หากต้องอธิบายสภาพของโม่จ้านในยามนี้ด้วยคำหนึ่งคำ คงจะเป็คำไหนไปไม่ได้นอกจากคำว่า ‘หมดอาลัยตายอยาก’
ตามหลักแล้วหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนถึงจะเป็เื่ปกติของมนุษย์ ถึงแม้ว่าร่างกายาาปีศาจของตนจะนอนหลับได้ไม่ดีนักในเมื่อคืน กระนั้นกลับไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าสักเท่าไร เมื่อนับนิ้วดู เวลาได้ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามหลังจากชายชรากับเด็กน้อยออกไป ยังเหลือเวลาอีกตั้งมากกว่าอาหารมื้อถัดไปจะมา เวลาในตอนนี้ช่างแสนยาวนานในความรู้สึกของโม่จ้าน หรือเขาจะต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการใคร่ครวญปัญหาชีวิต?
ทันใดนั้นโม่จ้านพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา--- ตนยากจนและกลัดกลุ้มใจ ‘ทั้งชีวิต’ ใน่ที่มีเวลาน้อยสุดๆ วันหนึ่งได้นอนแค่สามถึงสี่ชั่วโมง ตารางเวลาแน่นไม่ต่างกับดาราคนดังที่ต้องออกไปพบปะสาธารณชนให้ตรงเวลา หวังเพียงแค่ว่าให้ตนสามารถหาเงินได้มากขึ้นอีกสักหน่อย หลังจากนั้นจึงค่อยพักผ่อนหลายๆ วัน
แล้วตอนนี้เล่า? เวลามีแล้ว แต่กลับทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ขณะที่โม่จ้านกำลังคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อย ประตูก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้งหนึ่ง
เสียงที่ได้ยินตามมายังคงเป็เสียงกระทบดังกังวานของเสื้อเกราะสีเงินและดาบใหญ่หนักอึ้งบนแผ่นหลัง กระทั่งดวงตายังเป็สีทองอ่อนมิต่างกัน ด้วยสมองที่มีความรู้อันน้อยนิดของโม่จ้าน สามารถแยกแยะได้เพียงแค่ว่าลวดลายบนแถบผ้านั้นต่างจากอัศวินคนเมื่อวาน โม่จ้านสังเกตเงาบนพื้น เห็นว่าด้านหลังอัศวินผู้นั้นยังมีคนอีกผู้หนึ่งตามมา บุคคลนั้นถูกร่างสูงใหญ่ของอัศวินบดบังเอาไว้เสียจนมิด มองไม่เห็นแม้กระทั่งชายอาภรณ์
“สวัสดียามบ่าย ท่านอัศวิน” โม่จ้านเงยหน้าขึ้น เผยรอยยิ้มที่์รู้ว่าเมื่อคนอื่นมองมาจะแลดูอันธพาลเพียงใด “ข้าเดาว่าตาแก่นั้นคงจะนำความผิดปกติของข้าไปรายงาน ‘พระเ้า’ แล้วเรียบร้อย มิคาดว่าแข้งขาที่แทบจะก้าวไม่ออกกลับรวดเร็วได้ถึงเพียงนี้”
“เ้า...” ลู่อี้ที่ถูกเรียกว่าตาแก่ตอกย้ำจนเหลืออด เขาย้ายไปอยู่ด้านข้างของอัศวิน ชี้นิ้วร้องบริภาษโม่จ้านว่า “ท่านเทพแห่งแสงไม่มีทางลดตัวลงมาตัดสินโทษปีศาจที่ก่อกรรมทำชั่วสถานหนักเช่นเ้าด้วยพระองค์เอง เพียงแค่สันตะสำนักก็สามารถทำให้ร่างของเ้าแหลกเป็หมื่นชิ้นได้!”
อัศวินมองพระสังฆราชลู่อี้ที่โมโหจนหอบหายใจหนักอยู่ด้านข้างแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาก้าวลงขั้นบันไดไปหยุดยืนตรงหน้าโม่จ้าน ั์ตาสีทองทอประกายเย็นเยียบ ไร้ซึ่งความยำเกรงต่อาาปีศาจที่อยู่ตรงหน้า
“......อึก แค่ก!”
