ิญญาาขั้นฟ้าแฝงด้วยกลิ่นอายอันแกร่งกล้า ั้แ่อดีตจวบจนปัจจุบันในอาณาจักรจ้าวก็ยังไม่มีใครระดับตำนานนี้ได้
ขณะนั้นเย่เฟิงเหลือบไปเห็นวิหคั์อย่างไม่ตั้งใจ วิหคั์ตนนี้มีขนห้าสี เรืองรองด้วยแสงสีทองราวกับเป็สัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ ลักษณะภายนอกคล้ายหงส์แต่มิใช่หงส์ ดูน่าเกรงขามยิ่ง
“วิหคะ!” เย่เฟิงจำวิหคตนนี้ได้ทันที วิหคะเป็สัตว์อสูรในตำนาน มีพลังะ ทั้งยังเป็อสูรเทพสายป้องกันระดับสูง
“ถ้าข้าผสานเป็หนึ่งกับิญญาาวิหคเทพะนี่ได้ ข้าก็จะมีิญญาาวิหคเทพะ เช่นนั้นข้าจะมีพลังของมัน และทำให้การป้องกันของข้าแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก!” เย่เฟิงพึมพำและตัดสินใจที่จะเลือกิญญาาวิหคเทพะตนนี้
ั้แ่ไหนแต่ไรมาเขาให้ความสำคัญกับการป้องกันทางกาย ก่อนหน้านี้ได้ฝึกเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกายไปสองอย่าง ในระดับเดียวกันจึงถือว่าไร้เทียมทานมาก หากผนวกกับพลังคุณสมบัติของวิหคเทพะตนนี้จะต้องแข็งแกร่งขึ้นมากแน่นอน
เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ เย่เฟิงก็รีบขับเคลื่อนจิตไปหาิญญาาวิหคเทพะที่น่าเกรงขามตนนั้นอย่างไม่มีความลังเลใด ๆ
“วูบ!” จิตของเย่เฟิงถูกแรงกดดันจากวิหคเทพะที่มาเยือนกดทับในทันที และแรงกดดันนั้นต่างกับสิ่งที่ิญญาาเทพัขั้นครามที่เย่เฟิงผสานก่อนหน้านี้
“แครก!” มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนั่น จิตของเย่เฟิงเริ่มปรากฏรอยร้าวจาง ๆ แต่เย่เฟิงยังคงยืนหยัดและเดินหน้าต่อ ด้วยการพึ่งพิงอำนาจฟ้าดิน ทำให้อำนาจในมิตินี้พันธนาการเขาไม่ได้ จากนั้นจิตของเขาเริ่มการผสานกับวิหคเทพะทีละนิด ๆ
ภายในห้องลับ พลังหยวนมหาศาลเกิดคลุ้มคลั่ง ปีศาจน้อยตนนั้นจึงถูกกระแสคลื่นพลังหยวนพัดปลิว ทำให้มันหวาดผวาและส่งเสียงร้องไม่หยุด
ภายนอกถ้ำนั้นมีเมฆพลังหยวนค่อย ๆ รวมตัวกันบนท้องฟ้า และมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยงปร้าง ทันใดนั้นสายลมพัดกรรโชก เศษฝุ่นปลิวว่อน นาทีนี้เหล่าสัตว์อสูรในเขาเทียนเสวียนต่างเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา
“วี้ด!” ในขณะเดียวกันมีเสียงนกร้องดังมาจากฟากฟ้า ก่อนคลื่นเสียงจะเข้าปกคลุมทั่วพื้นที่ป่า
จากนั้นมีเงาวิหคเทพที่เรืองรองแสงสีทองปรากฏบนท้องฟ้า มันแฝงด้วยความน่าเกรงขาม ทั้งยังมีคลื่นพลังชีวิตเทลงมายังพื้นดิน ทำให้ต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งกลับมาเขียวขจีมีสีสัน
“โฮก!!!” เสียงคำรามหลายสายดังกึกก้องทั่วเขาเทียนเสวียน มีสัตว์อสูรมากมายคุกเข่าให้เงาวิหคเทพบนท้องฟ้านั่น และดวงตาของพวกมันยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
