เป้าหมายของนางคือการ้าทำให้ตนสับสนและไร้ซึ่งปัญญาต่อเบื้องพระพักตร์ของฮองเฮา และให้นางจำใจยอมรับเื่ที่นางสั่งให้ฟางเหอไปปิดประตูสวนร้อยสัตว์
“เหนียนยวี่!” เหนียนอีหลานกัดฟันแน่น ท่าทีของนางราวกับ้าฉีกเหนียนยวี่เป็ชิ้นๆ เป็นางแน่ เหนียนยวี่ นางต้องเป็คนที่ลงมือฆ่าฟางเหออย่างแน่นอน!
ความคิดคาดเดานี้ผุดขึ้นในหัวของเหนียนอีหลาน ครั้นตระหนักอะไรบางอย่างได้ นางพลันรีบเอ่ยปากร้องเรียก “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบเข้ามา”
ไม่นานนัก มีเสียงฝีเท้าย่ำก้าวดังขึ้น เหนียนอีหลานมิได้หันหน้ากลับไปมอง เพียงเอ่ยสั่งผู้ที่เข้ามาเยือนว่า “ไปเรียกฮูหยินมาเดี๋ยวนี้ รีบไปเสีย”
เหนียนอีหลานจมอยู่กับความคิดของตนเอง เสียงฝีเท้านั้นย่ำก้าวออกไป จนกระทั่งครู่ต่อมา เสียงย่ำฝีเท้าดังเข้ามาอีกครั้ง เหนียนอีหลานจึงรีบเอ่ยปากพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ท่านแม่ เป็เหนียนยวี่ เป็นาง ‘เหนียนยวี่’ ที่เป็คนลงมือฆ่าฟางเหอ”
ยามที่นางเอ่ย เหนียนอีหลานหันหน้ากลับไปอย่างยากลำบาก ทว่าครั้นนางได้เห็นบุคคลที่เข้ามานั้น ในใจพลันสั่นสะท้านอย่างมิอาจห้ามได้ นางฝืนประคองร่างกายตนให้ลุกขึ้นคุกเข่าบนตั่งอย่างตื่นตระหนกทันทีทันใด
“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันอีหลาน ถวายบังคมฮองเฮาเพคะ” ความหวาดหวั่นเกรงกลัวฉายชัดบนใบหน้าซีดเซียว ฮองเฮาอวี่เหวินเข้ามาได้อย่างไร? แล้วท่านแม่ของนางเล่า?
นางเหลือบมองของใช้ภายในห้องโดยคร่าว ฉับพลันนั้นหยาดเหงื่อผุดพรายทั่วร่างกายของเหนียนอีหลาน มือเท้านางเย็นเยียบด้วยความตกตะลึงหวาดกลัว นี่มิใช่จวนเหนียน ที่นี่ช่างงดงามโอ่อ่าเหลือคณา ประกอบกับฮองเฮาอวี่เหวินตรงหน้า คงมิใช่ว่าที่แห่งนี้คือ...
