาด้วยกัน พรุ่งนี้ก็เป็วันฤกษ์ดี จะได้รีบแต่งคุณหนูใหญ่เข้าจวนเสียเลย หากช้าไปสักวันสองวัน เกรงว่าพวกเราสองคนจะทนคิดถึงกันไม่ไหว พานพาหัวใจขาดวิ่นไปเสียก่อน”
ความจริงก็นับว่าเป็คุณชายรูปงามคนหนึ่งแท้ๆ แต่ไฉนกิริยาวาจาจึงคล้ายคนเสเพลเ้าชู้ประตูดินเช่นนี้ ยิ่งยามที่ย่างก้าวไปไหนต่อไหน เห็นแล้วก็ชวนวิตกว่าเครื่องประดับที่สวมใส่มาเต็มตัวจะหล่นลงพื้นสักชิ้นสองชิ้นหรือไม่
โม่เสวี่ยิ่จอมเสแสร้งปะทะกับจอมอันธพาลหลี่โย่วโม่ ไม่รู้ว่าฝ่ายไหนจะได้ชัยชนะ โม่เสวี่ยถงนึกอยากรู้เป็อย่างยิ่ง นางเดินอ้อมไปยืนข้างโม่เสวี่ยิ่ด้วยท่าทางห่วงใย แต่แท้จริงแล้วนางอยากเห็นเหตุการณ์ให้ชัดเจนต่างหากเล่า
โหยวเยวี่ยเฉิงตะลึงพรึงเพริด ไม่ทราบแน่ชัดว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ดวงตาที่เต็มไปด้วยความทะนงมองไปที่โม่เสวี่ยถงแล้วเดินตามไป