“วี้ด!” วิหคเทพกู่ร้อง กระพือปีกห้าสีบินโฉบรอบท้องฟ้า
ณ สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ในขณะนั้นเอง หลายคนก็สังเกตเห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเหนือเขาเทียนเสวียน และต่างต้องตื่นใ
“ดูเหมือนนั่นน่าจะเป็วิหคเทพะ! เหตุใดวิหคเทพะจึงปรากฏตัวที่เขาเทียนเสวียน หรือว่าในเขาเทียนเสวียนจะมีวิหคเทพะถือกำเนิดขึ้นมา?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะชี้นิ้วไปที่ท้องฟ้าเหนือเขาเทียนเสวียนด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ในเขาเทียนเสวียนจะมีวิหคเทพะได้อย่างไร? นั่นน่าจะเป็แค่เสี้ยวพลังจิตของวิหคเทพะ อาจมีใครบางคนเข้าใกล้เขตปลุกิญญาาวิหคเทพะระดับสูง จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้!” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ระดับสูงคนหนึ่งกล่าว เขาค่อนข้างมีประสบการณ์ จึงรู้เื่เกี่ยวกับิญญาามากกว่าคนอื่น
“ิญญาาวิหคเทพะคงจะทรงพลังมาก อย่างน้อยก็ขั้นเขียวกระมัง!” คนผู้หนึ่งกล่าวด้วยดวงตาทอประกาย
ทุกคนต่างทราบกันดี ในอาณาจักรจ้าวผู้ที่ปลุกิญญาาขั้นเขียวได้ล้วนแต่เป็อัจฉริยะชั้นยอด แต่ผู้ที่ปลุกได้กลับมีจำนวนน้อย อีกอย่างเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่เมืองโยวโจว การปลุกิญญาาหงส์ขั้นเขียวของหนานกงหลิงซวงทำชาวอาณาจักรจ้าวตกตะลึงกันถ้วนหน้า บัดนี้มีปรากฏการณ์อย่างการปรากฏของจิตวิหคเทพะเกิดขึ้นที่เขาเทียนเสวียน หรือนี่หมายความว่ามีอัจฉริยะปลุกิญญาาขั้นเขียวได้อีกคน?
ผู้คนต่างคิดในใจ ใน่เวลาที่ใกล้ถึงปลายปีมีอัจฉริยะปรากฏขึ้นมาไม่น้อย พวกเขาล้วนมีพร์โดดเด่น พลังต่อสู้แกร่งกล้า และเฉิดฉายในสำนักยุทธ์ ทั้งยังมีหลายคนเข้าแทนที่ผู้ฝึกยุทธ์รายนามแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียนก่อนงานประลองสำนักยุทธ์จะเริ่มขึ้น พวกเขาจึงกลายเป็จุดสนใจของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน
ถือได้ว่าเป็ปีแห่งความรุ่งเรืองของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเลยทีเดียว ในปีนี้มีอัจฉริยะปรากฏขึ้นมากมาย ซึ่งเกินกว่าสถิติในห้าปีที่ผ่านมา และบัดนี้ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนปลุกิญญาาขั้นเขียว ดังนั้นผู้คนจะได้เห็นอัจฉริยะมากฝีมือเพิ่มมาอีกคนแล้ว
แต่หารู้ไม่ว่า ิญญาาที่เย่เฟิงปลุกมิใช่ขั้นเขียว แต่เป็ขั้นฟ้า ผู้ใดได้ยินคงต้องตื่นตระหนกเป็แน่ หากเื่แพร่งพราย เย่เฟิงจะต้องตกเป็เป้าของผู้ฝึกยุทธ์นับไม่ถ้วน
