เมื่อมาถึงในห้องอาหาร เยว่เฟิงเกอก็ะโเสียงดัง “หิวจะตายแล้ว รีบยกอาหารเข้ามา”
หลังจากนางพูดจบ สาวใช้ในจวนอ๋องต่างก็พากันทยอยยกอาหารขึ้นโต๊ะ
ม่อหลิงหานเห็นเยว่เฟิงเกอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งอย่างง่ายๆ เขาเองก็ติดตามมานั่งลงข้างกายนาง
เยว่เฟิงเกอหันศีรษะไปมองม่อหลิงหาน แปลกจริง เหตุใดเขาไม่ไปนั่งบนที่นั่งหลักของตนเองกันนะ มาคอยตามติดอยู่ข้างกายนางทำอันใด?
ม่อหลิงหานนั่งลงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่สนใจสายตาของเยว่เฟิงเกอก็ยกตะเกียบขึ้น และเริ่มกินทันที
เยว่เฟิงเกอเบะปาก ไม่สนใจมองม่อหลิงหานอีก นางหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วรีบกินอาหารตรงหน้าอย่างรวดเร็ว ท่าทางเหมือนไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้ว ดูตะกละตะกลามยิ่ง
ในตอนนี้เองม่อหลิงหานเหลือบเห็นข้าวเม็ดหนึ่งติดอยู่ที่มุมปากของเยว่เฟิงเกอ จึงยื่นมือออกไปด้วยตั้งใจจะหยิบออกให้
“ท่านจะทำอะไร? ” เยว่เฟิงเกอรีบร้อนหันศีรษะไปมอง หลบเลี่ยงมือของม่อหลิงหาน
ในปากนางยังเต็มไปด้วยข้าว ยามที่พูดออกมา ข้าวในปากก็เกือบจะกระเด็นออกมาด้วย
ชิงจื่อที่ยืนอยู่เื้ัเยว่เฟิงเกอเห็นข้าวเม็ดนั้นก็เข้าใจความหวังดีของท่านอ๋องในทันที
ทว่า แม้นางจะอยากบอกเื่นี้กับเยว่เฟิงเกอ แต่เมื่อได้เห็นสายตาเ็าของม่อหลิงหาน นางก็ทำได้แค่กลืนคำพูดที่จ่ออยู่ริมฝีปากกลับลงท้องไป
ม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอหลบเลี่ยงเขาราวกับตัวเขาเป็น้ำหลากและสัตว์ร้าย สีหน้าเขาก็ยิ่งเ็ากว่าเดิม
เหตุใดนางต้องหลบเขาด้วย หรือเขาจะเป็ุ์กินคน?
“มานี่” ม่อหลิงหานพูดพลางดึงตัวเยว่เฟิงเกอเข้ามาใกล้ ก่อนจะยื่นมือไปที่มุมปากนาง หยิบข้าวเม็ดนั้นออกมา
ทันทีที่เยว่เฟิงเกอเห็นก็เข้าใจในความหมายของม่อหลิงหาน นางรีบกลืนอาหารในปากลงไป หัวเราะแห้งๆ สองเสียงให้ม่อหลิงหาน “ม่อหลิงหาน ขอบคุณนะ”
ม่อหลิงหานหรี่ตามองนางด้วยความเ็า ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นจึงก้มหน้าก้มตากินอาหารของตนต่อไป
ตอนนี้เอง ชายารองฉินหว่านก็เดินเข้ามาพอดี และได้เห็นว่าม่อหลิงหานกำลังนั่งอยู่ข้างกายเยว่เฟิงเกอ ในใจอดไม่ได้ให้รู้สึกเปรี้ยวขึ้นมา ทั้งยังยิ่งไม่ถูกชะตากับเยว่เฟิงเกอมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ไม่อาจทำอันใดอีกฝ่ายได้
อย่างไรเสีย นับแต่ครั้งก่อนที่นางผลักเยว่เฟิงเกอตกสระบัว ก็ไม่มีโอกาสหลอกคนมาจัดการได้อีกเลย
เหมือนว่าหลังจากเยว่เฟิงเกอคนนี้ตกสระน้ำไป จะฉลาดขึ้นมาก
ฉินหว่านนั่งลงบนเก้าอี้ในตำแหน่งเดิมของตน หยิบตะเกียบขึ้นมาก่อนจะค่อยๆ กินคำเล็กๆ ทีละคำ
เมื่อนางเหลือบเห็นท่าทางสวาปามของเยว่เฟิงเกอ ก็อดกลอกตาไม่ได้ นางเบะปากกล่าวว่า “ท่ากินช่างไร้สง่าราศีจริงๆ ”
เยว่เฟิงเกอไม่สนใจฉินหว่านแม้แต่น้อย ยังคงตั้งอกตั้งใจกินอาหารตรงหน้าต่อไป
ม่อหลิงหานเองก็คล้ายจะไม่ได้ยินคำกล่าวของฉินหว่าน เขาคีบเนื้อขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้ววางไว้ในถ้วยของเยว่เฟิงเกอ
