“แต่ไม่กี่วันก่อน บิดาข้าได้รับข่าวว่า... จางหยางกลับถูกฆ่าตายอย่างไม่คาดฝัน!”
กล่าวถึงตรงนี้หลิวเมิ่งส่งเสียงดังขึ้นด้วยความพลุ่งพล่านและราวกับแฝงด้วย...ความยินดี?
“ข้าทราบมาตลอดว่าจางหยางนั้นไม่เอาไหน ถึงกับเลวร้ายว่าคุณชายรองหลงเมื่อวานอีก มันมักอาศัยอิทธิพลของตระกูลกระทำเื่ต่ำช้ามากมายจึงไม่มีผู้ใดกล้าทำอย่างไรกับมัน ที่น่าหัวร่อคือสุดท้ายมันก็ยังถูกผู้อื่นฆ่าตายอยู่ดี...”
“ข้ากลับไม่รู้สึกอันใดต่อการตายของจางหยางแม้แต่น้อย หรือหากจะมีก็คงเป็ความรู้สึกยินดี ข้ายินดีที่สุดท้ายก็ไม่ต้องกังวลเื่การหมั้นหมายกับจางหยางอีก”
“ทว่าผู้ใดจะคิด ว่าบิดาข้ากลับสั่งให้ข้าไปยังเมืองลั่วซีเพื่อร่วมพิธีศพในฐานะเ้าสาวของจางหยาง!? ข้าไม่ยินยอมจึงมีปากเสียงกับบิดา ยามมีโทสะข้าจึงออกจากบ้านมากับเสี่ยวหนิงเพื่อท่องเที่ยวสักหลายวันค่อยกลับบ้าน...”
“ต่อมา ขณะข้ามาถึงที่นี่เมื่อวานก็เกิดเื่ขึ้น จึงได้พบกับท่าน...”
“ั้แ่ฟื้นตื่นที่สถานพยาบาลและได้เห็นท่าน ข้าก็รู้สึกว่า... ท่านแตกต่างจากผู้อื่น” กล่าวถึงตรงนี้หลิวเมิ่งจึงหยุดไปชั่วขณะ น้ำเสียงนางแฝงไว้ด้วยอารมณ์ผ่อนคลาย “ท่านเป็ผู้ฝึกปรือิญญาที่สูงส่งทรงพลังในสายตาคนธรรมดา แต่ท่านกลับไม่มีวี่แววเย่อหยิ่งแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำท่านยังยื่นมือช่วยเหลือข้าโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน”
“อีกอย่าง แววตาของท่าน แม้จะแสดงออกเพียงเล็กน้อย เพียง...” ถึงตรงนี้ใบหน้าหลิวเมิ่งพลันแดงระเรื่อ ดูราวกับไม่ทราบจะใช้คำใดจึงอธิบายได้นางจึงปล่อยผ่านไปและกล่าวต่อว่า “ข้าบอกได้เพียงว่ามองไม่เห็นเจตนาร้ายในแววตาท่าน ต่างกับจางหยางที่มองมาหาข้า แม้จะเก็บซ่อนดีเพียงใดข้าก็ยังมองเห็นในดวงตามันเปี่ยมด้วยความปรารถนาจะตัวข้า...”
“ดังนั้นแล้ว ข้าไม่อยากพลาดโอกาสคบหาท่านเป็สหาย จึงใช้การขอบคุณเป็ข้ออ้างเชื้อเชิญท่านไปดื่มชาร่วมกัน จากนั้นชักชวนท่านมาท่องเที่ยงูเาชิงฉวนกับข้า”
“หยุนเฟยพวกเราเป็สหายกันแล้ว... กระมัง?”
