ม่อหลิงหานประคองเยว่เฟิงเกอขึ้นรถม้า โดยให้เฉียวเฟยและชิงจื่อเดินขนาบสองข้างรถม้าเช่นเคย
ครั้งนี้สารถีไม่ได้บังคับม้าอย่างเชื่องช้าเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเื่เมื่อครู่ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อย ดังนั้น เพื่อไม่ให้ฮ่องเต้ต้องรอนานจนเกินไป เขาจึงบังคับม้าให้เคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
เฉียวเฟยไม่รู้สึกอะไรกับความเร็วนี้ เพราะเขาเป็ผู้ฝึกยุทธ์ แต่น่าสงสารชิงจื่อที่ต้องวิ่งตามรถม้าจนเหนื่อยหอบ หายใจแทบไม่ทัน
เยว่เฟิงเกอไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป จึงให้ชิงจื่อขึ้นรถม้ามานั่งข้างกายนาง กระนั้นม่อหลิงหานก็ไม่ว่าอะไร ั้แ่ที่ชิงจื่อขึ้นมานั่งบนรถม้า เขาก็ปิดตาลงพักผ่อน
และในตอนนี้ที่ไม่มีสายตาจดจ้องของม่อหลิงหานอีก เยว่เฟิงเกอถึงได้รู้สึกเป็ตัวของตัวเองมากขึ้น
รถม้ามาถึงนอกวังภายในเวลาไม่นาน เฉียวเฟยให้องครักษ์ไปรายงานว่าท่านอ๋องและพระชายามาถึงแล้ว
เพียงไม่นานองครักษ์ก็เปิดประตูวัง
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปช้าๆ ส่วนเฉียวเฟยและชิงจื่อนั้นหยุดรออยู่นอกวัง
เยว่เฟิงเกอเลิกม่านขึ้นอีกครั้ง ก็ได้เห็นสถาปัตยกรรมที่คล้ายกับเมืองโบราณในยุคปัจจุบันที่นางเคยไปเยี่ยมชมมา เพียงแต่ที่นี่ดูโอ่อ่ากว้างขวางกว่า เพราะสถานที่ที่นางเคยไปเยี่ยมชมมาต่างผ่านกาลเวลาและการสึกกร่อนมาพอสมควรแล้ว
เมื่อเห็นวังหลวงที่ใหญ่โตงามสง่า เยว่เฟิงเกอก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ไม่นานรถม้าที่ทั้งสองคนนั่งมาก็ดำเนินมาถึงจุดที่ไม่อาจไปต่อได้ ม่อหลิงหานเป็ฝ่ายเดินลงจากรถม้าก่อน หลังจากเขาประคองเยว่เฟิงเกอลงมาแล้ว ก็จับมือนางไว้ไม่ปล่อย
แม้เยว่เฟิงเกอจะอยากให้ม่อหลิงหานปล่อยมือนาง แต่เพราะเห็นบรรดานางกำนัลและขันทีพากันคุกเข่าคารวะยามพวกนางเดินผ่าน นางก็ไม่กล้ากล่าวอะไรให้มากความ ทำได้แค่ประดับรอยยิ้มไว้ที่มุมปากแล้วปล่อยให้ม่อหลิงหานประคองโอบเอวนางมุ่งหน้าไปยังตำหนักฉงหยาง
เมื่อม่อหลิงหานพาเยว่เฟิงเกอเดินมาถึงในตำหนักฉงหยาง สิ่งแรกที่นางเห็นคือฮ่องเต้ฉงหยางที่กำลังนั่งด้วยท่าทีเคร่งครัดสุขุมอยู่บนบัลลังก์
เขาดูเหมือนจะอายุราวสี่สิบกว่า รูปร่างตรงสง่าแข็งแรง อาภรณ์สีเหลืองอร่ามที่สวมอยู่บนร่างยิ่งทำให้เขาดูสูงส่งยิ่ง
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ”
“ถวายบังคมเพคะเสด็จพ่อ”
ม่อหลิงหานและเยว่เฟิงเกอต่างพร้อมใจกันคุกเข่าคารวะเบื้องหน้าฮ่องเต้แห่งเป่ยชวน
“รีบลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้แห่งเป่ยชวนพูดขึ้นด้วยความปรีดายิ่ง
ม่อหลิงหานช่วยประคองเยว่เฟิงเกอให้ลุกขึ้น ขณะนั้นดวงตาคู่งามของเยว่เฟิงเกอได้ทอดมองไปยังฮ่องเต้เป่ยชวนทีหนึ่ง
นี่เป็ครั้งแรกที่ฮ่องเต้เป่ยชวนม่ออวิ๋นถิงได้พบเยว่เฟิงเกอ เห็นเพียงครั้งเดียวเขาก็ถูกใจลูกสะใภ้คนนี้