ทันใดนั้นอัศวินใช้มือหนึ่งบีบคอโม่จ้าน ข้อต่อกระดูกนิ้วหนาใหญ่ค่อยๆ กำเข้าหากันแน่น
โม่จ้านที่ลมหายใจติดขัดขบกรามแน่น มุมปากยังคงหยักยก
“...แค่กๆ...ท่านอัศวินมีใบหน้าดูดีถึงเพียงนี้...คาดไม่ถึงว่าจะยอมถวายหนึ่งชีวิตให้เทพแห่งแสงที่น่ารำคาญอะไรนั่น ช่างน่าเสียดาย...แค่กๆๆ”
อัศวินผู้นี้หน้าตาหล่อเหลามากจริงๆ ใบหน้าคมเข้มไม่ต่างกับใช้มีดแกะสลัก คิ้วโก่งดังคันธนู จมูกโด่งได้รูป ริมฝีปากสีแดงอ่อนบางดูอิ่มเอิบ กอปรกับผิวสีขาวและผมยาวสีน้ำตาลอ่อนเป็ลอน หากเปลี่ยนเป็อยู่ในโลกของตัวเขา คาดว่าจะต้องเป็ที่หมายตาของผู้หญิงกลุ่มใหญ่เลยทีเดียว
เพียงแต่สายตาที่ดุดันจนเกินไปนั่นช่างไม่เข้ากับั์ตาสีทองบริสุทธิ์เลยสักนิด ทั้งยังมีแผลเป็ลากยาวจากหน้าผากขวาไปจนถึงข้างจมูกซ้ายที่แสนน่ากลัว ยิ่งขับให้กลิ่นอายของท่านอัศวินตรงหน้าแลดูน่าหวาดกลัวยิ่งขึ้นไปอีก มิคล้ายเผู้รับตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา แต่คล้ายมือสังหารที่ปลอมตัวมาเป็ผู้รับตำแหน่งศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาเสียมากกว่า
“...อย่ามองข้าเหมือนกับข้าติดหนี้เ้า ์เท่านั้นที่รู้ว่ากองอัศวินของพวกเ้ายากจนถึงขั้นไม่มีกระทั่งเงินให้ลบรอยแผลเป็...อึก แค่ก!”
โม่จ้านมั่นใจว่าคนตรงหน้าไม่มีทางฆ่าตนก่อนถึงเวลา เขาจึงอดกลั้นความทรมานจากการขาดอากาศหายใจเพื่อยั่วยุอีกฝ่าย ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร กลับกลายเป็พระสังฆราชลู่อี้ผู้อยู่ด้านข้างที่กระวนกระวายใจขึ้นมาเสียก่อน
“ท่านเจีย...เจียเอ่อลั่ว พิธีตัดสินเ้าปีศาจคืออีกสี่วันให้หลัง หากท่านสังหารเขาเสียตอนนี้ สันตะสำนักคงไร้ซึ่งคำอธิบายต่อเหล่าประชาชน!”
“หึ” เจียเอ่อลั่วแค่นหัวเราะเสียงเย็นก่อนปล่อยคอของโม่จ้านให้เป็อิสระ เขาหันกลับไปถามลู่อี้ “เขาเริ่มผิดปกติั้แ่เมื่อใด?”