ท่าทางของพวกเขาราวกับเป็สามีภรรยาที่รักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง ทำเอาฉินหว่านที่ได้เห็นรู้สึกราวกับเข็มแหลมคมทิ่มแทงตาอยู่ก็ไม่ปาน
ฉินหว่านเคี้ยวข้าวอย่างรุนแรง คล้ายว่ากำลังเคี้ยวเนื้อของเยว่เฟิงเกออยู่พลางด่ากราดในใจ “นังจิ้งจอก แค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันก็ทำเอาท่านอ๋องกลายเป็เช่นนี้ไปได้ ช่างน่าแค้นนัก”
ในที่สุดเยว่เฟิงเกอก็กินเสร็จ นางวางถ้วยลงบนโต๊ะ ลูบๆ หนังท้องกล่าวว่า “ข้ากินอิ่มแล้ว ท่านอ๋องค่อยๆ เสวยนะเพคะ” พูดจบก็ยืนขึ้นคิดจะจากไป
แต่ม่อหลิงหานไม่ให้โอกาสนางจากไป เขาลากนางกลับมานั่งที่เดิม “กินเป็เพื่อนเปิ่นหวางให้เสร็จก่อนค่อยไป”
เยว่เฟิงเกอมองม่อหลิงหานด้วยความตกตะลึง เห็นว่าเขากำลังกินอาหารตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ขณะที่มืออีกข้างยังคงจับนางไว้ไม่ปล่อย
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันยังมีเื่ให้ต้องไปจัดการ ไม่อาจอยู่กินเป็เพื่อนพระองค์ได้” ยามที่เยว่เฟิงเกอกล่าวประโยคนี้ นางก็แทบจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดออกมา
ชายชาตรีโตเต็มวัยคนหนึ่งกินข้าวคนเดียวได้แล้ว ยังต้องให้นางเยว่เฟิงเกอกินเป็เพื่อนอีกหรือ?
อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าที่นี่ยังมีฉินหว่านอยู่อีกคนหรือ ให้นางกินเป็เพื่อนก็ใช้ได้แล้ว
ม่อหลิงหานไม่มองเยว่เฟิงเกอ ยังคงเคี้ยวข้าวต่อไปอย่างช้าๆ
“พระชายายังมีเื่อันใดจะสำคัญไปกว่าการกินข้าวเป็เพื่อนเปิ่นหวางอีก? ” คำพูดของม่อหลิงหานทำให้เยว่เฟิงเกอเริ่มโมโหอีกครั้งแล้ว
นางดีดตัวลุกขึ้น คิดจะสลัดมือม่อหลิงหานออก
“ท่านอ๋อง พอได้แล้วเพคะ ละครสามีภรรยารักใคร่กันของเราสองคนนับว่าแสดงมานานพอดูแล้ว ั้แ่ที่ข้อมือข้าถูกท่านบีบจนช้ำจนถึงเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าา จนตอนนี้กลับมากินข้าว ที่ท่านทำเช่นนี้ ทำเพื่อให้ใครดูกัน? ” เยว่เฟิงเกอคล้ายเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ [1] พูดความไม่พอใจในใจของนางออกมาจนหมด
เยว่เฟิงเกอเข้าใจมาตลอดว่าที่ม่อหลิงหานดีกับนางก็เพื่อแสดงละครให้คนอื่นชม
ตอนนี้ละครจบแล้ว พวกเขาก็ควรกลับไปเป็เช่นเดิมถึงจะถูก เพราะจะอย่างไรนางก็ไม่มีทางเชื่อว่า แค่ระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันจะทำให้ม่อหลิงหานมาตกหลุมรักนางได้
ฉินหว่านที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีท่าทีราวกับกำลังรับชมละครสนุก
ทันทีที่เห็นว่าเยว่เฟิงเกอกรุ่นโกรธ นางก็ยิ้มเย็นในใจ “ดี เ้าก็หาเื่ให้ท่านอ๋องพิโรธต่อไปสิ เช่นนี้ท่านอ๋องจะได้ยิ่งเกลียดเ้า หรือจะให้ดีก็หย่ากับเ้าเสียตอนนี้แล้วไล่เ้าออกไปไกลๆ ”
ม่อหลิงหานคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะกล่าววาจาเช่นนี้ออกมา เขาเงยหน้ามองนางก็เห็นว่านางไม่มีท่าทีล้อเล่นแม้แต่น้อย