ไป๋หยุนเฟยนั่งลงตั้งใจฟังคำพูดนางั้แ่ต้น ยามนี้กำลังแยกแยะเื่ราวของหลิวเมิ่งที่นางบอกเล่าออกมา มันกลับมีความรู้สึกอันแปลกประหลาดแผ่ขยายในจิตใจ ดวงตามันจึงทอประกายแวววับด้วยท่าทีครุ่นคิด
เมื่อได้ยินคำถามของหลิวเมิ่ง ไป๋หยุนเฟยจึงพลันรู้สึกตัว หลังจากงงงันชั่วครู่จึงเอ่ยปากอย่างประหม่าอาย “โอ ย่อมแน่นอน... พวกเราเป็สหายกันแล้ว”
“คิก คิก วิเศษมาก ในที่สุดข้าก็มีสหาย ไม่ใช่ผู้คนที่เข้าหาข้าด้วยเจตนาแอบแฝง ท่านเป็สหายที่ข้าคบหาด้วยตนเอง!” หลิวเมิ่งกวาดความเศร้าโศกทิ้งไปหมดสิ้น หญิงสาวเผยรอยยิ้มที่มุมปากใช้สองแขนยื่นไปด้านหลังยันกายขึ้นมองดูฝูงวิหคที่โบยบินผ่านท้องฟ้า ท่าทีนางช่างเปี่ยมไปด้วยความสุข
ไป๋หยุนเฟยรู้สึกราวกับหัวใจเต้นถี่ขึ้น แต่ตัวมันเองกลับไม่ทราบจะกล่าวอันใด ด้วยความประหม่าจึงใช้มือดึงใบหญ้าตรงหน้าเล่นโดยไม่รู้ตัว
คนทั้งสองเงียบงันไปชั่วขณะโดยไม่มีผู้ใดคิดจะเอ่ยปากก่อน
“ท่านทั้งสอง... ท่านทั้งสองคน... ทอดทิ้งข้า!!”
เสียงร่ำร้องกระหืดกระหอบอย่างขุ่นเคืองดังขึ้นทำลายความเงียบ ปลุกทั้งสองคนให้รู้สึกตัวหันไปมองยังต้นเสียง ที่แท้ในที่สุดสาวใช้เสี่ยวหนิงก็ขึ้นมาถึงยอดเขา นางยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันถลึงตามองคนทั้งสองที่นั่งเคียงคู่กันอย่างปลอดโปร่งสบายอารมณ์
หลิวเมิ่งใช้เวลาครู่ใหญ่จึงระงับ‘โทสะใหญ่หลวง’ของเสี่ยวหนิงลงได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ดูออกว่าหญิงสาวคู่นี้สนิทสนมกันราวพี่น้องถึงกับไม่คล้ายนายกับบ่าวเลยแม่แต่น้อย! --- ย่อมไม่มีผู้เป็นายคนใดยอมโอนอ่อนให้สาวใช้คลายโทสะเช่นนี้ และก็ไม่มีสาวใช้คนใดกล้า‘มีโทสะ’ต่อผู้เป็นายเช่นนี้ด้วย
ถึงยามเที่ยงหลิวเมิ่งนำตะกร้าใส่อาหารออกมาจากแหวนช่องมิติ อาหารตะกร้านี้ล้วนปรุงจากวัตถุดิบชั้นดี หลังจากเปิดออกมาอาหารภายในกลับยังคงร้อนกรุ่น นี่สร้างความละอายแก่ไป๋หยุนเฟยอยู่บ้าง แม้จะมีอาหารเก็บไว้ในแหวช่องมิติเช่นกัน แต่ก็เป็เนื้อไก่สดสองตัว เดิมทีไป๋หยุนเฟยตั้งใจจะนำออกมาย่างกิน --- เมื่อเทียบกันแล้ว มันรู้สึกว่าแผนการที่คิดไว้ออกจะป่าเถื่อนไปบ้างจึงไม่กล้าแม้แต่จะนำไก่ออกมา
