“ข้าจะกลับไปเ้าค่ะ หลี่ฮูหยินกับน้องสามีของนาง้าข้า” หลินฟู่อินยิ้ม
“แม่นางหลิน ฟังจากที่เ้าเล่ามาแล้วสกุลโจวนั่นไม่ใช่ตัวดีอะไร กลับไปมีแต่จะเป็อันตราย” ฉางหนิงส่ายหน้าคัดค้าน
“ไม่เ้าค่ะ ข้าต้องไป อย่างไรข้าก็เป็หมอ จะทิ้งคนไข้ได้อย่างไร?” หลินฟู่อินส่ายหน้า ท่าทางหนักแน่น “อีกอย่างข้าไม่ได้ออกจากจวนสกุลโจวมาเพื่อหลบหนี ข้าเพียงหาวิธีแก้ปัญหา หลี่ฮูหยินยังรอข้าอยู่ข้างในนั้นเ้าค่ะ”
หลี่ฮูหยินเชื่อนางขนาดนั้น จะทำให้คนผิดหวังได้อย่างไร?
“แต่สกุลโจวนี่อันตรายเกินไปแล้ว ไม่รู้เห็นข่าวลือแพร่ออกไปจะเอาความโกรธมาลงที่เ้ากับหลี่ฮูหยินหรือไม่ อย่างไรก็กลับไปไม่ได้!” น้ำเสียงของหลิวฉินยิ่งเคร่งขรึม
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อยากเห็นหลินฟู่อินเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง
ในใจของหลินฟู่อินอบอุ่นขึ้นมา นางยิ้มแล้วกล่าวหนักแน่นให้ความมั่นใจกับทั้งสองคน “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ หากสกุลโจวทำเช่นนั้นจริง ข้าก็จะห่มหนังเสือ พูดออกไปตรงๆ ว่าข้ามีวิธีปล่อยข่าว ทั้งยังเขียนจดหมายส่งให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่แล้ว พอข่าวแพร่ออกไปเช่นนี้สกุลโจวย่อมไม่กล้าทำอะไรพวกข้าอีก”
เื่นี้หลินฟู่อินพิจารณามาอย่างดีแล้ว
เหตุใดก่อนหน้านี้คนสกุลโจวต้องปิดบังมาตั้งนานล่ะ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าคนสกุลหลี่จะรู้แผนหรอกหรือ?
อย่างน้อยคนพวกนั้นก็ไม่กล้าให้สกุลหลี่รู้จนกว่าหลี่ซื่อกับเด็กในท้องจะเกิดเื่แน่ๆ
แต่ว่าตอนนี้ขอแค่หลิวฉินปล่อยข่าวลือของคุณชายสี่โจวมู่หลิงออกไป ย่อมถือเป็การทำให้ขุนนางระดับสองในเมืองหลวงเสียชื่อ ว่าบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาคนนั้นไปมีลูกกับบุรุษที่มีครอบครัวอยู่แล้ว เื่นี้จะน่าขายหน้าเพียงใด?
ต่อให้สกุลโจวจะรีบลงมือแก้ไขปัญหา แต่สกุลหลี่ไม่ใช่เป็ตระกูลหมอหลวงหรืออย่างไร?
แม้ยามนี้ตระกูลหลี่จะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ไร้อำนาจในเมืองหลวง แต่ขุนนางขั้นสองคนนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีศัตรูทางการเมืองไม่ใช่หรือ?
ขอเพียงสกุลหลี่หาทางปล่อยข่าวฉาวเื่บุตรสาวของขุนนางขั้นสองให้ศัตรูทางการเมืองได้ก็ไม่เป็ไรแล้ว
ถึงตอนนั้นเกรงว่าพวกแรกที่จะไม่สุงสิงกับสกุลโจวย่อมต้องเป็ขุนนางขั้นสูงของเมืองหลวง!
