หนิงมู่ฉือรู้ว่าที่เฉินเหว่ยพูดเช่นนี้เพื่อให้ตัวเองอารมณ์ดี นางน้ำตาไหลอย่างเศร้าใจ “ท่านอาเฉิน หลายปีมานี้ท่านผ่านมาได้อย่างไร”
นางไม่ได้เจอท่านอาเฉินมาหลายสิบปีแล้ว ตอนที่นางเห็นอีกฝ่ายครั้งแรก นางรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตายิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าจะเป็คนรู้จักเก่าของนางจริงๆ
“เฮ้อ พูดแล้วเื่มันยาว ตอนนั้นข้าถูกต่างแคว้นจับตัวไปจริงๆ ทว่า์มีเมตตาให้โอกาสข้า ข้าถึงหนีรอดออกมาได้” เฉินเหว่ยเหม่อมองท้องฟ้าขณะที่น้ำตาค่อยๆ ไหลออกมา เื่ในปีนั้นคือความเ็ปในใจที่ไม่มีวันจะลบเลือนได้
หนิงมู่ฉือมองเฉินเหว่ยนิ่ง “ทุกปีท่านพ่อจะพาข้าไปไหว้ท่าน ท่านพ่อคิดว่าท่านเสียชีวิตไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าข้าจะได้เจอท่านที่เมืองเทียนหลิง”
เฉินเหว่ยยิ้ม ก่อนจะหันไปมองจ้าวซีเหอ “ท่านอ๋อง…สบายดีหรือไม่”
จ้าวซีเหอรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาเฉินเหว่ยั้แ่ครั้งแรกที่เห็นเช่นกัน เขายังจำตอนสมัยเด็กได้ เขาชอบแอบปีนกำแพงไปเล่นในจวนแม่ทัพเพื่อแอบไปแกล้งหนิงมู่ฉือ ขณะกำลังจะปีนกลับมา เขาจะได้เจอทหารหน้าดำผู้หนึ่งส่งเสียงตวาดว่าเขาทุกครั้ง
ต่อมาทหารหน้าดำผู้นั้นก็กลายมาเป็ฝันร้ายในสมัยเด็กของเขา และนับแต่นั้นเขาก็ไม่กล้าปีนกำแพงข้ามไปเล่นในจวนแม่ทัพอีกเลย น่าเสียดายที่หนิงมู่ฉือมีสมองหมูจำเื่ราวในวัยเด็กไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อร่างกายแข็งแรงมาก” เขาเอ่ยพร้อมกับยิ้ม ดูท่าชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าคือเฉินเหว่ยจริงๆ เช่นนี้เขาก็โล่งอก
“นี่ก็ล่วงเลยเวลามาพอประมาณแล้ว ทั้งสามคนคงจะหิวแล้ว เช่นนั้นเดี๋ยวข้าไปทำอาหารมาให้” เฉินเหว่ยลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินไปทางห้องครัว ทว่ายังไม่ทันได้เดินออกไปก็ถูกหนิงมู่ฉือเรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน
“ท่านอาเฉิน!”
