“อือ ให้โอกาสแค่สามครั้งนะ หากเ้าสามารถร่างลายเส้นอักขระที่ข้าให้ได้ ก็ถือว่าเ้าสอบผ่าน”
เฮยจีใช้มือแตะไปที่เทียนแล้วไฟก็ถูกจุดขึ้น แล้วหยิบพู่กันและหมึกมา จากนั้นกางม้วนกระดาษสีขาวออก แค่ไม่กี่อึดใจ นางก็สามารถร่างลายเส้นอักขระคืนสภาพออกมาได้อย่างชำนาญ
ที่จริงการร่างลายเส้นอักขระจะต้องใช้กระดาษและหมึกโดยเฉพาะ แต่ตอนนี้บนตัวของเฮยจีไม่มีของพวกนั้นเลย อีกทั้งนางก็อยากจะทดสอบจิตของิอวี่ด้วย
ิอวี่เดินไปดูภาพบนกระดาษ พบว่าลายเส้นอักขระถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่ในความเป็จริงแล้วมันมีจุดโค้งจุดหักที่มหัศจรรย์มาก ซึ่งจะต้องร่างออกมาในทีเดียว จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เลย
ิอวี่ไม่คิดอะไรมาก ลงมือร่างมันขึ้นมาตามต้นแบบ ในสองครั้งแรกเขาทำไม่สำเร็จ จนกระทั่งครั้งที่สามถึงจะพอถูไถได้
เฮยจีเดินมาดูแบบร่างข้างๆ ิอวี่ ใบหน้าที่สวยงามท่ามกลางแสงเทียนเช่นนี้ยิ่งทำให้นางดูน่าหลงใหล ิอวี่ได้กลิ่นหอมจากตัวของนางซึ่งทำให้ลืมกลิ่นของน้ำหมึกไปเลย
“อือ พอใช้ได้”
เฮยจีพยักหน้า ในสายตาของนาง องค์ชายอย่างิอวี่ปกติน่าจะได้เล่าเรียนเขียนอ่านอยู่แล้ว การร่างออกมาได้ในสามครั้งก็ถือว่าผ่าน เพราะคนที่มีพร์อย่างไรก็สามารถวาดร่างออกมาได้ ต่อให้เป็ครั้งแรกที่ร่างลายเส้นอักขระก็ตาม
แต่หากเฮยจีรู้ว่าเมื่อก่อนงานของิอวี่แทบจะไม่ได้ใช้มือเขียนเลย ซ้ำตัวหนังสือของเขาก็น่าเกลียดจนแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อยากจะมอง ไม่รู้ว่านางจะคิดอย่างไร
“ในเมื่อเ้ามีสิทธิที่จะเป็นักร่างอักขระได้ ข้าก็จะมอบคาถาค่ายกลนี้ให้กับเ้าก็แล้วกัน” ระหว่างที่พูด นางก็ดีดนิ้วขวาสองนิ้วไปที่หน้าผากของิอวี่ ความทรงจำขนานใหญ่พุ่งเข้าไปในหัวของิอวี่ทันที
“คาถาค่ายกลกันไฟ ลายเส้นอักขระขั้นที่หนึ่ง คาถาค่ายกลกระบวนท่าที่หนึ่ง ค่ายกละเิเพลิง ...”
คาถาค่ายกลกันไฟเป็ลายเส้นอักขระที่ซับซ้อนมาก ิอวี่เริ่มตื่นเต้น กำลังจะถามเฮยจีว่าทำอย่างไร ใครจะคิดว่าเฮยจีกลับเดินไปทางริมหน้าต่างแล้ว
ิอวี่เดินไปข้างๆ เฮยจีและพบว่านางดูท่าทางเศร้าๆ แต่ถึงจะอย่างนั้น นางก็ยังคงดูสวย สวยจนทำให้คนหวั่นไหว
“มีเื่อะไรในใจหรือเปล่า?” ิอวี่ถาม
เฮยจีมองไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนแล้วพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหน้า “แม้แต่ตัวเองมีเื่อะไรในใจข้ายังไม่รู้เลย ... มีแค่เศษเสี้ยวความทรงจำเก่าก่อนเท่านั้น ข้าคิดอยู่ตลอดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่ แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกเลย คิดไม่ตกเลยจริงๆ ...”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไปคิดแล้ว มาดูดาวกันดีกว่า มันสวยมากเลยนะ” ิอวี่พูดปลอบ
ท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวระยิบระยับมากมายกว่าร้อยล้านดวง เกาะกลุ่มกันเป็รูปร่างต่างๆ ส่องแสงแพรวพราวอยู่บนท้องฟ้า
ิอวี่ชอบความรู้สึกแบบนี้มาก ตอนเด็กๆ เขาตัวคนเดียว ก็ชอบมองดูดาวบนท้องฟ้าแบบนี้ แล้วจินตนาการภาพโลกแห่งเทพนิยายในใจของเขา
เฮยจีรู้สึกใมาก แล้วก็เริ่มสนใจ “คิดไม่ถึงเลยว่าเ้าเองก็ชอบดูดาวเหมือนกัน เ้ารู้ไหมว่าทำไมข้าถึงชอบท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว?”