ชายชราแอบหันไปชำเลืองโม่จ้านที่เอาแต่ไอออกมามิหยุดปราดหนึ่ง “...คล้ายจะเป็เมื่อมิกี่วันก่อนกระมัง? ก่อนหน้านี้ยังเอาแต่อดอาหาร ทว่าเมื่อเช้ากลับกินอาหารที่ส่งมาให้ หลังจากถูกจับมามักมีท่าทีหมดอาลัยตายอยาก มิรู้ว่าจู่ๆ เปลี่ยนมามีกำลังวังชาั้แ่เมื่อใดขอรับ”
หัวคิ้วของอัศวินขมวดเป็ปมแน่น ลางสังหรณ์บอกเขาว่ามีบางอย่างมิชอบมาพากล ทว่ามิว่าจะคิดอย่างไรก็คิดมิออกว่าเกิดความผิดพลาดที่ส่วนใด
“มีกำลังวังชานับเป็เื่ดี อย่างน้อยก็มิตายง่ายๆ ก่อนจะถึงพิธีตัดสิน” เจียเอ่อลั่วชักกระบี่ออกมา ปลายแหลมคมของกระบี่เย็นเฉียบจ่อบนลำคอของโม่จ้าน “มิว่าเ้าคิดจะใช้อุบายอะไรก็ไร้ประโยชน์ ผู้ที่จะคลายวงเวทย์สยบปีศาจของสมเด็จพระสันตะปาปาได้มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้น จงเฝ้ารอการลงโทษจากเทพแห่งแสงอย่างว่าง่ายเถิด”
โม่จ้านไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย สายตาของเขาแน่วแน่ ลมหายใจผ่อนออกจากจมูกแ่เบา มุมปากหยักยกเป็องศาเย้ยหยัน สายตาไร้ความอ่อนโยนของเจียเอ่อลั่วมองผ่านใบหน้าของาาปีศาจก่อนจะแค่นหัวเราะเสียงเย็นอีกครั้ง กระบี่แหลมคมถูกเก็บเข้าฟักตามเดิม ก่อนหันไปมองชายชราเป็เชิงว่าให้ออกไปพร้อมกัน
วางมาดตบตาเหมือนๆ กันหมด ใบหน้าของโม่จ้านฉายแววเหยียดหยามด้วยความไม่พอใจขณะให้คำนิยามทุกคนในกองอัศวินแห่งพระวิหาร
ระหว่างที่มองแผ่นหลัง ‘อัศวินติดหนี้’ หายลับไปหลังบานประตู โม่จ้านก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งหนึ่ง ทันทีที่อีกฝ่ายเข้ามาก็ลงไม้ลงมือ ทำให้ครั้งนี้ตนไม่อาจหลอกถามสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการเอาตัวรอดได้เลยสักนิด
นอกจากนั้นคล้ายอัศวินที่ชื่อเจียเอ่อลั่วจะชี้แนะตาเฒ่าผู้นั้นเอาไว้ ไม่ใช่เื่ง่ายกว่าตัวเขาจะอดทนจนถึงตอนเย็น ทว่าสุดท้ายกลับเห็นเพียงลู่อี้ที่มาส่งข้าวให้ตนด้วยสีหน้าไม่ยินดีปรีดา แม้ว่าตนจะพยายามยั่วยุเช่นไรก็ไม่เป็ผล โม่จ้านจึงใช้สายตาอันแหลมคมเพ่งมอง ถึงพบว่าอีกฝ่ายใส่จุกอุดหูอย่างคาดไม่ถึง สิ่งนี้นำมาใช้เพื่อปิดกั้นเสียงของตนโดยเฉพาะ อีกทั้งตนเพิ่งจะวางชามที่ถูกกินจนเกลี้ยงลงบนโต๊ะ อีกฝ่ายก็รีบคว้าเอาไว้แล้วใส่ลงในตะกร้าไม้ไผ่ ท่าทางอยากจะเผ่นหนีไม่ต่างกับหนูเห็นแมว
ช่างเถอะๆ ์อยากให้ตาย แล้วข้าจะดิ้นรนไปเพื่ออันใด โม่จ้านพยายามแยกแยะเสียงระฆังเตือนว่ายามค่ำคืนมาถึงก่อนจมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้งหนึ่ง
......
โม่จ้านนอนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดพลางเคาะผนังข้างมืออย่างจนปัญญา ััที่ได้รับยังคงเป็ไม้เนื้อหนาที่คุ้นเคย หรือว่าเขาถูกขังไว้ใน ‘โลงศพ’ ที่ฝันเห็นเมื่อวานอีกแล้ว?