เฉินเหว่ยหันหน้าไปมองหนิงมู่ฉือ “ข้าลืมถามไปเสียสนิทเลย คุณหนูแพ้อาหารใดบ้างหรือไม่”
“ดูท่าท่านอาเฉินคงจะลืมไปแล้วว่าท่านแม่ข้าเก่งเื่ใดที่สุด ท่านแม่ข้าขึ้นชื่อเื่ทำอาหาร เช่นนั้นหน้าที่ทำอาหารยกให้ข้าเถิด” หนิงมู่ฉือตบหน้าอกตัวเองอย่างมั่นอกมั่นใจ
“คุณหนูทำอาหารเป็ด้วยหรือ คุณหนูลูกผู้ดีสมัยนี้หาเจอได้น้อยมากที่จะมีนิสัยสบายๆ เช่นคุณหนู” เฉินเหว่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ภายใต้การปกป้องคุ้มครองราวกับไข่ในหินของจวนแม่ทัพ หนิงมู่ฉือมีโอกาสได้ฝึกทำอาหารด้วยหรือนี่
“ท่านอาเฉิน ท่านดูถูกฉือเอ๋อร์เกินไปแล้ว ฉือเอ๋อร์คือเทพแม่ครัวที่ฝ่าาพระราชทานฉายาให้ด้วยพระองค์เองเชียวนะ” หนิงมู่ฉือยิ้มอย่างโอ้อวดแกมภาคภูมิใจ
พูดถึงเื่ทานข้าว ท้องของเฉินเกอและจ้าวซีเหอพลันส่งเสียงร้องออกมาทันที สายตาของทั้งสองคนเหลือบไปเห็นเสาดอกเหมยด้านนอก ในแววตามีแววสนอกสนใจขึ้นมาทันใด
เฉินเกอยังคงจ้องมองไปยังเสาดอกเหมย ยิ้มพลางเอ่ยถาม “พี่จ้าว พวกเราไปแข่งต่อสู้กันบนเสาดอกเหมย[1] สักยกดีหรือไม่”
“เอาสิ ใครกลัวใคร ไปก็ไป” จ้าวซีเหอพยักหน้า ก่อนจะถอดเสื้อสีขาวออกจากกาย แล้วพุ่งตัวออกไปท่ามกลางสายฝน
หนิงมู่ฉือมองทั้งสองคนที่จะออกไปแข่งต่อสู้กันข้างนอกอย่างพูดไม่ออก ถอนหายใจออกมาพลางเอ่ย “ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว เหตุใดถึงได้ทำตัวเช่นนี้กันนะ”
“ท่านอาเฉิน ห้องครัวของท่านมีวัตถุดิบใดบ้างหรือ” หนิงมู่ฉือมองเฉินเหว่ยที่กำลังหาวัตถุดิบมาทำอาหาร นางเห็นแล้วรู้สึกว่าน่าขบขันเหลือเกิน
เฉินเหว่ยขมวดคิ้ว “ฉือเอ๋อร์ทำอาหารใดเป็บ้าง”
“ท่านหยิบสิ่งใดออกมาข้าสามารถทำได้ทั้งนั้น” ประกายตาของหนิงมู่ฉือเปล่งเป็ประกายเ้าเล่ห์
“ดี เป็คนซื่อตรงดี เช่นนั้นข้าขอทดสอบท่านดูสักหน่อย” เฉินเหว่ยมองหนิงมู่ฉือด้วยสายตารักใคร่เอ็นดู
หนิงมู่ฉือมองจวนที่ค่อนข้างโล่งด้วยความเศร้าและปวดใจ “ท่านอาเฉิน ท่านอยู่คนเดียวหรือ ท่านก็อายุมากแล้ว เหตุใดถึงไม่แต่งฮูหยินสักคนเล่า”
เฉินเหว่ยชะงักฝีเท้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก “การงานยังทำไม่สำเร็จ ข้าจึงไม่กล้าแต่งงาน ข้าอยู่คนเดียวจนชินแล้ว เื่สร้างครอบครัว แม้แต่คิดก็ไม่กล้าคิด”
นางได้ฟังเหตุผลก็ยิ่งรู้สึกเศร้าในใจมากขึ้นไปอีก นางถอนหายใจ มองเฉินเกอและจ้าวซีเหอที่กำลังต่อสู้กันบนเสาดอกเหมยอย่างไม่ยอมแพ้
“คนหนุ่มนี่ดีเหลือเกิน” เฉินเหว่ยมองเฉินเกอและจ้าวซีเหอพลางนึกถึงตัวเองตอนสมัยหนุ่ม
จ้าวซีเหอยืนนิ่งอยู่บนเสาดอกเหมย ตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ส่วนเฉินเกอประเดี๋ยวเดินไปทางนั้นเดินไปทางนี้อย่างยั่วยุท้าทาย
จ้าวซีเหอไม่ได้สนใจเฉินเกอแม้แต่น้อย เขาหลับตาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ว่าอย่างไร พี่จ้าว กลัวหรอกหรือ” เฉินเกอจงใจพูดยั่วให้จ้าวซีเหอโมโห