“เพราะมันเป็สัญลักษณ์ของความลึกลับและอิสระ”
สิ่งที่คาดไม่ถึงเลยก็คือ พวกเขาสองคนกลับพูดประโยคเดียวกันออกมาพร้อมกัน ทำให้พวกเขาสบตากันด้วยความชื่นชม
“เ้าตามข้ามา” ิอวี่จับมืออันนุ่มนวลที่ไร้กระดูกของเฮยจี พานางปีนขึ้นไปบนหลังคาแล้วนั่งลงบนแผ่นกระเบื้อง จากนั้นก็มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนไปพร้อมกับนาง
ท้องฟ้าไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยดวงดาว ดาวแต่ละดวงเหมือนกับกำลังแสดงความลึกลับของตัวเองออกมา
“ว้าว คิดไม่ถึงเลยว่าเวลาผ่านไปตั้งห้าร้อยปีแล้ว ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวจะยังสวยมากขนาดนี้ เ้าดูดาวดวงนั้นสิ สวยมากเลยนะ” เฮยจีห่อตัวลง เอามือเกยคางไว้ข้างหนึ่ง แล้วอีกข้างก็ชี้ไปที่ดวงดาว
ิอวี่อธิบายว่า “นั่นดาวจั่วซู่ เป็ดาวดวงหนึ่งในกำแพงชั้นใน”
ตอนเด็กๆ ิอวี่ชอบอ่านความรู้เื่ของดวงดาวมาก เขารู้สึกว่าของพวกนี้น่าสนใจ
“เ้ารู้เื่พวกนี้ด้วยหรือเนี่ย?” เฮยจีกระพริบตา แล้วพูดอย่างสนใจว่า “แล้ว ... นั่นล่ะ?”
“นั่นก็เป็ดาวดวงหนึ่งในกำแพงชั้นในเหมือนกัน ชื่อว่าเส้าซิง”
ิอวี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ที่จริงดวงดาวบนท้องฟ้านั้นแบ่งออกเป็กำแพงวงแหวนสามชั้น มีเทพสี่ทิศ แล้วก็ดวงดาวยี่สิบแปดกลุ่ม ที่เ้าเห็นมันเป็แค่ครึ่งเดียวเองนะ โดยทั่วไปมันจะแบ่งเป็จื่อเหว่ยหยวน ไท่เว่ยหยวน แล้วก็เทียนซื่อหยวน ส่วนสี่ทิศก็จะมีัเขียวแห่งทิศบูรพา เต่าดำแห่งทิศอุดร เสือขาวแห่งทิศประจิม หงส์แดงแห่งทิศทักษิณ แต่ละทิศก็จะประกอบไปด้วยกลุ่มดาวเจ็ดกลุ่ม ถึงได้บอกว่ามีดวงดาวยี่สิบแปดกลุ่มอย่างไรล่ะ”
“ว้าว เ้าเก่งมากเลยนะ” เฮยจีเอามือปิดปากแล้วพูดว่า “ข้าไม่ค่อยรู้เื่พวกนี้เลย วันหลังเ้าสอนหน่อยข้าได้ไหม?”
ิอวี่พูด “ความหมายของเ้าคือ ข้าสอนเ้าเื่ดวงดาว เ้าสอนข้าเื่ลายเส้นอักขระอย่างนั้นใช่ไหม?”