อย่างไรก็ตาม ม่ออวิ๋นถิงไม่เคยเห็นว่าม่อหลิงหานจะใส่ใจสตรีคนใดเช่นนี้มาก่อน เมื่อครู่ยามได้เห็นบุตรชายตนประคองเยว่เฟิงเกอลุกขึ้น ท่าทีดูระมัดระวังเป็อย่างยิ่ง ม่ออวิ๋นถิงก็รู้แล้วว่า ม่อหลิงหานลูกของเขาผู้นี้คงจะตกหลุมรักพระชายาคนนี้เข้าให้แล้ว
ดีที่นางแต่งเข้ามาในฐานะชายาจั้นอ๋อง จึงไม่ต้องปวดหัวเื่จะหาทางขึ้นเป็ภรรยาเอกในอนาคต
“ผู้นี้คงเป็ชายาจั้นอ๋องกระมัง” ม่ออวิ๋นถิงเอ่ยถามเยว่เฟิงเกอด้วยท่าทีสนิทชิดเชื้อ
เยว่เฟิงเกอยิ้มอย่างน่าเอ็นดูให้ม่ออวิ๋นถิง “เพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันคือองค์หญิงแห่งแคว้นเสวี่ยอวี้ ชายาจั้นอ๋อง เยว่เฟิงเกอเพคะ”
ม่ออวิ๋นถิงพยักหน้าด้วยความพออกพอใจยิ่ง ก่อนจะกล่าวกับม่อหลิงหานว่า “วันนี้ที่เจิ้นเรียกพวกเ้ามา หนึ่งคืออยากเจอลูกสะใภ้คนนี้ สองเพราะมีเื่อยากจะปรึกษากับจั้นอ๋องสักหน่อย”
“เสด็จพ่อตรัสมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ” ม่อหลิงหานตอบด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม
ม่ออวิ๋นถิงเองก็ไม่เกรงกลัวที่มีเยว่เฟิงเกอฟังอยู่ข้างๆ จะอย่างไรเขาก็ชอบแม่นางน้อยคนนี้ ให้นางฟังไปก็ไม่เป็ไรหรอก
ม่ออวิ๋นถิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “แม้ว่าตอนนี้าระหว่างเป่ยชวนและเฟิงหลันจะนับว่าสิ้นสุดลงแล้ว แต่เจิ้นยังได้ยินอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับชาวเฟิงหลันจำนวนไม่น้อยที่แฝงตัวเข้ามาในแคว้นเป่ยชวนของเรา เจิ้นได้ยินมาว่ามีบางส่วนถึงกับลงมือลอบสังหารคน ไม่ทราบว่าจั้นอ๋องเคยได้ยินเื่นี้มาก่อนบ้างหรือไม่? ”
ม่อหลิงหานกล่าวตอบ “ทูลเสด็จพ่อ วันนี้ระหว่างทางที่ลูกและพระชายาเดินทางมาที่นี่ ก็ได้พบเจอเหตุการณ์การลอบสังหารมาเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ? ลองเล่ามาให้เจิ้นฟังหน่อยสิ” เมื่อม่ออวิ๋นถิงได้ยินว่ามีเื่การลอบสังหารเกิดขึ้นจริง เขาก็อยากฟังโดยละเอียด
ม่อหลิงหานไม่ได้ปิดบัง เล่าเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดออกมา
ม่ออวิ๋นถิงได้ฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนหาญกล้ามาลอบสังหารองค์ชายรองของเขา จั้นอ๋องที่ผ่านสมรภูมิมาหลายปี
เ้าคนชั้นต่ำนั่นช่างขวัญกล้านัก
“ยามนี้คนชั้นต่ำผู้นั้นอยู่ที่ใด? ” ม่ออวิ๋นถิงถามขึ้นเสียงดัง
ม่อหลิงหานพูดตามความจริง “ทูลฝ่าา ลูกได้ขังเขาไว้ที่จวนอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ในเมื่อเขากล้าลอบสังหารจั้นอ๋อง เจิ้นก็จะสังหารเขาให้สิ้น” ยามที่ม่ออวิ๋นถิงเอ่ยประโยคนี้ออกมา ั์ตาเต็มไปด้วยความโหดร้ายที่แฝงอยู่ “เื่นี้เ้ากลับไปจัดการเสีย”
เยว่เฟิงเกอเห็นว่าม่ออวิ๋นถิงสั่งฆ่าชายคนนั้น นางก็รีบขึ้นหน้าไป ยอบกายคารวะม่ออวิ๋นถิง “ขอเสด็จพ่อได้โปรดถอนคำสั่งด้วยเพคะ”