ดังนั้นหลินฟู่อินจึงมั่นใจว่าขอแค่นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ทราบสถานการณ์ของบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนล่วงหน้า เพียงเท่านี้สกุลโจวก็ได้แต่ต้องเอาอกเอาใจหลี่ซื่อให้ดีก่อนจะกล้ามีความคิดเป็อื่น
ดังนั้นต่อให้นางกลับจวนแห่งนั้นไป คนพวกนั้นก็ทำอะไรนางไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคนสกุลโจวคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางออกมาจากจวน
เห็นหลินฟู่อินแน่วแน่เช่นนี้หลิวฉินก็ไม่ได้พยายามเกลี้ยกล่อมอีก กล่าวแค่ว่า “ฟู่อิน เช่นนี้เ้าต้องระวังให้ดี เมื่อข้าจัดการเื่ที่เ้าบอกเสร็จแล้วข้าจะไปอยู่แถวประตูเล็กของจวนสกุลโจวเพื่อป้องกันเอาไว้ หากมีปัญหาอะไรให้หาทางส่งจดหมายออกมา หรือวิ่งมาทางประตูเล็กเลยก็ได้ ข้าจะส่งคนไปรอเ้า!”
หลิวฉินจริงจัง หลินฟู่อินทราบว่าเขาใส่ใจและเป็ห่วงนางจึงรู้สึกประทับใจยิ่งนัก
ยิ่งมีเพื่อนเยอะก็ยิ่งดี
เมื่อจัดการทุกสิ่งเรียบร้อย หลินฟู่อินก็หรี่ตาลงน้อยๆ ตระกูลโจวเอ๋ย ลูกไม้สกปรกที่ใช้กับหลี่ซื่อถูกเผยออกมาแล้ว เหลือแค่พวกเ้าจะทำอย่างไรแล้ว
คิดว่าอยู่ในจวนแห่งนั้นคงต้องขาดอาหารแน่นอน หลินฟู่อินจึงได้จงใจซื้อแผ่นแป้งกับผักดองจำนวนมาก จากนั้นไปยังร้านขนม ซื้อขนมถั่วแดงชั้นดีมาห้าจิน กับขนมถั่วแดงแบบธรรมดามาอีกสองจิน
ของชั้นดีนี้แน่นอนว่าเอาไว้ให้นางกับหลี่ฮูหยิน ส่วนหลี่ซื่อคนนั้น สกุลโจวไม่กล้าปฏิบัติไม่ดีด้วย อาหารที่นางได้รับล้วนแต่ได้รับการจัดสรรดูแลเป็พิเศษ ขาดเพียงหมอกับหมอตำแยที่ตอนนี้ไม่เข้ามาตรวจเท่านั้น
ส่วนขนมถั่วแดงธรรมดานี่แน่นอนว่าเอาไว้ให้แม่เฒ่าเฝ้าประตูคนนั้นกับสาวใช้น้อยทั้งสองที่รับหน้าที่จับตามองเรือนของหลี่ซื่อ
เมื่อกลับมาถึงประตูเล็กของจวนสกุลโจวพร้อมขนมทั้งหลายในมือ หญิงชราที่เฝ้าประตูก็รีบส่งยิ้มให้นาง เมื่อหลินฟู่อินส่งขนมให้อีกฝ่ายหนึ่งจิน คนก็ยิ้มกว้างจนเห็นฟันเหลืองๆ ในปาก
หลินฟู่อินไม่ชอบคนเช่นนี้อยู่แล้วจึงได้สะกดความรู้สึกคลื่นเหียนในใจ รีบร้อนเดินตามทางที่สาวใช้น้อยทั้งสองบอกเพื่อกลับเรือนของหลี่ซื่อ
แต่ก่อนจะถึงเรือนก็เห็นสาวใช้ชราสองคนเฝ้าประตูอยู่แล้ว หลินฟู่อินจึงนิ่วหน้า
ดูท่าพวกคนสกุลโจวจะรู้เสียแล้วว่านางหนีออกไป เกรงว่าด้านในตอนนี้คงกลายเป็งานเลี้ยงหงเหมิน
หลินฟู่อินแค่นหัวเราะ มาก็ดีแล้ว!