“มีอัจฉริยะปรากฏขึ้นในสำนักยุทธ์ขนาดนี้ งานประลองในอีกไม่กี่วันคงจะสนุกน่าดู!” ผู้คนแหงนหน้ามองท้องฟ้าพลางพึมพำ พวกเขาต่างรอคอยและอยากดูว่าเหล่าอัจฉริยะจะแข็งแกร่งถึงระดับไหนกันบ้างในงานประลองสำนักยุทธ์ของปีนี้ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วัน แล้วมีใครบ้างที่จะเฉิดฉายบนเวทีประลอง รวมทั้งใครบ้างที่ได้เข้าไปอยู่ในรายนามแห่งแท่นศิลาเทียนเสวียน
ขณะนั้นมีเงาร่างงดงามหนึ่งอยู่ที่บริเวณชายแดนเขาเทียนเสวียน คนผู้นี้นั่งอยู่บนหินคราม สองมือเท้าคาง สีหน้าดูเศร้าสร้อย ดวงตางามคู่นั้นทอดมองไปยังส่วนลึกของเขาเทียนเสวียน คล้ายกับว่ารอคอยอะไรบางอย่างอยู่ ซึ่งเงาร่างงดงามนี้รออยู่ที่นี่มาครึ่งเดือนแล้ว และไม่ยอมไปไหน ดูเหมือนนางไม่สามารถปล่อยวางคนบางคนได้
“วี้ด!” ขณะนั้นมีเสียงนกกู่ร้องมาจากส่วนลึกของเขาเทียนเสวียน เป็เสียงใสกังวาน ขณะเดียวกันก็ดังเข้ามาในหูของเงาร่างงดงามนี้ จากนั้นนางเงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะเห็นเงาวิหคเทพห้าสีบินโฉบอยู่บนเส้นขอบฟ้าที่ห่างไกลออกไป ดูสวยงดงามอย่างยิ่ง ฉากนี้ทำให้ดวงตาของนางทอเป็ประกายพลางพึมพำว่า “หรือจะเป็เขา?”
เมื่อหวนนึกถึงเงาร่างหล่อเ่าั้ บนใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มสุกสกาว และเกิดความหวังขึ้นมา
ห้องลับ ณ เขาเทียนเสวียน การผสานระหว่างจิตของเย่เฟิงและวิหคเทพะใกล้ถึง่สุดท้ายแล้ว ขณะนั้นเห็นว่าพลังหยวนมหาศาลในห้องลับหลั่งไหลสู่ร่างเย่เฟิงอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างเย่เฟิงเปล่งแสงโชติ่ และเหมือนมีอักขระปรากฏ นาทีต่อมาเงาวิหคเทพที่แผ่กลิ่นอายเกรงขามปรากฏที่ด้านหลังเย่เฟิง พร้อมแสงห้าสีสาดส่องทั่วห้องลับ ทุกอย่างราวกับมีชีวิตชีวาขึ้นมาเมื่อกระทบกับแสงนั้น
“ิญญาาวิหคเทพะขั้นฟ้า!” ดวงตาของเย่เฟิงเป็ประกายพลางเหยียดยิ้มอย่างพึงพอใจ
ด้วยความช่วยเหลือจากหยดน้ำสีเขียวของไข่มุก ไม่เพียงแต่ทำให้พลังของเขายกระดับเป็ขั้นรวมชี่ที่ 3 แต่ยังปลุกิญญาาวิหคเทพะขั้นฟ้าได้อีกด้วย ทำให้เขามีพลังรักษาและความะ
“บัดนี้พลังของข้าถูกยกระดับขึ้นแล้ว ต่อให้เจอผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ที่ 5 ก็ไม่หวั่นกลัว!” เย่เฟิงพึมพำกับตัวเองพลางยิ้มกว้าง จากนั้นเห็นเงาร่างน้อย ๆ ะโเข้าสู่อ้อมกอดของเขา ก่อนจะใช้อุ้งเท้าเล็ก ๆ ตะกายหน้าอกด้วยท่าทางน่ารัก
“เ้าตัวเล็ก เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม?” เย่เฟิงเอ่ยถามขณะมองปีศาจน้อย