"วังหลวง" คำสองคำนี้ผุดขึ้นในหัวนาง เหนียนอีหลานรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ ความเ็ปในร่างกายของนางพลันยิ่งทำให้นางสั่นสะท้านอย่างที่สุด
“ในเมื่อสามารถลุกขึ้นมาคุกเข่า และรู้สึกถึงาแบนร่างกายตนเองได้แล้ว เช่นนั้นคงมิใช่เื่ร้ายแรงอะไร” ฮองเฮาอวี่เหวินเดินเข้ามายืนตรงหน้าเหนียนอีหลาน จ้องมองสตรีจนตรอกจากมุมสูง สายตาฉายแววเย็นเยียบแข็งกล้า “เมื่อครู่เ้าเอ่ยสิ่งใด เ้าเรียกเปิ่นกงว่าอย่างไรนะ”
ฮองเฮาอวี่เหวินนั่งลงบนเก้าอี้ตามใจนึก ไม่นานนัก นางกำนัลนางหนึ่งพลันรีบยกน้ำชามาถวาย เสียงฝาถ้วยชากระทบตัวถ้วยดังเข้ามาในหูของเหนียนอีหลาน คอยทรมานใจนาง
“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันสมควรตาย หม่อมฉันพูดจาไม่คิดหน้าหลัง หม่อมฉันเลอะเลือนเองเพคะ หม่อมฉัน...” เหนียนอีหลานกระแทกศีรษะคำนับฮองเฮาอย่างไม่หยุดหย่อน ทุกครั้งที่คำนับ แผ่นหลังที่ก้มโค้งดึงความเ็ปจากาแของนางออกมา ทำให้นางรู้สึกเ็ปทรมานอย่างถึงที่สุด ทว่าระหว่างความเ็ปบนร่างกายกับฮองเฮาอวี่เหวินตรงหน้า เมื่อเทียบกันแล้ว นางกลับรู้สึกหวาดกลัวฮองเฮามากกว่า
เื่ในวันนี้ยังมิจบเพียงแค่นั้นหรอกหรือ?
ทว่านางแน่ใจว่าตนโดนเฆี่ยนตีครบสามสิบทีแล้วมิใช่หรือ ฮองเฮายัง้าสิ่งใดจากนางอีก?
“พอได้แล้ว เห็นเ้าหวาดกลัวเยี่ยงนี้ เปิ่นกงก็รู้สึกว่าตนเองปานประหนึ่งมนุษย์กินคน เปิ่นกงมิใช่สัตว์ร้ายที่อยู่ในสวนร้อยสัตว์นั่น คงกินเ้าไม่ลงหรอก” ฮองเฮาอวี่เหวินขัดจังหวะเหนียนอีหลานที่ร้องขอความเมตตา “เ้ามิต้องกังวล เปิ่นกงพาเ้าเข้าวังหลวงมา เพราะฐานะของตระกูลหนานกงทั้งนั้น มารดาเ้ารักเ้ายิ่งนัก นางกลัวว่าร่างกายของเ้าจะหลงเหลือรอยแผลเป็ไว้ ดังนั้นนางจึงร้องขอพระเสาวนีย์จากข้าให้ประทานหมอหลวงในวังมารักษาเ้า”
เป็ท่านแม่ที่ร้องขอหรือ?
ในที่สุด เหนียนอีหลานจึงค่อยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าเช่นนั้นฮองเฮาคงมิทำอะไรนางใช่หรือไม่?
ทว่า...
ครู่ถัดมา ฮองเฮาอวี่เหวินพลันขมวดคิ้ว
“เ้าจัดที่พักให้คุณหนูอีหลานเรียบร้อยแล้วหรือยัง?” ฮองเฮาอวี่เหวินค่อยๆ จิบชา พลางเอ่ยกับนางกำนัลข้างกาย
“ทูลฮองเฮาเพคะ จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วเพคะ” เจินกูกูยืนก้มศีรษะ พร้อมเอ่ยตอบฮองเฮา ครั้นนางนึกคิดอะไรบางอย่าง ใบหน้านางพลันผุดผาดรอยยิ้มแฝงความนัยลึกซึ้ง
เหนียนอีหลานที่ได้ฟังดังนั้น จึงเงยหน้าเหลือบสายตาขึ้นมองดูนายบ่าวที่อยู่ไม่ไกล ในใจพลันงุนงงไม่สบายใจอย่างแปลกประหลาด
“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันมารบกวนพระนางถึงในวังหลวง วันนี้หมอหลวงดูแลาแให้หม่อมฉันแล้ว อีหลานคงมิกล้ารบกวนพระนางอีก อีหลานควรกลับจวนเหนียนได้แล้วเพคะ” เหนียนอีหลานเอ่ยอย่างรีบร้อน
“กลับจวนเหนียนงั้นหรือ?” ฮองเฮาอวี่เหวินหัวเราะแย้มยิ้มออกมาอย่างแ่เบา “สมกับที่พึ่งพิงตระกูลหนานกงจริงๆ เ้าคิดว่าวังหลวงแห่งนี้กลายเป็สถานที่ที่จะไปมาตามใจได้แล้วงั้นหรือ?”