อย่างไรนางก็เตรียมการเอาไว้หมดแล้ว
เด็กสาวเปิดถุงกระดาษขนมถั่วแดงชั้นดีด้วยสีหน้าเป็ธรรมชาติ หยิบออกมาชิ้นหนึ่งแล้วกินด้วยท่าทางอารมณ์ดี
และยังฮัมเพลงเบาๆ
สาวใช้ร่างใหญ่ทั้งสองได้ยินเสียงฮัมเพลงของหลินฟู่อิน สายตาก็ตวัดขวับมามอง ทิ่มแทงราวกับมีด
จากนั้นก็รีบพุ่งเข้ามาหาหลินฟู่อิน ประกบนางทั้งซ้ายทั้งขวา
หลินฟู่อินมองคนทั้งสอง ยิ้มกริ่ม ถามไปว่าเป็สาวใช้ของเรือนไหน
สาวใช้ทั้งสองมองหลินฟู่อินด้วยสายตาสงสัย
คนที่ตัวผอมกว่ามองนางแล้วถาม “แม่นางมาจากที่ไหนหรือ? เหตุใดจึงยังมัวแต่กินอยู่อีก?”
หลินฟู่อินกลืนขนมถั่วแดง คิดว่าสมแล้วที่แพง รสชาติอร่อยดีจริงๆ
จากนั้นก็หัวเราะแล้วตอบ “หมัวมัวทั้งสองท่านนี้ ข้ารออยู่ในจวนนายหญิงน้อยสี่ของสกุลโจวอยู่นานแต่ไม่มีใครมาเรียกข้าไปกินข้าว ฮูหยินของข้าปกติดีต่อข้ายิ่งนัก จึงได้หยิบเงินตำลึงแล้วออกไปซื้อขนมมากินให้อิ่มท้องเ้าค่ะ”
ได้ยินที่นางพูด สีหน้าของทั้งคู่ก็พลันมืดครึ้ม
แต่พวกนางเป็เพียงบ่าว แค่ต้องลากตัวนางเด็กน้อยโง่เง่านี่ไปหานายหญิงใหญ่เท่านั้น
“แม่นาง ตามพวกข้าไปพบนายหญิงใหญ่เถอะ” สาวใช้ร่างผอมกล่าว สีหน้าดำมืด
หลินฟู่อินพยักหน้าด้วยท่าทีไร้เดียงสา “ได้ได้ ข้าหิวเหลือเกิน ออกไปเสียตอนมืดค่ำก็ไม่ได้กินข้าว ภัตตาคารข้างนอกนั่นข้าจ่ายไม่ไหว ข้าไปหานายหญิงคนไหนของพวกท่านก็ได้เ้าค่ะ นายหญิงท่านจะให้ข้ากินข้าวหรือไม่?”
หลินฟู่อินประชดประชันด้วยท่าทางโง่งมเสียจนสาวใช้ทั้งสองดูไม่ออก
กลับคิดว่าเห็นเด็กคนนี้ก็เหมือนเห็นปลักโคลนอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้เสี่ยวจิ้วไท่ไท่สกุลหลี่ผู้นั้นกล้าเอาสาวใช้เช่นนี้มาที่สกุลโจวได้อย่างไร
ไม่กลัวนางเด็กนี่จะทำให้สกุลหลี่ขายหน้าเอาหรือ?
