เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว บางทีอาจเพราะเขาเป็ครอบครัวที่ยากจะมีได้ ทำให้นางไม่ได้ใส่ใจการมีอยู่ของผู้ที่เฉลียวฉลาดด้านข้างผู้นี้
เหนียนยวี่ถอนสายตากลับมา เอ่ยอย่างไม่ปิดบัง “รู้จัก เพียงแต่...ข้ารู้จักเขา เขาไม่รู้จักข้า”
แม้ในชาติก่อนพวกเขาสองคนจะร่วมเป็ร่วมตายกันมา ทว่ามิตรภาพเช่นนั้นก็เป็แค่สิ่งที่เกิดขึ้นในชาติก่อนเท่านั้น ส่วนชาตินี้ แท้ที่จริงเซียวหรานยังไม่รู้จักนางด้วยซ้ำ
สีหน้าแววตาภายใต้หน้ากากของฉู่ชิงก็ยิ่งเริ่มค้นหามากขึ้นเรื่อยๆ นางรู้จักเขา เขาไม่รู้จักนางอย่างนั้นหรือ?
แล้วความเชื่อใจที่ฉายออกมาบนใบหน้านาง เมื่อครู่นี้มาจากสิ่งใดกันแน่?
คำถามในใจของฉู่ชิงผุดมามากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าคนฉลาดเช่นฉู่ชิง เขารู้ดีว่าคำถามที่เขาถามออกไปเมื่อครู่นี้ เหนียนยวี่มิได้ปิดบัง นางค่อนข้างจะเชื่อใจเขาเป็อย่างดี หากเขายังคงไล่ถามอีก สตรีผู้นี้จะยอมตอบอีกหรือไม่?
ฉู่ชิงอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มเบิกบาน ทั้งสองมาถึงจวนองค์หญิงใหญ่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฉู่ชิงนั่งบนหลังม้า เฝ้ามองจนเหนียนยวี่เข้าไปในจวนองค์หญิงใหญ่แล้วจึงถอนสายตากลับม้า กุมบังเหียนให้ม้าหันกลับและขี่ม้าออกไป
งานเลี้ยงในเรือนพำนักที่ฉางไทเฮาเป็เ้าภาพจะจัดขึ้นในตอนเย็น
ในวันนี้ หลังเที่ยงวันที่ห้องพระ ตำหนักฉางเล่อ
กิจวัตรประจำวันของฉางไทเฮา หลังมื้ออาหารค่ำคือการคัดลอกพระคัมภีร์ ทว่าวันนี้หลังรับประทานอาหารเที่ยงมื้อง่ายๆ สตรีสง่างามในชุดเรียบง่ายกลับนั่งอยู่ในห้องพระ เริ่มจากสวดมนต์ จากนั้นก็คัดลอกพระคัมภีร์
"เมื่อคืนเ้าได้ยินหรือไม่?" ด้านนอกห้องพระซึ่งมีกำแพงหนึ่งชั้นกั้นไว้ นางกำนัลจงใจลดเสียงลง เอ่ยพูดคุยกันอย่างระมัดระวัง
ครู่ถัดมา มีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น ดูเหมือนว่ามิต้องเอ่ยอธิบายอะไรก็เข้าใจกันเป็อย่างดี “ได้ยินสิ”
“ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง วันนี้ตอนเช้าข้าได้ยินนางกำนัลข้างนอกตำหนักฉางเล่อพูดกันว่า เสียงนั้นดังมาจากสวนร้อยสัตว์ หลังจากเพลิงไหม้ครั้งใหญ่วันนั้น ฮองเฮาอวี่เหวินกับคุณหนูยวี่ถูกช่วยออกมาแล้วมิใช่หรือ? ข้างในนั้นจะยังมีคนอยู่อีกได้อย่างไร?” นางกำนัลคนนั้นนึกถึงเสียงร้องขอความช่วยเหลืออันน่าสังเวชเสียงนั้น ความหนาวเย็นพุ่งออกมาจากฝ่าเท้า แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว
“ผู้ใดจะไปรู้เล่า? สวนร้อยสัตว์นั่นแปลกประหลาดมาตลอด ข้าได้ยินว่า ครานั้นองค์หญิงจี้เยวี่ยเองก็สิ้นพระชนม์ในสวนร้อยสัตว์ คงมิใช่ว่า...”
“เ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ยามที่องค์หญิงจี้เยวี่ยสิ้นพระชนม์ องค์หญิงอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น นางยังเป็เด็ก แม้จะเป็ผีก็ไม่ควรเป็เช่นนั้น...เสียงร้องโหยหวนเมื่อคืนนี้ฟังดูก็รู้ว่าเป็เสียงของสตรีชัดๆ”
“อะแฮ่ม...”