"อือฮึ" เฮยจีเงยหน้าขึ้นอย่างมีความสุข อารมณ์หดหู่ก่อนหน้านี้จางหายไปจนหมด นางยื่นนิ้วก้อยออกมา “มาเกี้ยวก้อยกัน แล้วห้ามกลับคำนะ ไม่อย่างนั้นพี่สาวไม่ปล่อยเ้าไว้แน่”
ิอวี่รู้สึกว่าหญิงสาวผู้นี้ไร้เดียงสาแล้วก็น่ารักมาก เขายื่นนิ้วออกไป “ตกลง เกี้ยวก้อยกัน”
บนหลังคาท่ามกลางท้องฟ้าที่มีหมู่ดาว ชายหนุ่มและหญิงสาวคนหนึ่งรู้สึกแบบนี้ ต่อไปในอนาคต เมื่อพวกเขานึกย้อนกลับมาถึงเื่ในวันนี้ พวกเขาก็ยังคงรู้สึกว่ามันเป็อะไรที่งดงาม ยากที่จะลืมเลือน
“เอาล่ะ ใกล้ถึงเวลาที่ร่างิญญาจะสลายแล้ว ข้าต้องกลับไปพักก่อน”
เฮยจียิ้มหวาน กลิ่นหอมโชยมาตามลม นางแยกขาทั้งสองข้างออก แล้วนั่งคร่อมไปบนตัวของิอวี่ จากนั้นก็กดิอวี่นอนแนบไปกับหลังคา ร่างกายของนางแนบชิดไปที่บริเวณหน้าอกของิอวี่
“นี่ เ้า ...”
ิอวี่เหมือนยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่ก็รู้สึกได้ว่าสะโพกของเฮยจีนั้นััลงมาที่หน้าท้องของเขา จากนั้นเฮยจีก็สลายกลายเป็แสงสีดำ แล้วมุดเข้าไปในหยกโบราณที่หน้าอกของเขา
“นี่ข้า ... โดนแกล้งงั้นหรือ?”
ิอวี่อึ้งไป จากนั้นก็ตอบตัวเองอย่างมั่นใจอีกครั้ง “ใช่ ข้าโดนแกล้งอีกแล้ว ... สาบานเลย จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแน่นอน!”
หลังจากที่ลองเรียกเฮยจีที่อยู่ในหยกโบราณอีกหลายครั้งแต่ไม่เป็ผล ิอวี่ก็เลือกที่จะยอมแพ้
เดิมทีิอวี่รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก พอถูกเฮยจีแกล้งแบบนี้ก็กลับรู้สึกเหงาขึ้นมาอีก
แต่ไม่นานิอวี่ก็สงบอารมณ์ลงได้ เขารู้ว่าตอนนี้ยังมีเื่อีกมากมายที่ยังรอให้เขาไปทำอยู่ เกรงว่าคงต้องเรียนการร่างลายเส้นอักขระเท่านั้น ถึงจะหาเงินทุนได้ห้าล้านเหรียญหยกดำภายในหนึ่งเดือนได้ ทำแบบนี้ถึงจะสามารถไปซื้อหลิงจือโลหิตแดงมาต่อชีวิตท่านแม่ได้!
เช้าวันต่อมา ิอวี่ออกจากวังหลวงไป เขานำเอาหลิงจือโลหิตม่วงสามต้นไปแลกเงินมาแปดหมื่นหยกดำ จากนั้นก็ไปที่ตลาดยุทธ์ ซื้อกระดาษเขียนลายเส้นอักขระสีเขียวมาสามร้อยใบ หมึกและพู่กันในการเขียนลายเส้นอักขระอีกหนึ่งชุด แหวนอักขระหนึ่งวงกับไข่มุกอักขระอีกสิบเอ็ดเม็ด จากนั้นถึงกลับเข้าวัง
กระดาษลายเส้นอักขระก็มีแบ่งเป็หลายระดับ ยิ่งกระดาษที่มีระดับที่สูงมากก็จะยิ่งสามารถรองรับค่ายกลที่มีพลังแข็งแกร่งมากขึ้น ผลการร่างลายอักขระก็มีอัตราความสำเร็จสูงตามไปด้วย
กระดาษลายเส้นอักขระสีเขียวเป็กระดาษที่ระดับต่ำที่สุด สามารถรองรับพลังค่ายกลในระดับต่ำ อีกทั้งอัตราการร่างลายเส้นอักขระก็ต่ำมากด้วย มีแค่นักร่างอักขระที่มีพลังสูงเท่านั้น ถึงมีความสามารถร่างลายอักขระบนกระดาษลายเส้นอักขระสีเขียวได้สำเร็จ
ิอวี่เคยคิดเหมือนกันว่าจะซื้อกระดาษร่างลายอักขระสีแดง แต่ว่าราคาใบละหนึ่งพันหยกดำเลย เมื่อเทียบกับกระดาษสีเขียวแล้วมันแพงกว่าถึงสิบเท่า ิอวี่ปวดใจมากเพราะเขาซื้อไม่ไหว ...