เมื่อสาวใช้ทั้งสอง ‘นำทาง’ หลินฟู่อินมาถึงเรือนในของหลี่ซื่อ หลินฟู่อินก็ได้เห็นสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธานด้วยสีหน้าแข็งกร้าวเ็า
ดูไปแล้วอายุราวสามสิบเอ็ดสามสิบสองปี สวมชุดสีแดงลายดอกพุดตานกับดอกบัว ใบหน้ายาว คิ้วตก ดวงตาหงส์ดูคมกริบ
นางคือสะใภ้ใหญ่ของสกุลโจว หรือที่เรียกกันว่านายหญิงใหญ่สกุลโจวนั่นเอง
หลินฟู่อินจ้องสะใภ้ใหญ่ของจวน จากนั้นจึงหันไปยิ้มทักทายเพียงหลี่ฮูหยิน “ฮูหยินเ้าคะ”
หลี่ฮูหยินนั่งอยู่บนเก้าอี้แขกด้วยสีหน้าไม่ดีนัก ที่เป็เช่นนี้เพราะถูกนายหญิงใหญ่พูดจาทิ่มแทงไม่น้อย ทันทีที่คนพบว่าหลินฟู่อินหายไปก็เอามาลงที่นาง
เห็นหลินฟู่อินกลับมา สีหน้านางก็แสดงความยินดี
“เ้าเด็กคนนี้นี่ หายไปไหนมา? ข้าเป็ห่วงแทบตายแล้ว!” หลี่ฮูหยินว่า
“เสี่ยวจิ้วไท่ไท่ช่างใจดีนัก แค่สาวใช้คนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดจึงต้องสุภาพกับนางมากมายนัก?” นายหญิงใหญ่โจวยกมือปิดปากยิ้ม ทว่าดวงตาราวกับมีดที่ใช้ทิ่มแทงผู้คน
หลี่ฮูหยินสะกดกลั้นความโกรธ สตรีผู้นี้ปากราวกับดาบ เชือดเฉือนเก่งเสียจนน่ารำคาญนัก
นางเป็คนตรงไปตรงมา เื่วาจาสู้ไม่ได้จริงๆ!
หลินฟู่อินเงยหน้าขวับ มองสะใภ้ใหญ่ของจวน ก่อนจะถามเสียงใสไร้เดียงสา “ท่านคือนายหญิงของสกุลโจวที่ยิ่งใหญ่ใจดีใช่หรือไม่เ้าคะ? ตอนอยู่ที่จวนสกุลหลี่ได้ยินฮูหยินพูดเสมอว่านายหญิงของสกุลโจวทั้งหลายล้วนแต่ใจดีที่สุดในโลก เหตุใดพอได้ยินนายหญิงพูดจึงราวกับจะบอกว่าพวกเราสาวใช้ไม่ใช่มนุษย์เสียได้ล่ะเ้าคะ?”
คราวนี้นายหญิงใหญ่โจวเป็ฝ่ายสำลัก คิดอย่างหงุดหงิดว่าสาวใช้ที่พี่สะใภ้ของหลี่ซื่อพามาก็เป็เพียงตัวโง่งมเท่านั้น
แต่ฟังจากที่นางเด็กนี่พูด แสดงว่าพี่สะใภ้หลี่ซื่อเคยกล่าวเช่นนั้นมาก่อนหรือ?
หากเป็เช่นนั้นจริง ให้นางหันไปพูดจาทิ่มแทงเสี่ยวจิ้วไท่ไท่คนนั้นก็ไม่ง่ายแล้ว
หลี่ฮูหยินมองหน้าสะใภ้ใหญ่สกุลโจว หายใจโล่งขึ้นมาเล็กน้อย ในใจคิดแค้น เ้ากล้าบีบคั้นข้า!
“ฮ่าๆ เด็กคนนี้นี่…” เห็นหลี่ฮูหยินยิ้มดื่มชาไม่คิดจะช่วยเหลืออะไร สีหน้านายหญิงใหญ่โจวยิ่งแข็งกร้าวกว่าเดิม ทำได้เพียงหัวเราะเจื่อนๆ ทว่าในใจโกรธจนแทบตายแล้ว
แต่หลินฟู่อินไม่คิดจะปล่อยไป นางไม่สนใจสาวใช้ห้าหกคนที่อีกฝ่ายพามา หยิบเอาถุงขนมมาเปิดต่อหน้าหลี่ฮูหยิน “ฮูหยิน กินขนมรองท้องเสียหน่อยนะเ้าคะ”
หลี่ฮูหยินยิ้ม ลูบหัวนาง “เด็กดี ข้ากินมาแล้ว เ้ากินเถอะ หิวหรืออย่างไร?”