นางกำนัลสองคนเพิ่งเอ่ยมาถึงตรงนี้ เสียงกระแอมไอแทรกเข้ามา ครั้นสองคนนั้นเห็นฉินกูกูเดินเข้ามา พลันรีบหุบปากลงและยืนตัวตรงอย่างเป็ระเบียบทันที
“นางกำนัลชั้นต่ำสองคนนี้นี่ มานินทาซุบซิบอะไรกันตรงนี้ รบกวนไทเฮาที่อยู่ในห้องพระ ต้องให้ต่อว่าเสียก่อนกระมัง พวกเ้าคงจะสบายใจขึ้น!” ฉินกูกูกดเสียงต่ำตวาดลั่น
นางกำนัลทั้งสองคนตัวสั่นเทา รีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันวิงวอนขอความเมตตา ฉินกูกูกลับขมวดคิ้วและเอ่ยตัดบทว่า “ยังไม่รีบไปอีก ตำหนักแห่งนี้ใช่สถานที่ที่พวกเ้าจะมาซุบซิบนินทาหรือไร?”
“บ่าวสมควรตาย บ่าวสมควรตาย...” ทั้งสองรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไปอย่างตื่นตระหนกมือไม้อ่อน ฉินกูกูเหลือบมองในห้องพระ ก้าวเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง มองดูฉางไทเฮาที่กำลังคัดลอกพระคัมภีร์ ไม่กล้ารบกวน ทำเพียงก้มศีรษะรออยู่ด้านข้าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉางไทเฮาพลันเอ่ยปาก “รถม้าเตรียมพร้อมหรือยัง?”
“ทูลไทเฮา เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ ฝ่าาทรงมอบหมายมาว่า การจัดงานเลี้ยงที่เรือนพำนักจะต้องปกป้องความปลอดภัยของไทเฮาให้มากกว่าเดิม เื่ที่เกิดขึ้นตรงประตูเมืองคราก่อน จะให้เกิดขึ้นอีกครั้งไม่ได้ เพราะเช่นนั้นฝ่าาจึงส่งทหารราชองครักษ์มาคอยคุ้มกันพระนางโดยเฉพาะเพคะ” ฉินกูกูกล่าวด้วยความเคารพ
“คุ้มกัน?” พู่กันในมือของฉางไทเฮาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าเรียบสงบผุดรอยยิ้มเล็กน้อย “ฝ่าาช่างมีน้ำใจเสียจริง”
“ฝ่าาทรงเคารพไทเฮามาั้แ่ไหนแต่ไรแล้วเพคะ”
ฉางไทเฮาขยับพู่กันในมือต่อและเขียนตัวอักษรอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงเอ่ยปากต่อไปว่า “ท่านอ๋องหลีเล่า?”
“เช้าตรู่วันนี้ ท่านอ๋องหลีส่งคนมาแจ้งว่า ท่านอ๋องจะไปจัดการเื่งานเลี้ยงตอนเย็นที่เรือนพำนัก เพื่อไทเฮาจะได้ไม่ต้องกังวลกับเื่นี้เพคะ” ฉินกูกูเอ่ยตอบตามความจริง
ฉางไทเฮาขานรับและมิได้กล่าวสิ่งใดอีก รอจนคัดลอกพระคัมภีร์ตรงหน้าเสร็จก็ล่วงเข้ายามบ่ายแล้ว นางวางพู่กันลง จากนั้นฉางไทเฮาจึงกลับไปที่ห้อง โดยมีฉินกูกูปรนนิบัติแต่งทรงองค์เครื่องให้ใหม่ ยังคงเป็ชุดเรียบง่ายสีครามเช่นเดิม มิได้ประดับอะไรบนเส้นผมมากนัก ทว่าความสง่างามสงบนิ่ง รวมถึงท่าทางสูงส่งที่แผ่ซ่านรอบตัว ยังคงยากจะปกปิดดังเดิม
ยามที่ฉางไทเฮาออกไปนอกวัง มักจะให้ฉินกูกูติดตามไปเพียงผู้เดียว
ด้านนอกประตูจูเชวี่ยมีทหารราชองครักษ์ยอดฝีมือเฝ้ารออยู่ก่อนแล้ว ครั้นพวกเขาเห็นฉางไทเฮาต่างรีบโค้งคำนับนางทันที รอจนกระทั่งฉางไทเฮาเสด็จขึ้นรถม้า ทหารกลุ่มหนึ่งคอยคุ้มกันรอบรถม้าที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังทิศทางของเรือนพำนัก
ภายในเรือนพำนัก
ยามตะวันลาลับ เหนียนยวี่กับมู่อ๋องจ้าวอี้เดินมาถึงแล้ว
ทันทีที่เข้าไปในเรือนพำนัก เหนียนยวี่รู้สึกได้ถึงความเข้มงวดของทหารที่เฝ้าป้องกัน
เรือนพำนักแห่งนี้แบ่งออกเป็สี่ทิศ ได้แก่ ตะวันออก ตะวันตก เหนือและใต้ ทุกทิศทางจะมีลานพำนักที่ตั้งแยกเป็อิสระ และรูปแบบการก่อสร้างของแต่ละเรือนพำนักเป็แบบที่โดดเด่นที่สุดในแคว้นเป่ยฉี
ครานี้ราชทูตแคว้นตงหลีและแคว้นหนานเยวี่ยพักอยู่ที่ลานตะวันออกและลานทางใต้ตามลำดับ ซึ่งลานตะวันออกและลานทางใต้จะอยู่ไม่ไกลกันมาก มีเพียงทะเลสาบกั้นกลางเท่านั้น
ยามที่จ้าวอี้ไปหาหลีอ๋องจ้าวเยี่ยน เหนียนยวี่เดินเล่นไปมาอยู่ในเขตเรือนพำนัก นางถูกเสียงขลุ่ยดึงดูด จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ที่ริมทะเลสาบ
เหนียนยวี่มองไปตามทิศทางนั้น ภายใต้ตะวันอัสดง บนผิวน้ำ ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนเรือลำน้อย เสียงขลุ่ยดังแว่วออกมาจากปากของชายหนุ่มผู้นั้น
บทเพลงที่มีรูปแบบของตงหลี ในบทเพลงนั้นเต็มไปด้วยความคะนึงถึง ชื่นชมรักใคร่ ทำให้เหนียนยวี่รู้สึกประหลาดใจ นางจดจำบุรุษผู้นั้นได้ ทั้งเื่ราวในชาติก่อน วันนั้นพวกเขาเคยเจอกันที่งานเลี้ยงฉีเฉี่ยว
ราชทูตตงหลี อวี่เหวินเจี๋ย!