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว ทั้งสามคนก็เดินเตร็ดเตร่บนูเาอย่างเชื่องช้า เพลิดเพลินกับการไล่จับวิหค วิ่งไล่กระต่าย เดินเก็บดอกไม้... บนทางที่ปกคลุมด้วยต้นหญ้า เสียงหัวเราะที่น่าหลงใหลของสตรีทั้งสองคนดังแว่วมาไม่ขาดสาย
…………
ยามพลบค่ำเงาร่างของคนสามคนค่อยๆปรากฏบนถนนสายหลักเข้าสู่ประตูเมืองตะวันออก ทั้งสามคนจะเป็ผู้ใดหากไม่ใช่ไป๋หยุนเฟยและหญิงสาวทั้งคู่
สีหน้าของทั้งสามล้วนมีทีท่ายังไม่สมใจ ไป๋หยุนเฟยเดินอยู่ด้านซ้ายมีหลิวเมิ่งตรงกลางและเสี่ยวหนิงทางขวากำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วด้วยท่าทีตื่นเต้น
“ท่านยอดเยี่ยมจริงๆคุณชายหยุนเฟย! ลูกนกสีครามตัวนั้นบินหนีไปแล้วแต่ท่านกลับสามารถไล่จับกลับมาได้!” ใบหน้าเสี่ยวหนิงยังเปี่ยมด้วยความตื่นเต้นยามหวนนึกถึงไป๋หยุนเฟยที่พุ่งทะยานกายไม่กี่คราก็‘เหินบิน’ขึ้นไปบนต้นไม้ จากนั้นโผพุ่งไปในอากาศคว้าจับลูกนกที่บินหนีไปเอาไว้ในมืออย่างง่ายดาย ต่อจากนั้นเสี่ยวหนิงก็เอ่ยปากถามด้วยความเสียดาย “แต่ไฉนสุดท้ายท่านจึงปล่อยมันไป? คุณหนูชมชอบมันยิ่งนัก...”
“ฮ่า ฮ่า ธรรมชาติของวิหคย่อมต้องอยู่บนท้องฟ้า มันสมควรมีชีวิตที่โบยบินได้อย่างเสรี ข้าจับมันเพียงเพื่อความเพลิดเพลินชั่วครู่ จะให้ข้าจับขังมันใส่กรงแย่งชิงอิสระมันได้อย่างไร?” ไป๋หยุนเฟยยิ้มพลางกล่าวอย่างนุ่มนวล
“แต่ผู้อื่นก็จับนกขังกรงไว้ไม่ใช่หรือ? โธ่ แล้วกันไปเถอะ ท่านเป็คนจับนกตัวนั้นได้ก็ย่อมให้ท่านเป็ผู้ตัดสินใจ... แต่ที่น่าเสียดายกลับเป็กระต่ายลายขาวที่หนีไปตัวนั้น ข้าไม่เคยเห็นกระต่ายที่น่ารักเช่นนั้นมาก่อน หากข้าเลี้ยงเอาไว้... ไม่ ต่อให้จับได้สุดท้ายท่านก็ต้องปล่อยมันไปอยู่ดี เฮอะ!”
“โอ เ้าหมายถึงกระต่ายตัวนั้น? น่าเสียดายที่มันหนีไปเสียก่อน หากว่าจับได้ข้าจะไม่ปล่อยมันไป...” ไป๋หยุนเฟยกล่าวอย่างจริงจัง
“โอ? หรือท่านอยากจะเลี้ยงมันเอาไว้?”
“ไม่ใช่ ข้าจะกินมันต่างหาก”
“อ๊า! ท่านป่าเถื่อนเกินไปแล้ว!”
“เอ่อ เสี่ยวหนิงข้าขอถามเ้า อาหารที่พวกเรารับประทานเป็มื้อกลางวัน ดูเหมือนจะมีจานหนึ่งทำจากเนื้อกระต่ายกระมัง?”
“นี่...”