หลินฟู่อินรับขนมคืนมาพร้อมรอยยิ้มยินดีแล้วกินเข้าไปหนึ่งชิ้น ส่งเสียงงึมงำ “ข้าก็คิดว่าฮูหยินจะหิวเหมือนกันเสียอีก” จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทีน้อยอกน้อยใจ “ข้าหิวเ้าค่ะฮูหยิน หิวเสียจนกว่าจะเดินไปถึงประตูเล็กก็เดินเซอยู่หลายที นึกว่าจะอดตายเสียแล้ว”
สีหน้านายหญิงใหญ่โจวยิ่งมืดครึ้ม
หลี่ฮูหยินพูดกับหลินฟู่อินต่อ “เด็กดี ประเดี๋ยวข้าค่อยกินทีหลัง ทางนี้คือนายหญิงใหญ่โจว ทักทายเสียสิ”
หลินฟู่อินทำเพียงหันไปมองนายหญิงใหญ่สกุลโจวด้วยสายตาใสซื่อ “โอ เป็นายหญิงใหญ่โจวหรือเ้าคะ? ท่านให้ข้ากินข้าวเย็นได้หรือไม่เ้าคะ? ข้าเชื่อฟังมากๆ ไม่ก่อปัญหา ฮูหยินของข้าชอบข้าที่สุดเลยนะเ้าคะ”
สีหน้านายหญิงใหญ่โจวยิ่งมืดครึ้มกว่าเดิม นางกัดฟันแน่น นางเด็กโง่นี่กำลังพูดจาประชดประชันให้นางเสียหน้าอยู่หรืออย่างไร?
แม้แต่เสี่ยวจิ้วไท่ไท่สกุลหลี่ไม่ได้กินข้าวทั้งวันก็ยังไม่กล้าตำหนิ แล้วนางเด็กนี่กลับกล้าพูดออกมาได้?
“นายหญิงใหญ่ เ้าเด็กคนนี้ของข้าใสซื่อเป็ที่สุด ่นี้ข้าชอบพานางไปไหนต่อไหนเพราะนางเป็คนไม่คิดเล็กคิดน้อย ทำตัวสนุกสนาน หากเด็กคนนี้พูดอะไรล่วงเกินท่านไป เห็นแก่หน้าข้าสักหน่อย อย่าลงโทษนางเลย” เห็นนายหญิงใหญ่โจวตั้งท่าจะคาดคั้น หลี่ฮูหยินก็รีบขัดทันที
ประโยคนี้ไม่กี่คำทำเอานายหญิงใหญ่แห่งสกุลโจวแทบกระอักเืด้วยความโมโห
ใสซื่ออะไร? ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไร?
เหตุใดจึงรู้สึกเหมือนเสี่ยวจิ้วไท่ไท่สกุลหลี่นั่นกำลังคาดคั้นเอาความกับลูกไม้ของพวกนางสกุลโจว?
นายหญิงใหญ่นิ่วหน้า มองหลี่ฮูหยินสายตาเ็า คิดในใจว่าหากพวกข้าสกุลโจววางแผนใส่พวกเ้าสกุลหลี่แล้วจะอย่างไร?
รอให้หลี่ซื่อตาย ให้สกุลโจวกำจัดหลี่ซื่อที่ขวางทางออกไป เท่านี้สกุลโจวก็จะสูงส่งเกินเอื้อมแล้ว!