“ไพเราะหรือไม่?” เสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เหนียนยวี่หันกลับไป สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งแฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มอ่อนโยน
และเ้าของดวงตาคู่นั้น...
เหนียนยวี่มองไล่ตามสายตานั้นลงไป ใบหน้างามหยาดหยดปรากฏขึ้นตรงหน้านาง หากไม่มีผ้าคลุมหน้าในงานเลี้ยงฉีเฉี่ยววันนั้น อวี่เหวินหรูเยียนตรงหน้า สีคิ้วงามดั่งสีูเาที่ห่างไกล ดวงตาดุจดวงดาวทอแสง ดูงดงามมีเสน่ห์เหมือนกับในชาติก่อน
"องค์หญิงหรูเยียน" เหนียนยวี่ย่อกายโค้งคำนับอย่างสุภาพ
“คุณหนูยวี่มิจำเป็ต้องมากพิธี หลังจากวันนั้น เมื่อได้รับรู้ถึงการบรรเลงฉินที่งานเลี้ยงฉีเฉี่ยว หรูเยียนกำลังคิดอยู่ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอคุณหนูยวี่อีกครั้ง นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้คุณหนูยวี่จะมาเยือนเรือนพำนัก” อวี่เหวินหรูเยียนใบหน้ายิ้มแย้ม อ่อนหวานประหนึ่งสายน้ำ ครั้นเอ่ยจบพลันโค้งคำนับให้เหนียนยวี่คราหนึ่ง
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว “องค์หญิงหรูเยียน องค์หญิงกำลังทำสิ่งใดอยู่เพคะ? ท่านเป็องค์หญิงแห่งแคว้นตงหลี การคำนับเยี่ยงนี้เหนียนยวี่มิอาจแบกรับได้”
“รับได้ ย่อมรับได้แน่นอน” อวี่เหวินหรูเยียนสบตากับเหนียนยวี่ ความจริงใจในดวงตายิ่งทำให้สตรีผู้นี้ดูซื่อสัตย์มากขึ้น “การคำนับครานี้เพื่อฮองเฮาอวี่เหวิน ในสวนร้อยสัตว์วันนั้น หากมิได้คุณหนูยวี่ช่วยปกป้อง พระนางก็คง...โดยสรุปก็คือ หรูเยียนขอบใจในน้ำใจที่คุณหนูยวี่ได้ช่วยชีวิตพระนางไว้”
น้ำใจที่ช่วยชีวิตหรือ?
เหนียนยวี่มองสตรีตรงหน้า ฮองเฮาอวี่เหวินหลีกเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงเื่ที่เกิดขึ้นในสวนร้อยสัตว์วันนั้นมากถึงเพียงนี้ เกรงว่าพระนางคงมิได้บอกอะไรองค์หรูเยียนผู้นี้มากเป็แน่
และน้ำใจช่วยชีวิตที่นางเอ่ย...
อวี่เหวินหรูเยียนผู้นี้เป็องค์หญิงที่ฉลาดเฉลียวเสียจริง แม้นจะไม่รู้รายละเอียด ทว่านางก็คงจะเดาอะไรบางอย่างจากเื่นี้ได้แน่
นางยังรู้ด้วยว่า หากไม่มีฮองเฮาอวี่เหวิน เช่นนั้นการสมรสกับท่านอ๋องมู่จะต้องยากลำบากขึ้นกว่าเดิม
ครั้นนึกถึงคำสั่งที่ฮองเฮาอวี่เหวินมอบหมายมาให้ในสวนร้อยสัตว์ ดวงตาของเหนียนยวี่พลันวาววับ