“หม่อมฉันมิกล้าเพคะ หม่อมฉัน...”
“พอแล้ว เ้ามิกล้างั้นหรือ กลับกันเปิ่นกงคิดว่าความหาญกล้าของเ้านี่ไม่น้อยทีเดียวเชียว ไม่มีส่วนใดที่บ่งบอกว่ามิกล้า”
ฮองเฮาอวี่เหวินตัดบทพูดของเหนียนอีหลานอย่างเ็า วางถ้วยชากระแทกลงบนโต๊ะอย่างหนักหน่วง ยื่นมือออกไปให้เจินกูกูเข้ามาประคอง “เปิ่นกงตอบรับคำร้องของมารดาเ้าแล้วว่าจะให้เ้ามาพักรักษาาแในตำหนักแห่งนี้ เ้าเพียงแค่รอคอยวันใดวันหนึ่งที่แผลของเ้าหายดีแล้ว ค่อยกลับจวนเหนียนก็ยังมิสาย”
ฮองเฮาอวี่เหวินปรายตาเหลือบมองเหนียนอีหลานหลังนางเอ่ยจบ ครั้นเห็นเหนียนอีหลานตัวสั่นระริก นางพลันยกยิ้มเย้ยหยันอย่างอดมิได้ กลัวหรือ?
รู้จักกลัวก็ดีแล้ว!
ครั้นนึกอะไรได้ ฮองเฮาอวี่เหวินจึงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย พลางเอ่ยออกมาว่า “เหล่านางกำนัลในตำหนักชีอู๋แห่งนี้จะคอยดูแลเ้าเป็อย่างดี วันนี้เปิ่นกงเองก็รู้สึกเหนื่อยล้าแล้ว วันหลังไว้ค่อยมาเยี่ยมเ้าใหม่”
ฮองเฮาอวี่เหวินเอ่ยรับสั่งออกมาอย่างราบเรียบ จากนั้นจึงหันหลังเดินกลับไป ทว่าเจินกูกูกลับมิได้ตามออกไปด้วย
เหนียนอีหลานล้มตัวลงหัวกระทบลงบนตั่งอย่างแรง ท่าทีนั้นอยู่ในสายตาของเจินกูกู กระแอมไอออกมาเล็กน้อย “คุณหนูใหญ่เหนียนเ้าคะ ท่านไปเองได้หรือไม่เ้าคะ?”
เสียงนางที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้เหนียนอีหลานสะดุ้งใ นางเงยหน้าขึ้นสบตาที่แฝงไว้ซึ่งรอยยิ้มของเจินกูกู
ไปงั้นหรือ?
ครั้นนึกเื่ห้องพักของนางที่ฮองเฮาเอ่ยกับนางกำนัลเมื่อครู่นี้ เหนียนอีหลานพลันกลืนน้ำลายอึกหนึ่งโดยมิรู้ตัว
“ได้ ไปได้” เหนียนอีหลานรู้ดีว่า ในตำหนักชีอู๋แห่งนี้ นางมิอาจทำอะไรผิดพลาดได้เลยแม้แต่น้อย แม้ร่างกายจะบอบบางอ่อนแรงจนลุกขึ้นคุกเข่าได้อย่างยากลำบากก็ตาม ทว่านางก็มิอาจรบกวนผู้ใดได้
เหนียนอีหลานสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ฝืนประคองร่างกายให้ลุกขึ้นและก้าวลงมาจากตั่งอย่างระมัดระวัง ทว่าทันทีที่ยืนขึ้น ความเ็ปบนหลังพลันยิ่งรุนแรงเกินกว่านางจะทนรับไหว นางซวนเซและทิ้งตัวล้มนั่งลงไปบนตั่งอีกครั้ง
“โอ๊ย...” เหนียนอีหลานร้องออกมาด้วยความเ็ปอย่างอดมิได้ ใบหน้าซีดเผือด แยกเขี้ยวยิงฟันเพราะความเ็ปที่แล่นเข้ามา รู้สึกจนตรอกอย่างถึงที่สุด
เจินกูกูที่ยืนมองอยู่ ส่งสายตาขยิบมองให้นางกำนัลสองสามคนข้างกาย พลางเอ่ยว่า “พวกเ้าไปช่วยประคองนาง เดี๋ยวยังต้องเดินต่ออีกไกล นางจะได้ไม่ต้องล้มลงไปอีก มิเช่นนั้นจะล่าช้าได้”
“เ้าค่ะ” นางกำนัลสองสามคนรีบเร่งก้าวเข้ามาช่วยประคองเหนียนอีหลาน
ในใจเหนียนอีหลานพลันยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ
พวกนางจะพาไปที่ใด?