“ฮ่าๆ เสี่ยวจิ้วไท่ไท่ล้อเล่นแล้ว เหตุใดข้าจะต้องใส่ใจบ่าวคนหนึ่งด้วยเ้าคะ?” นายหญิงใหญ่โจวฝืนยิ้ม พูดจาทิ่มแทงเข้าไปอีกคำ
อย่างไรทางฝั่งนางก็เป็ฝ่ายให้หลี่ฮูหยินอดข้าวก่อน ทั้งยังเป็การเปรียบเทียบอีกฝ่ายเป็แค่บ่าวคนหนึ่งด้วย
สายตาหลี่ฮูหยินแข็งกร้าวขึ้้น
หลินฟู่อินยิ้มร่าอีกครั้ง “เช่นนั้นนายหญิงใหญ่ไม่ใส่ใจบ่าวจึงไม่ให้ข้าวกินหรือเ้าคะ? หรือแค่อดอาหารบ่าวของผู้อื่นเท่านั้น?”
พูดจบก็มองสะใภ้ใหญ่สกุลโจวด้วยสายตาโง่งม
นายหญิงใหญ่โจวแทบอดทนไม่ไหว อยากร้องสั่งให้คนมาจับหลินฟู่อินโยนออกไป แต่นางทำไม่ได้
คำพูดของหลินฟู่อินเป็การเตือนว่าฝั่งตัวเองเป็แขก ไม่ว่าจะถูกกักไว้ในจวนสกุลโจวอย่างไร อย่างน้อยในยามที่ยังไม่ทราบแผนการของสกุลโจว คนบ้านนี้ก็ไม่อาจทำอะไรพวกนางได้
ไม่อย่างนั้น อีกไม่นานย่อมมีข่าวลือแพร่ออกไปแน่
แค่ตอนนี้หลินฟู่อินก็ทำให้นายหญิงใหญ่โจวปวดหัวแล้ว ทั้งยังดูเหมือนจะอดอาหารแขกต่อไปไม่ได้แล้วด้วย
ตอนนั้นคิดว่าทำเช่นนั้นจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อยขายหน้า มิคาดพี่สะใภ้ของหลี่ซื่อจะไร้ยางอายถึงขั้นบุกไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อก่อเื่เพียงเพราะไม่ได้กินอาหารเท่านั้น
สาวใช้ของอีกฝ่ายกลับไร้ยางอายยิ่งกว่า คนถึงกับเดินออกจากจวนสกุลโจวเพื่อไปหาขนมมาเติมท้อง
ไม่กลัวผู้อื่นหัวเราะเยาะหรืออย่างไร
ไม่แปลกใจเลยที่นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่จะไม่ชอบลูกสะใภ้คนนี้มาหลายสิบปี ทั้งยังไม่ยอมรับนางเป็สะใภ้
แต่งกับสตรีเช่นนี้ ทำให้ครอบครัวอับอายยิ่งนัก!
นายหญิงใหญ่โจวคิดอย่างขมขื่น
แต่เื่นี้ก็ยังทำให้นางมั่นใจได้บ้าง ก่อนหน้านี้นางยังกังวลว่าเสี่ยวจิ้วไท่ไท่จะค้นพบอะไรจึงให้บ่าวออกไปนอกจวน แต่ชัดเจนแล้วว่านางบ่าวโง่นี่เพียงออกไปหาอะไรกินเท่านั้น
ลองคิดดูแล้ว หากฉลาดจริงๆ เมื่อทราบแผนแล้วกลับมาจะทำอะไรได้?