“ฮ่า ฮ่า เอาเถอะเสี่ยวหนิง หยุดพูดจาเรื่อยเปื่อยได้แล้ว เ้าพูดจามาตลอดทางจนถึงที่นี่ หรือเ้าไม่เหน็ดเหนื่อยบ้าง?” เห็นเสี่ยวหนิงย่นคิ้วด้วยท่าทีน่าเอ็นดู หลิวเมิ่งก็อดไม่ได้ต้องดุด่าอย่างยิ้มแย้ม
ขณะที่พูดคุยหยอกล้อกันทั้งสามก็เดินบนถนนอันกว้างขวางเข้าสู่ประตูเมืองอย่างรวดเร็ว แต่กระนั้นทันทีที่เข้าสู่เมืองได้ เส้นทางก็ถูกขวางเอาไว้ด้วยบุรุษกลุ่มหนึ่ง
“ท่านพี่ เป็มัน! มันดูถูกตระกูลหลงเรา!” น้ำเสียงเปี่ยมความเคียดแค้นดังขึ้น พร้อมกับบุรุษสองคนเดินสนทนากันออกมาจากกลุ่ม หนึ่งในสองนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่คือคุณชายรองแห่งตระกูลหลง หลงเทา(ตัวประกอบ)... ไม่ คุณชายหลงเทา ผู้ที่เมื่อวานมุ่งร้ายต่อหลิวเมิ่งแต่สุดท้ายก็ถูกไป๋หยุนเฟยขู่ขวัญหลบหนีไป
ไป๋หยุนเฟยบอกหญิงสาวทั้งสองหลบไปด้านหลัง ส่วนตนเองก้าวเท้าไปด้านหน้า ขณะมองดูบุรุษทั้งสองคนตรงหน้าก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “คุณชายรองหลงเทา ไฉนท่านยังไม่เก็บของกลับบ้าน?”
“ว่าอะไร?” หลงเทางงงันวูบ ไม่เพียงแต่มันที่ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดอย่างกะทันหันของไป๋หยุนเฟย แม้แต่ผู้อื่นก็ไม่ทราบความหมายเช่นกัน แต่กระนั้นพวกมันดูออกอย่างชัดเจนว่าไป๋หยุนเฟยกำลังเหยียดหยามคุณชายรองหลงที่อยู่ตรงหน้า...
“เฮอะ! ช่างเป็ผู้เยาว์ที่โอหังนัก! ดูเหมือนเ้าไม่ให้เกียรติตระกูลหลงข้าแม้แต่น้อย!”
ก่อนที่หลงเทาจะทันได้กล่าวอะไร บุรุษร่างสูงใหญ่เครารกครึ้มที่ด้านข้างก็ส่งเสียงขึ้นก่อน
ไป๋หยุนเฟยมองดูมันสลับกับหลงเทา รู้สึกทั้งคู่ช่างคล้ายคลึงกันจึงเอ่ยถามอย่างสงสัย “หรือท่านเป็บิดามัน? ท่านคือหลงกังอะไรนั่นกระมัง?”
“ข้า... ข้าเป็พี่ชายมัน!” ใบหน้าบุรุษร่างใหญ่หนวดเคราครึ้มกลับกลายเป็แดงก่ำร้องคำรามเสียงดัง
“โอ? ท่านเป็พี่ชายมัน?” ไป๋หยุนเฟยเปรียบเทียบทั้งคู่อีกครั้งก่อนจะเดาะลิ้นจิ๊จ๊ะถามว่า “ท่านเป็พี่ชายมัน ถ้าเช่นนั้นท่านคงเป็คุณชายใหญ่ตระกูลหลงกระมัง? ท่านชื่ออะไร?”
คุณชายใหญ่หลงแค่นเสียงเ็ากล่าวด้วยน้ำเสียงโอหัง “มิผิด! ข้าคือคุณชายใหญ่ตระกูลหลง... นามว่าหลงเทา!”(คำว่าเทานี้ในภาษาจีนเป็คนละตัวกับเทาของคุณชายรอง แต่ออกเสียงเหมือนกัน)
มุมปากไป๋หยุนเฟยกระตุกวูบ ลมหายใจแทบจะติดขัดลำคอ หลังจากจ้องมองพี่น้องทั้งคู่อยู่เนิ่นนานในที่สุดก็อดไม่ได้ต้องะเิเสียงหัวเราะออกมา
“พูดคุยกันมาครึ่งค่อนวัน ที่แท้เ้าก็เป็หลงเทา(ตัวประกอบ)เช่นกัน! จริงหรือนี่ มิน่าเล่าพวกเ้าจึงเป็พี่น้องกัน! ที่แท้พวกเ้าเป็คู่หูหลงเทา(ตัวประกอบ)! ฮ่า ฮ่า...”