เหนียนอีหลานมิกล้าเอ่ยถาม ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้เหล่านางกำนัลเข้ามาพยุง นางเดินตามเจินกูกูไปทีละก้าวๆ จนกระทั่งเห็นูเาจำลองตรงหน้า ความหวาดหวั่นที่ฉายชัดในดวงตาพลันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
“กูกู ทางนั้น...ทางนั้นคือสวนร้อยสัตว์นี่...” เท้าของเหนียนอีหลานสั่นระริก แม้แต่เสียงของนางก็ยังสั่นไหว
เจินกูกูที่เดินนำไม่แม้แต่เหลียวหน้ากลับมามอง เพียงเอ่ยปากออกมาอย่างราบเรียบเฉยเมยว่า “คุณหนูใหญ่เหนียนคงจะคุ้นเคยไม่น้อยนะเ้าคะ ถึงได้รู้ว่าข้างหน้าคือสวนร้อยสัตว์”
เหนียนอีหลานกลืนน้ำลาย หยดเหงื่อผาดผุดทั่วใบหน้าอย่างต่อเนื่อง สวนร้อยสัตว์แห่งนี้ไม่มีห้องพักแม้แต่ห้องเดียว เช่นนั้นแท้จริงแล้วพวกนาง้าทำสิ่งใดกันแน่?
“กูกู พวกเราจะไปที่ใดกัน?” สุดท้ายเหนียนอีหลานมิอาจอดรนทนได้ คนกลุ่มหนึ่งเคยเข้าไปในูเาจำลองแล้ว วันนั้นนางเองก็อยู่ทีู่เาจำลองพอดิบพอดี เห็นเหนียนยวี่และฮองเฮาอวี่เหวินเข้าไปในสวนร้อยสัตว์
“คุณหนูใหญ่เหนียนถามเยอะเยี่ยงไปทำไมกันเ้าคะ ถึงขนาดนี้แล้วยังมิรู้อีกหรือเ้าคะ ที่พักที่ฮองเฮาทรงจัดเตรียมไว้ให้ แน่นอนว่าต้องเป็สถานที่ที่ดี ไม่มีทางปฏิบัติกับคุณหนูใหญ่อย่างไม่เป็ธรรมแน่เ้าค่ะ” เจินกูกูเอ่ยอย่างเ็า เจือความรำคาญเล็กน้อย
“สถานที่ที่ดีงั้นหรือ?”
เป็สถานที่ที่ดีแน่หรือ?
เหนียนอีหลานรู้สึกได้ถึงสายลมยามราตรีของฤดูคิมหันต์ที่พัดผ่านหยาดเหงื่อเย็นเยียบบนร่างกายนาง ความเยือกเย็นนั้นแทรกซึมเข้าสู่หัวใจในทันที
เดินผ่านูเาจำลองนี้ไป ก็จะถึงประตูสวนร้อยสัตว์แล้ว ความหวาดกลัวในใจเหนียนอีหลาน รุนแรงยิ่งกว่าที่เคย
พวกนาง้าทำสิ่งใดกันแน่?