ทว่าคำพูดต่อมาของจ้าวซีเหอแทบทำให้เฉินเกอกระอักเืออกมา “เลิกพูดสักที ขอข้าพักผ่อนสักครู่”
เฉินเกอชะงักนิ่งด้วยความอึ้ง ไหนบอกว่าจะมาแข่งต่อสู้กันอย่างไร เหตุใดพอขึ้นมาบนเสาดอกเหมย จ้าวซีเหอถึงเกียจคร้านขึ้นมาได้เล่า
หนิงมู่ฉือยกมือปิดปากหัวเราะ แววตาเปล่งเป็ประกายสดใสและอ่อนโยน
ต่อมาไม่นานเฉินเหว่ยก็นำหน่อไม้สองหน่อ ขาหมูหนึ่งขาและเนื้ออกไก่จำนวนไม่น้อยมาให้นาง เมื่อนางเห็นวัตถุดิบ นางนึกอาหารที่จะทำออกทันที นางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ท่านอาเฉินคิดจะทดสอบฝีมือการใช้มีดของข้าสินะ”
เฉินเหว่ยมีสีหน้าแปลกใจ “คุณหนู ข้ายังไม่ทันได้บอกก็รู้หัวข้อทดสอบแล้วหรือ”
“ท่านอาเฉิน้าให้ทำโค่วซานซือไม่ใช่หรือ” นางหยิบลูกผิงกั่วออกมาจากในตะกร้า แล้วกัดเข้าไปคำหนึ่ง “อื้ม ลูกผิงกั่วลูกนี้หวานดีเหลือเกิน”
เฉินเหว่ยส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “ท่านนี่ฉลาดจริงๆ เช่นนั้นข้าขอยกวัตถุดิบทั้งหมดให้ท่าน”
นางรับวัตถุดิบทั้งหมดมา มองดูอย่างพึงพอใจ “การจะทำโค่วซานซือ ต้องนำวัตถุดิบทั้งหมดไปต้มให้สุกก่อน ท่านอาเฉินคงต้องรอสักครู่ใหญ่”
เฉินเหว่ยยิ้มพร้อมกับพยักหน้าขณะมองหนิงมู่ฉือเดินเข้าไปในห้องครัว นางนำวัตถุดิบทั้งหมดใส่ลงไปในหม้อ เมื่อต้มจนสุกก็นำออกมาวางไว้ให้เย็น
จ้าวซีเหอยังคงหลับตา ไม่ว่าเฉินเกอจะส่งเสียงรบกวนสักเพียงใด สีหน้าก็ยังคงนิ่งเฉยเช่นเดิม
“พี่จ้าว ท่านหลับไปแล้วหรือ” เนื่องจากเห็นว่าจ้าวซีเหอไม่ได้ขยับตัวมานานแล้วจึงนึกว่าหลับไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าสิ้นเสียงจ้าวซีเหอจะลืมตาขึ้นมา แล้วยื่นมือมาคว้าไหล่ของเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว
เฉินเกออาศัย่ที่อีกฝ่ายยังไม่ออกแรงมากเอี้ยวตัวหลบก่อนจะเอ่ยว่า “เวลาหนึ่งก้านธูป ถ้าใครตกจากเสาดอกเหมยก่อนคนนั้นแพ้”
“ได้”
เฉินเกอหลบการโจมตีจากจ้าวซีเหอได้อย่างว่องไว เดี๋ยวเดินไปทางเสาต้นนี้ทีต้นนั้นที ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะร่วงจากเสาแต่อย่างใด
เฉินเหว่ยนั่งลงด้านข้าง ดื่มชาพร้อมกับมองทั้งสองต่อสู้กันไปด้วย ไม่เพียงแค่นั้นยังไม่วายพูดวิจารณ์ “เ้าหนุ่ม หลบซ่อนฝีมือได้ดีจริงๆ ถอยหลัง ไม่ใช่ ไม่ควรโจมตีที่ไหล่”
หนิงมู่ฉือมองออกไปด้านนอกห้องครัวอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ภาพเหล่านี้ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นในหัวใจเหลือเกิน อดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นเป็รอยยิ้มบางๆ
[1] เสาดอกเหมย คือเสาไม้ชนิดหนึ่งที่เรียงรายสลับซับซ้อนกันและแต่ละต้นสูงต่ำไม่เท่ากัน ใช้สำหรับฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ของชาวจีน เพื่อฝึกวิธีการก้าวเท้า ความสมดุลของร่างกาย และการทรงตัว