ภายใต้สายตาประหลาดใจของกลุ่มคนตรงหน้า ไป๋หยุนเฟยหัวร่อดังสนั่นอย่างขบขัน ในใจชายหนุ่มรู้สึกว่าชื่อของพี่น้องคู่นี้ตั้งได้น่าขบขันนัก แน่นอนว่าเมื่อเป็คนเดียวที่ทราบความหมายของคำว่า‘หลงเทา’จึงมีไป๋หยุนเฟยเพียงคนเดียวที่เข้าใจเื่นี้ แม้ตัวมันเองจะไม่ทราบว่าล่วงรู้ได้อย่างไรก็ตาม
“เฮอะ! วาจาเหลวไหลไร้สาระ! ช่างวุ่นวายนัก! พวกเ้าทั้งหมดเข้าไปให้แก่ข้า! หักขามันจากนั้นลากมันกลับไปทรมาน!” หลงเทา(พี่ชาย)ะโอย่างดุร้ายสั่งการบริวารทั้งยี่สิบกว่าคนรอบกาย ยามนี้มันถูกไป๋หยุนเฟยยั่วยุให้ขุ่นแค้นจนหนวดเคราลุกชี้ชัน
ไป๋หยุนเฟยพลันหยุดหัวเราะและส่งสายตามองผู้คนที่ค่อยๆรุมล้อมเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นแววตามันกลับไม่มีวี่แววตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ชายหนุ่มปรายตาส่งสัญญาณบอกหญิงสาวทั้งสองด้านหลังให้ล่าถอยไปอีก ดวงตาพวกนางก็ปราศจากความตื่นตระหนกใดๆเช่นกัน ทั้งคู่ทราบดีว่าคนเหล่านี้ไม่อาจทำอย่างไรกับผู้ฝึกปรือิญญาเช่นไป๋หยุนเฟยได้
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว บริวารทั้งยี่สิบกว่าคนที่พุ่งเข้าหาเพียงสามารถเผชิญหน้าไป๋หยุนเฟยได้พริบตาเดียว ก่อนจะลงไปขดร่างกุมหน้าท้องอยู่บนพื้นพร้อมกับน้ำมูกน้ำลายนองหน้า...
ยามที่หลงเทา(พี่ชาย)ได้เห็นไป๋หยุนเฟยยืนท่ามกลางบริวารนอนเกลื่อนพื้นมองมาที่มันด้วยสีหน้าท้าทาย ใบหน้าก็กลายเป็บิดเปี้ยวปั้นยาก พลางกล่าวอย่างโกรธแค้น “เฮอะ! ผู้ฝึกปรือิญญา! แล้วอย่างไร? ข้าจะรับมือเ้าด้วยตนเอง!”
กล้ามเนื้อทั้งร่างมันเบ่งพองขึ้น จากนั้นพุ่งเข้าหาไป๋หยุนเฟยด้วยสีหน้าอำมหิต เมื่อเห็นเช่นนั้นไป๋หยุนเฟยจึงรั้งมุมปากขึ้นเล็กน้อย --- ยามนี้ปัจเจกิญญาระดับปลายย่อมไม่อาจคุกคามมันได้อีกแล้ว
เมื่อครู่ไป๋หยุนเฟยไม่ได้ปลดปล่อยพลังิญญาออกมา ศัตรูจึงไม่อาจทราบได้ว่าฝีมือมันเข้มแข็งเพียงใด ยามนี้เมื่อศัตรูพุ่งเข้าหา ไป๋หยุนเฟยกลับไม่รู้สึกถึงพลังกดดันแม้แต่น้อย ชายหนุ่มชักนำพลังิญญาขณะที่สองตาทอประกายดุดัน ขยับร่างคราเดียวไป๋หยุนเฟยก็พุ่งกายถึงเบื้องหน้าศัตรูในพริบตา ภายใต้แววตาตื่นตะลึงของฝ่ายตรงข้ามไป๋หยุนเฟยก็ชกหมัดขวาออก หมัดที่ดุดันนี้พุ่งกระแทกหน้าท้องส่งคู่ต่อสู่ลอยละลิ่วออกไป ขณะเดียวกันไป๋หยุนเฟยก็ะโคำพูดที่ไม่มีผู้ใดเข้าใจอีกครา
“หมดคิวเข้าฉากเ้าแล้ว เก็บของแล้วกลับไปซะ!!”