ถึงแม้จะโมโหจนแทบทนไม่ไหว แต่อีกด้านหนึ่งนางก็โล่งใจขึ้นมาก
คืนนั้นหลี่ฮูหยินถูกจัดให้พักที่เรือนของหลี่ซื่อทางปีกตะวันออก
หลี่ซื่อไม่รู้เื่าวาจาของหลี่ฮูหยินกับนายหญิงใหญ่โจวแม้แต่น้อย
อย่างแรกคือนางถูกปิดบังเอาไว้ อย่างที่สองนางคิดว่าพี่สะใภ้ใหญ่คงคุยกับพี่สะใภ้เล็กเื่ทั่วๆ ไป
นางเองก็เช่นกัน นางชอบกับพี่สะใภ้เล็กสายตรงคนนี้ที่สุด คุยได้ไม่เบื่อเลยแม้แต่น้อย
“ฟู่อิน ข้าไม่รู้ว่าเ้าออกไปข้างนอก พอกลับจากเรือนของนางเฒ่าน่าตายสกุลโจวนั่นก็เพิ่งรู้ตอนที่เจียงหมัวมัวบอก!” หลี่ฮูหยินรีบดึงมือหลินฟู่อินเข้ามาคุยทันทีที่เห็นนายหญิงใหญ่โจวจากไป แล้วตัดพ้อ “ออกไปได้แล้วจะกลับมาอีกทำไมเล่า? นี่มิใช่แกะเดินเข้าปากเสือหรอกหรือ? ที่จริงแค่ออกไปแจ้งสกุลหลี่ หากแจ้งไม่ได้ก็กลับเมืองชิงหยางไปแจ้งสามีข้าก็พอ!”
หลินฟู่อินยิ้มส่ายหน้า “ฮูหยิน ข้าไม่ทิ้งท่านเ้าค่ะ เรามาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกัน อีกอย่าง หากข้าไม่กลับมา จวนสกุลโจวย่อมต้องสังเกตจริงๆ แน่ เกรงว่าถึงตอนนั้นปลาตายตาข่ายขาด สังหารท่านกับนายหญิงน้อยสี่ เท่านี้เื่ก็จบสิ้นกัน!”
“พวกมัน…” หลี่ฮูหยินชะงักไป หนังศีรษะชาวาบ แต่ยังะโเสียงแข็ง “พวกสกุลโจวมันกล้า!”
หลินฟู่อินส่ายหน้าไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ฮูหยิน เพื่อเื่นี้มีอะไรที่สกุลโจวไม่กล้าบ้าง? ท่านไม่ทราบหรือ?”
สีหน้าหลี่ฮูหยินซีดขาว ทราบดีว่าเด็กสาวพูดถูก
เกรงว่าถึงตอนนั้นพวกสกุลโจวคงทำอย่างที่หลินฟู่อินว่า…
“เช่นนั้น… เช่นนั้นเ้าหาวิธีแก้ไขได้แล้วหรือยัง?” หลี่ฮูหยินมองหลินฟู่อินด้วยสายตามีความหวัง จับมือของอีกฝ่ายแน่น
มุมปากของเด็กสาวกระตุกน้อยๆ ดวงตาสว่างเจิดจ้า หันไปมองต้นไม้ที่ตายนอกหน้าต่างแล้วแค่นหัวเราะ “ฮูหยินรอดูเถอะเ้าค่ะ”
เห็นความมั่นใจเช่นนั้นหลี่ฮูหยินก็โล่งใจ “เ้าพูดเช่นนี้ข้าก็สบายใจ”
หลินฟู่อินครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าการสั่งสอนสกุลโจวครั้งนี้เป็บทเรียนครั้งใหญ่ แต่ก็ยังเป็การทำลายโจวมู่หลิงเช่นเดียวกัน ไม่รู้ว่าทางสกุลหลี่จะอยากเห็นภาพนั้นหรือไม่
นางนิ่วหน้า คิดในใจ เกรงว่าความพยายามจะกลายเป็สูญเปล่า
“ฟู่อินเป็อะไรไป?” หลี่ฮูหยินมองหน้าหลินฟู่อินอยู่ เมื่อเห็นคนนิ่วหน้าก็เริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
หลินฟู่อินมองอีกฝ่าย สีหน้าแข็งกระด้าง ส่ายหน้าไปมาแล้วกล่าว “ข้าคิดว่าวิธีนี้นับเป็การทำลายอนาคตคุณชายสี่โจว เกรงว่าหากนายท่านผู้เฒ่าหลี่กับนายหญิงน้อยสี่ทราบแล้วจะตำหนิข้าเอาได้”
ทราบว่าเด็กสาวกังวลเื่นี้ หลี่ฮูหยินก็ยิ้มเย็น “เื่นี้ฟู่อินไม่ต้องกังวลไปหรอก เ้าเพียงทำลายโจวมู่หลิงเท่านั้นเอง หากข้ามีความสามารถ ข้าจะขุดรากถอนโคนสกุลโจว! นายท่านผู้เฒ่ามีแต่จะซาบซึ้งต่อเ้า ส่วนน้องสาว ด้วยนิสัยของนาง หากถึงตอนนั้นยังเก็บชีวิตกลับไปได้ย่อมต้องกลับสกุลหลี่แล้วลืมเื่นี้ไปแน่นอน มีบุตรแล้วมีหรือจะหาเื่ใส่ตัว เ้าวางใจเถอะ!”