ปีศาจน้อยได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็ทำท่าทางงอน เย่เฟิงใช้เวลาบ่มเพาะพลังเกือบสิบวัน และหลายวันที่ผ่านมาเ้าตัวเล็กก็ไม่ได้ใช้ชีวิตดี ๆ เลยเพราะถูกพายุพลังหยวนพัดปลิวไปมา ทำให้มันรู้สึกไม่สบายตัว
“เอาเถอะ ข้ารู้ว่าเ้ารอนาน พวกเราออกไปกันเถอะ” เย่เฟิงกล่าวขณะลูบศีรษะปีศาจน้อย จากนั้นเดินออกจากห้องลับ
แม้การบ่มเพาะพลังในห้องลับนี้จะช่วยทุ่นแรงได้เยอะ แต่ก็กินเวลาไปเกือบสิบวัน ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานประลองสำนักยุทธ์เทียนเสวียน เขาควรกลับได้แล้ว
เมื่อเย่เฟิงออกจากถ้ำ เขาก็เห็นว่ามีเงาร่างใหญ่ั์นับร้อยเฝ้าคอยอยู่ที่นอกถ้ำ ล้วนแต่เป็ปีศาจพิภพ ซึ่งเย่เฟิงรู้จักปีศาจพิภพสองสามตนที่อยู่หน้าสุด เพราะนั่นคือปีศาจพิภพที่ช่วยเขาจัดการหัวหน้าจิ้งจอกขาว
“เ้าหนูออกมาแล้วหรือ พลังก้าวหน้าไปไม่น้อยเลยนะ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คงเป็เ้าที่ปลุกิญญาาระดับสูงสินะ!” ปีศาจพิภพตนหนึ่งสื่อสารกับเย่เฟิงผ่านความทรงจำ
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า จากนั้นเห็นเย่เฟิงโค้งคำนับให้กับเหล่าปีศาจพิภพ “ผู้เยาว์ต้องไปแล้ว ขอบคุณผู้าุโทุกท่านที่คอยดูแลข้าใน่นี้!”
“ไปเถิด เทือกเขาไพศาลแห่งนี้ไม่เหมาะกับคนหนุ่มอย่างเ้า หนทางของเ้ายังอีกยาวไกล” หัวหน้าปีศาจพิภพถ่ายทอดความทรงจำหนึ่งมาให้เย่เฟิง
“เ้าหนู ถ้ามีเวลาว่างก็มาเที่ยวเล่นที่นี่บ้างก็ได้นะ พวกข้ายินดีต้อนรับเ้า” ปีศาจพิภพอีกตนถ่ายทอดความทรงจำมาให้เช่นกัน
“ได้เลย!” เย่เฟิงรู้สึกซาบซึ้งใจขณะมองเหล่าปีศาจพิภพ ในโลกที่โหดร้ายนี้ บางทีเขาเทียนเสวียนแห่งนี้ก็ยังคงเป็สถานที่ที่มีความจริงใจและซื่อสัตย์
“เ้าตัวเล็ก กลับไปเถิด ข้าต้องไปแล้ว!” เย่เฟิงกล่าวขณะลูบศีรษะปีศาจน้อยตนนั้น
“เมี๊ยว!” ปีศาจน้อยตนนั้นได้ยินคำพูดของเย่เฟิงก็ส่ายหัวไปมา พลางดวงตาฉายแววอ้อนวอน
“ทำไม หรือเ้าไม่อยากลับไป?” เย่เฟิงขมวดคิ้วจาง ๆ เขาคิดไม่ถึงว่าปีศาจน้อยไม่เพียงแต่ให้โอกาสกับเขา แต่บัดนี้ดูเหมือนว่ามันไม่อยากจากเขาไป
“ง่าว!” ปีศาจน้อยพยักหน้าด้วยสีหน้าอ้อนวอน
“พาเขาไปด้วย เ้าตัวเล็กนี่มีวาสนากับเ้า” หัวหน้าปีศาจพิภพถ่ายทอดความทรงจำหนึ่งมาให้ เมื่อปีศาจน้อยตนนี้เป็อิสระแล้ว ย่อมเป็เื่ธรรมดาที่มันอยากจะออกไป
“ถ้าเช่นนั้นผู้เยาว์จะพามันไปด้วย ผู้าุโทุกท่าน หวังว่าพวกเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก!”
เย่เฟิงโค้งคำนับเหล่าปีศาจพิภพ จากนั้นมุ่งหน้าออกจากเขาเทียนเสวียน ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา หลายวันที่ผ่านมาเขาเย่เฟิงได้รับความเมตตาจากเหล่าปีศาจพิภพ วันหน้าเขาจะต้องตอบแทนบุญคุณพวกเขา