แต่ครั้งนี้โม่จ้านเตรียมใจเอาไว้ล่วงหน้า เขากลั้นหายใจใช้มือคลำสำรวจผนัง อนุมานความเล็กใหญ่และความกว้างของ ‘โลงศพ’ ด้วยแขนขา คาดว่าน่าจะกว้างกว่าไหล่เล็กน้อย ระดับความสูงแค่พอให้พลิกตัวแต่ไม่อาจยกขา ระดับความยาวก็มากกว่าส่วนสูงแค่ยี่สิบเิเ เรียกได้ว่าเป็โรงแรมแคปซูลขนาดเล็ก
อากาศใน ‘โลงศพ’ เหม็นยิ่งนัก กลิ่นทั้งคาวและชื้น ไม่ต่างกับห้องใต้ดินในฤดูฝน ไม่ทันให้โม่จ้านได้ใคร่ครวญว่าขั้นต่อไปจะทำอย่างไร ความรู้สึกแน่นหน้าอกก็ตีรวนขึ้นมา ตามด้วยอาการเวียนศีรษะ ร่างกายเริ่มถูกความเ็ปไม่ต่างกับปอดแตกเข้าจู่โจม ภายใต้ความตื่นตระหนก โม่จ้านออกแรงตบหน้าตัวเองหนึ่งฉาด จึงสามารถปลุกตนเองให้ตื่นจากฝันได้สำเร็จ
“พระเ้า!” โม่จ้านที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาโมโหยิ่งกว่าปกติ เขาร้องะโใส่เพดานห้องสีดำมืดด้วยความขุ่นเคือง “กลางวันมีอัศวินใช้ความรุนแรง ตอนกลางคืนยังมีผีอำ ถูกขังถูกมัดก็ช่างเถอะ ตอนนอนยังจะต้องถูกบังคับให้ฝันอีก? นี่มันหน่วยงานลับที่สอบปากคำด้วยการทรมานชัดๆ กระทั่งนอนหลับดีๆ ก็ยังทำไม่ได้!”
กลางดึกผู้คนเงียบสงัด สิ่งที่ตอบกลับโม่จ้านมีเพียงเสียงกระทบของโซ่เหล็ก โม่จ้านรู้สึกหงุดหงิดเป็อย่างมาก แขนขวาที่มีมัดกล้ามนูนใหญ่ออกแรงดึง โซ่ตรวนส่งเสียงดัง ‘กึก’ ก่อนจะร่วงหล่นลงบนพื้น
“....??!”
โม่จ้านนิ่งงันอยู่ครึ่งค่อนวันกว่าจะได้สติกลับคืนมา ไม่เพียงแต่ตาเฒ่าผู้นั้นมิได้มัดตนให้ดี ทว่าเดิมทีก็เป็การฝืนพันเอาไว้เท่านั้น าาปีศาจโม่ที่กำลังเผยสีหน้าหมดคำจะพูดลองขยับแขนซ้าย จากนั้นใช้แขนข้างขวาดึงสายโซ่ลงด้านล่างเบาๆ แม่กุญแจที่คล้องสายโซ่บนแขนส่งเสียงขานรับก่อนจะปลดออก มิต่างอะไรกับเกราะเหล็กที่ถูกดึงสายมัดให้คลายตัวลง ต่างพากันลงไปกองอยู่บนพื้นทั้งหมดทันที
หลังแขนทั้งสองข้างเป็อิสระ แน่นอนว่าโม่จ้านย่อมต้องปลดโซ่ตรวนบนกาย หลังจากนั้นเขาจึงเพิ่งค้นพบเื่ที่ทำให้ตนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก --- ช่องว่างระหว่างตัวเขากับโซ่เหล็กใหญ่พอจะให้สอดแขนเข้าไปได้ โม่จ้านจัดการ ‘ถอด’ โซ่เหล็กไม่ต่างกับถอดกางเกง จากนั้นก้าวออกมาจากกองโซ่เหล็กที่สูงประมาณครึ่งขา
ขณะมองแม่กุญแจใหญ่สีเงินไร้ประโยชน์ทั้งสามที่อยู่บนพื้น โม่จ้านก็เข้าสู่โหมดใช้ความคิด “หรือว่าตาเฒ่านั่นจงใจ?”