ส่วนชุดเครื่องเขียนกับน้ำหมึกสำเร็จรูปรวมแล้วก็ราคาสองหมื่นหยกดำ
แหวนอักขระราคาแพงสุด วงเดียวสูงถึงสองหมื่นหยกดำ
ส่วนไข่มุกอักขระหนึ่งเม็ดราคาหนึ่งพันหยกดำ ซื้อสิบแถมหนึ่ง เป็แบบเดียวกันหมด เพราะหากนักร่างอักขระซื้อไข่มุกอักขระสิบเม็ด ต้องบวกเพิ่มอีกหนึ่งเม็ดเพื่อให้ผู้ซื้อทดลองใช้งานเปิดคาถาค่ายกล ถือเป็เม็ดทดลองอยู่แล้ว
ดังนั้น นักร่างอักขระขายชุดไข่มุกอักขระสิบเม็ด ก็จะต้องแถมไข่มุกอักขระเพิ่มให้อีกเม็ดอยู่แล้ว เพื่อให้ผู้ซื้อได้ลองใช้และเรียนรู้วิธีใช้งาน
ซื้อชุดนักร่างอักขระเบื้องต้น เงินแปดหมื่นเหรียญหยกดำก็ใช้ไปจนหมดแล้ว ...
ิอวี่ถึงได้เข้าใจเลยว่า นักร่างอักขระนี่เป็อาชีพที่ผลาญเงินเป็อย่างดีเลย
เมื่อกลับมาถึงห้อง ิอวี่ค่อย ๆ หยิบกระดาษร่างลายอักขระที่อยู่ในถุงเก็บของออกมากางบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็หยิบน้ำหมึกสำเร็จรูปและแท่นหมึกออกมา แล้วใช้พู่กันจุ่มน้ำหมึกเพื่อเตรียมเริ่มร่างอักขระ
ในหัวของิอวี่มีคาถาค่ายกลกันไฟผุดขึ้นมา กระบวนท่าแรก มีชื่อว่า “ค่ายกละเิเพลิง”
มันเป็ลายเส้นอักขระทรงกลม เมื่อผู้ใดร่ายคาถาค่ายกละเิเพลิง ลายเส้นอักขระที่ล้อมรอบก็จะดูดซับพลังงานธาตุไฟ และะเิออกไปทั่วทุกทิศทางในชั่วพริบตาอย่างทรงพลัง มันเป็ค่ายกลการโจมตีแบบมีขอบเขต
แค่ค่ายกละเิเพลิง อย่างน้อยก็น่าจะเป็ลายเส้นอักขระระดับกลางขั้นที่หนึ่ง!
ลายเส้นอักขระที่มีระดับแบบนี้ ก็มีแค่พวกเชื้อพระวงศ์ในวังหลวงเท่านั้นที่จะแย่งชิงกันอย่างบ้าคลั่ง!