จิตใจของเขาค่อยๆ หนาวเหน็บ สายตามีแววเศร้าโศกราวกับเหยื่อผู้ถูกทำร้ายวาบผ่าน เพียงแต่ปรากฏแค่แวบเดียวเท่านั้น ทำให้เยว่เฟิงเกอไม่ทันสังเกตเห็น
ที่แท้ในสายตานางมองว่า ทุกการกระทำของเขาเป็แค่การแสดงละครให้ผู้อื่นดู
เมื่อจิตใจเขาหนาวเหน็บ สีหน้าเขาก็เ็าตามไปด้วย
เขาปล่อยมือเยว่เฟิงเกอ กล่าวเสียงเ็า “เ้ารีบไปให้พ้นหน้าเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้”
ในที่สุดเยว่เฟิงเกอก็ได้รับการปลดปล่อย นางไม่เอ่ยวาจาใด หมุนกายจากไปทันที
เมื่อเยว่เฟิงเกอจากไปแล้ว ฉินหว่านก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย “ท่านอ๋องอย่าได้กริ้วไปเลย แม้พระชายาจะไม่เสวยเป็เพื่อนพระองค์ แต่หม่อมฉันยินดีร่วมดื่มกินเป็เพื่อนพระองค์เพคะ”
“ไสหัวไป! ” ม่อหลิงหานไม่มองฉินหว่านแม้แต่น้อย ยืนขึ้นแล้วเดินก้าวยาวๆ ออกไปจากเรือนหลังนี้
ฉินหว่านถูกม่อหลิงหานะโใส่ ก็ตกอกใจนการหายใจรวนเร
ครั้งนี้คงต้องโทษเยว่เฟิงเกออีก หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายทำให้ท่านอ๋องพิโรธ ท่านอ๋องก็คงไม่เอาความโกรธทั้งหมดมาลงที่นาง
ในใจคิดเช่นนี้ ฉินหว่านก็โมโหจนกวาดอาหารตรงหน้าทั้งหมดลงจากโต๊ะ
……...........................................................................................
เมื่อกลับมาถึงเรือนเยว่เหยา เยว่เฟิงเกอก็เห็นว่าชิงจื่อมีท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไร นางถามด้วยความสงสัย “เป็อันใดไป เ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้าใช่หรือไม่? ”
ชิงจื่อทนไม่ไหวพูดออกมาว่า “พระชายา เมื่อครู่เหมือนจะทรงทำร้ายท่านอ๋องเข้าให้แล้ว”
“ข้าทำร้ายเขา? อย่าล้อเล่นเลยจะดีกว่า” เยว่เฟิงเกอพ่นลมหายใจพรืดอย่างเ็า นางไม่เชื่อหรอกว่าแค่ประโยคเดียวของนางจะไปทำร้ายม่อหลิงหานได้
เยว่เฟิงเกอมีท่าทีไม่เชื่อ ชิงจื่อจึงร้อนรนรีบกล่าวต่อ “จริงๆ นะเพคะพระชายา พวกเราทุกคนต่างมองออกว่าท่าทีที่ท่านอ๋องมีต่อพระชายาต่างไปจากเมื่อก่อนมาก ที่จริงแล้วพวกเราต่างคาดเดากันว่าท่านอ๋องอาจจะตกหลุมรักพระชายาเข้าแล้ว”
เยว่เฟิงเกอได้ยินเช่นนี้ก็ปฏิเสธออกมาทันที “เป็ไปไม่ได้ พวกเ้าเองก็เห็น ข้าแต่งเข้ามาจวนจั้นอ๋องตั้งปีกว่า ม่อหลิงหานเคยมองข้าตรงๆ บ้างหรือไม่?
ถึงแม้จะบอกว่าตอนนั้นข้าใช้แป้งชาดแต่งแต้มใบหน้าของตนจนน่ากลัว แต่เป้าหมายของข้าก็ไม่ใช่เพื่อดึงดูดความสนใจของท่านอ๋องหรือ
แต่เ้าดูเขาสิ วันๆ เอาแต่ทำหน้าเ็า คล้ายว่าข้าไปติดหนี้เขามาั้แ่ชาติปางไหน
ครั้งนั้นข้าถูกฉินหว่านผลักตกสระบัว เขาเห็นข้านอนอยู่บนพื้นที่เปียกแฉะแท้ๆ แต่กลับไม่เป็ห่วงข้าสักนิด แม้แต่จะเรียกหมอประจำจวนมาช่วยตรวจดูอาการให้ข้าก็ไม่มี เ้าว่าบุรุษเช่นนี้จะหลงรักข้าได้ในเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วันได้เชียวหรือ? ”
คำพูดของเยว่เฟิงเกอ ทำเอาชิงจื่ออึ้งไป
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] เทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่(倒豆子)หมายถึง พูดออกมาตรงๆ ทุกอย่างโดยไม่หมกเม็ด