... ในเมื่อตนสามารถขยับได้แล้ว เช่นนั้นก็ลองลงเดินให้ไกลสักหน่อย
ความจริงเป็เครื่องพิสูจน์ ไม่ว่าจะคิดมากเกินไปหรือตาเฒ่าจงใจทำ โม่จ้านก็ไม่มีโอกาสที่จะได้เป็อิสระอยู่ดี --- เพราะไม่ว่าโม่จ้านจะลองเดินไปทิศทางใดแค่ไม่กี่ก้าวก็ล้วนแต่ถูกขวางไว้ด้วยกำแพงอากาศที่ไม่อาจมองเห็น เมื่อออกแรงทุบลงไป ส่วนที่ถูกทุบยังจะเกิดเป็ระลอกคลื่นสะท้อนกลับจนรู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งแขน
โม่จ้านผู้สิ้นหวังนั่งลงกับพื้นก่อนจะเริ่มเข้าสู่โหมดใคร่ครวญปัญหาชีวิต
เมื่อปราศจากสิ่งรบกวนมากมายดังในตอนกลางวัน บรรยากาศเงียบสงัดทำให้ประสาทััของโม่จ้านว่องไวกว่าปกติ ครั้นาาปีศาจปิดเปลือกตาลงทำสมาธิ เขารับรู้ได้ด้วยประสาทััที่อ่อนไหวว่าพลังในร่างกายกำลังค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ ซึ่งสาเหตุก็มาจากสิ่งที่อยู่บนพื้นใต้ฝ่าเท้าของเขา
แสงเทียนขมุกขมัวจนไม่อาจมองเห็นได้ชัด โม่จ้านทำได้เพียงใช้นิ้วมือลูบคลำอย่างละเอียด ััได้ถึงรอยแกะสลักนูนเว้าไม่ราบเรียบเป็จำนวนมาก
หรือนี่จะเป็วงเวทย์ดูดพลังที่ตาเฒ่าลู่อี้พูดถึง? เช่นนั้นวงเวทย์ิญญากับวงเวทย์สยบปีศาจคืออะไร? เหตุใดเขาจึงััไม่ได้แม้แต่น้อย?
โม่จ้านนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ภายในหัวเริ่มคิดวิเคราะห์อัตโนมัติ
หากวงเวทย์ิญญาที่อยู่ใต้ดินมีไว้เพื่อผนึกพลังิญญาของาาปีศาจ เช่นนั้นเกรงว่าวิธีที่จะหนีออกไปได้คงมีเพียงต้องฝืนใช้พลังิญญาทำลายผนึกเพื่อฝ่าออกไป ตัวเขาได้เห็นแล้วว่าิญญาของาาปีศาจอ่อนแออย่างยิ่ง ก็น่าจะเป็เพราะสาเหตุนี้นั่นเอง
ภายใต้สถานการณ์ที่ภาพเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความมืดมิด แม้โม่จ้านจะค้นพบต้นตอของวงเวทย์พวกนี้ ทว่ากลับไม่มีความสามารถพอที่จะทำลายมัน ถึงขั้นที่ว่าทุบให้เป็เื่เล็กๆ ก็ยังมิอาจทำได้ พวกเขาเริ่มต้นด้วยการดูดพลังปีศาจเป็อันดับแรกแล้วค่อยผนึกิญญา จากนั้นจึงค่อยบั่นทอนการฟื้นฟูพลังไปเรื่อยๆ นับได้ว่าเป็หมากตายหนึ่งกระดาน มิน่าเล่าอัศวินติดหนี้ถึงได้บอกว่ามีเพียงสมเด็จพระสันตะปาปาเท่านั้นที่จะคลายวงเวทย์ได้ ภายใต้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมเช่นนี้ หากผู้ใดถูกจับเข้ามาขังก็คงมิอาจหลบหนีออกไปได้ทั้งสิ้น...
คิดดูแล้วก็ยังคงไร้หนทางรอด เพียงแต่อย่างน้อยก็ยังได้นอนเอนตัว โม่จ้านหอบโซ่เหล็กมาทำเป็หมอนหนุน ตามด้วยส่งเสียงกรนอีกครั้งโดยไม่คิดแยแสต่อสิ่งใด