เห็นคนพูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่หลินฟู่อินก็รู้สึกดีขึ้น
“โอ จะว่าไปแล้ว ข้าเขียนจดหมายถึงนายท่านผู้เฒ่าหลี่ด้วยเ้าค่ะ ส่งไปทางพิราบสื่อสารของโรงเตี๊ยม คิดว่าอีกไม่กี่วันนายท่านผู้เฒ่าก็คงมาแล้ว ต้องอดทนอีกไม่กี่วันเท่านั้น”
“ขอบคุณ์!” หลี่ฮูหยินปล่อยมือเด็กสาว ยกขึ้นมาปรบแล้วกล่าว “พาเ้ามาครั้งนี้เป็ดั่งพระโพธิสัตว์อวยพรโดยแท้ หากมาคนเดียวเกรงว่าคงโดนสกุลโจวกินจนไม่เหลือกระดูกแล้ว!”
หลินฟู่อินปลอบใจนางอีกหลายคำ ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเื่อื่น
เช้าตรู่วันต่อมา ในเรือนของหลี่ซื่อก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
ทั้งยาบำรุงและเสื้อผ้าต่างก็ถูกส่งมายังเรือนของหลี่ซื่อดุจสายน้ำหลาก ท่านหมอเคราขาวหลายคนถูกเชิญเข้ามา ตามด้วยหมอตำแยอีกหลายคน
หลี่ฮูหยินกับหลินฟู่อินมองหน้ากัน
หลินฟู่อินรู้ว่าวิธีการนางได้ผลแน่นอนแล้ว
นางทำท่าทางได้รับชัยชนะอยู่ในใจ
“โอ เมื่อคืนเสี่ยวจิ้วไท่ไท่หลับสบายดีหรือไม่เ้าคะ?” ใบหน้านายหญิงใหญ่โจวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รีบเดินเข้ามาคว้ามือของหลี่ฮูหยินที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เสี่ยวจิ้วไท่ไท่ เมื่อวานพวกเรามัวแต่เป็ห่วงสุขภาพของน้องสะใภ้จึงมาดูแลท่านช้าไปบ้าง ข้าต้องขออภัยจริงๆ เ้าค่ะ ข้ายังเด็กไม่รู้ความจึงละเลยไป แม่สามีกับฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิข้ารุนแรงยิ่งนัก ั้แ่เช้าก็สั่งให้ข้ารีบมาเจรจาแทน ให้ข้าชดเชยเสี่ยวจิ้วไท่ไท่อย่างไรดีเ้าคะ?”
ในใจหลี่ฮูหยินรู้สึกขยะแขยงกับสิ่งที่ได้ยินยิ่งนัก แต่ก็รู้ว่าคงเป็แผนการที่หลินฟู่อินเตรียมเอาไว้กระมัง…
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลโจวตัวดีนั่นส่งคนมาเพื่อตรวจสอบนางใช่หรือไม่?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้