ลายเส้นอักขระค่ายกละเิเพลิงค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาในหัวของิอวี่ มันทั้งซับซ้อน และก็งดงาม ราวกับหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มีความงดงามแบบภาพวาดพู่กันโบราณ
ิอวี่ยกพู่กันขึ้น แล้วเริ่มลงมือร่าง
คิดอยากจะร่างอักขระให้สำเร็จ จะต้องลงน้ำหนักแต่ละเส้นให้พอดี ลักษณะการโค้งหักงอจะต้องถูกต้อง ขาดเกินไม่ได้ ต้องตรงตามแบบทุกอย่าง นั่นหมายความว่า นักร่างอักขระต้องแข็งแกร่งมากจึงจะสามารถคัดลอกลายเส้นอักขระลงบนกระดาษได้อย่างสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนว่าิอวี่จะล้มเหลวในครั้งแรก
แต่ว่าิอวี่ไม่ได้ยอมแพ้ เมื่อการร่างครั้งแรกล้มเหลว เขาก็ยังไม่สิ้นหวัง เขาไม่ได้เปลี่ยนกระดาษแต่ทำการร่างทับลายเส้นเดิม ถึงแม้ระหว่างนั้นจะเกิดความผิดพลาด แต่เขาก็ยังร่างต่อจนเสร็จ
แค่ร่างลายเส้นอักขระหนึ่งรอบ เขาใช้เวลาไปเกือบสองนาที
ิอวี่แทบจะไม่มีการหยุดพักเลย หลังจากเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ เขาก็เริ่มร่างลายเส้นอักขระขึ้นมาอีกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ครั้งนี้ลายเส้นที่ผิดพลาดมีจำนวนที่ลดน้อยลง ดังนั้นเวลาที่ใช้ก็ลดน้อยลงไปด้วย
และก็เป็แบบนี้ไปเรื่อยๆ ิอวี่ร่างลายเส้นอักขระต่อเนื่องโดยไม่มีการหยุด มันเป็วิธีการของเขา
คิดจะทำอะไรให้ได้ดี พร์เป็สิ่งสำคัญมาก แต่ประสบการณ์นั้นสำคัญกว่า ขอแค่ลงมือทำอย่างต่อเนื่องจนเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จะตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ถึงจะสามารถเข้าถึงเคล็ดลับได้ไวขึ้น
จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ภายในห้องก็เต็มไปด้วยกระดาษที่ใช้ไม่ได้ แต่ิอวี่ยังคงมีสมาธิในการร่างลายเส้นอักขระ ราวกับจิตรกรที่กำลังใช้แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานอันยอดเยี่ยม
หลังการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า ิอวี่ก็เริ่มคล่องมือขึ้น จนถึงกระดาษสีเขียวที่ใช้ร่างอักขระใบที่เจ็ดสิบสาม เขาก็ร่างลายเส้นอักขระได้เป็ผลสำเร็จ หมึกสีดำกลายเป็สีแดง กระดาษร่างลายเส้นอักขระสีเขียวถูกดูดไปในลายเส้นอักขระ แล้วลอยขึ้นกลางอากาศ ราวกับกำลังถูกเปลวไฟแผดเผา
“ฮ่าฮ่า!”
ิอวี่หัวเราะร่า หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ ความรู้สึกดีใจในความสำเร็จที่ได้มาจากการพยายามอย่างหนัก มันไม่สามารถปกปิดได้เลย
พอได้เห็นลายเส้นอักขระที่อัศจรรย์ราวกับว่ามีชีวิต ิอวี่ก็ยิ่งรู้สึกว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก
“เก็บ”
ิอวี่หยิบเอาไข่มุกอักขระขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือออกมา แล้วใช้ลมปราณขับเคลื่อน มองเห็นไข่มุกอักขระสั่นไหว ส่วนลายเส้นอักขระสีแดงก็เหมือนรู้สึกได้ว่ากำลังถูกเรียก มันสลายกลายเป็แสงแล้วพุ่งเข้าไปในไข่มุกอักขระ
ิอวี่เช็ดเหงื่อที่หน้าผากแล้วพูดว่า “แค่ร่างลายเส้นอักขระขั้นกลาง ต้องใช้กระดาษไปถึงเจ็ดสิบสามแผ่น เสียทั้งแรงและเวลา นี่มันไม่ธรรมดาเลย ดูท่าแล้ว เส้นทางที่ข้าจะเป็นักร่างอักขระยังอีกยาวไกลมาก”
ระหว่างที่พูดเขาเหมือนได้หยุดพัก แล้วิอวี่ก็ร่างลายเส้นอักขระขึ้นมาอีกครั้ง
หากทุกคนในวงการนี้มาได้ยินคำพูดของิอวี่ จะต้องกระอักเืตายแน่
นักร่างอักขระขั้นหนึ่งคนหนึ่ง ใช้กระดาษร่างลายเส้นอักขระหนึ่งร้อยแผ่น ร่างลายเส้นอักขระขั้นหนึ่งได้สำเร็จก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว แต่ิอวี่เรียนการร่างลายเส้นอักขระเป็ ครั้งแรก ใช้กระดาษสีเขียวร่างลายเส้นอักขระไปแค่เจ็ดสิบสามแผ่นก็สำเร็จแล้ว ที่สำคัญเขายังรู้สึกว่ายังทำมันได้ไม่ดีอีกด้วย ...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้