“เพราะเหตุใด? ” ม่ออวิ๋นถิงมองเยว่เฟิงเกอด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางถึงต้องพูดแทนคนชั้นต่ำผู้หนึ่งด้วย
เยว่เฟิงเกอคิดจะพูดอะไร กลับถูกม่อหลิงหานขึ้นหน้ามาขัดจังหวะ “ลูกกลับไปแล้วจะจัดการให้เรียบร้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ตลอดทางมานี้เยว่เฟิงเกอครุ่นคิดถึงเื่นี้มาตลอด รอจนได้มาพบฮ่องเต้ ก็ยังนึกอยู่ว่าจะกล่าวถึงเื่นี้อย่างไร
ตอนนี้ดีที่ฮ่องเต้ตรัสขึ้นมาก่อน นางจึงไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยไม่พูดอะไรได้แล้ว
หากจะสังหารชาวเฟิงหลันแค่คนเดียวย่อมไม่นับเป็อะไรได้ เพียงแต่จะยังมีชาวเฟิงหลันอีกมากลอบเข้ามาในแคว้นเป่ยชวนเพื่อลอบสังหาร หากเื่นี้ไม่ได้รับการจัดการที่ดี เกรงว่าในอนาคตจะมีเื่เช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
คิดถึงตรงนี้ เยว่เฟิงเกอก็เงยหน้าขึ้น กล่าวเสียงดังฟังชัด “เสด็จพ่อ หม่อมฉันมีเื่อยากจะทูลเพคะ”
ม่อหลิงหานหันศีรษะมามองเยว่เฟิงเกอ แสดงท่าทีบอกให้นางไม่ต้องพูดแล้ว
แต่เยว่เฟิงเกอไม่แม้แต่จะมองม่อหลิงหาน ก็กล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “หม่อมฉันคิดว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
ม่ออวิ๋นถิงขมวดคิ้วแน่น มองเยว่เฟิงเกอและรอให้นางพูดต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ยามนี้ม่อหลิงหานอยากจะอุดปากเยว่เฟิงเกอเสียจริงๆ ด้วยกังวลว่านางจะพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกมาจนเป็เหตุให้ชีวิตน้อยๆ ของนางนี้รักษาไว้ไม่ได้อีก
เยว่เฟิงเกอรู้ดีว่าอะไรควรพูด อะไรไม่ควรพูด นางส่งสายตาบอกให้ม่อหลิงหานไม่ต้องกังวล จากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ระหว่างทางที่มานี้ หม่อมฉันคิดเื่นี้อยู่ตลอด เหตุที่ชาวเฟิงหลันคนนั้นลอบสังหารจั้นอ๋องถึงที่เป่ยชวนนี้เป็ไปเพราะถูกบีบบังคับเพคะ หากไม่ใช่เพราะสองแคว้นทำากัน ทำให้ราษฎรเฟิงหลันกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น พวกเขาก็คงไม่เคียดแค้นจั้นอ๋องถึงเพียงนี้”
เมื่อเยว่เฟิงเกอพูดมาถึงตอนนี้ ม่อหลิงหานถึงได้ถอยหลังมายืนอยู่ข้างกายนาง เตือนนางเบาๆ ว่าอย่าพูดอีกเลย
ทว่า ม่ออวิ๋นถิงกลับเอ่ยถามต่อ “เช่นนั้นตามความคิดของพระชายา เ้าอยากจะแนะนำให้ทำเช่นไร? ”
เยว่เฟิงเกอได้ยินเช่นนี้ก็คิดว่าคงจะพอมีหวังแล้ว นางจึงกล่าวตอบ “หม่อมฉันคิดออกวิธีหนึ่ง วิธีที่จะทำให้ชาวเฟิงหลันไม่แฝงตัวเข้ามาในแคว้นเป่ยชวนอีก ทั้งยังจะทำให้สองแคว้นมีาและข้อพิพาทระหว่างกันน้อยลง”
ฮ่องเต้ม่ออวิ๋นถิงรู้สึกสนอกสนใจขึ้นมาทันที
เขามองออกนานแล้วว่าเยว่เฟิงเกอคนนี้เป็คนที่เฉลียวฉลาด เมื่อครู่ที่เขาเอ่ยถึงเื่าระหว่างสองแคว้นและการลอบสังหารต่อหน้าเยว่เฟิงเกอ ก็เพราะอยากจะรู้ว่านางจะมีความคิดที่น่าสนใจอะไรหรือไม่
หากว่านางสามารถคิดหาวิธีดีๆ ออกมาได้ นั่นย่อมจะเป็การพิสูจน์ว่าตัวนางนั้นเหมาะสมกับตำแหน่งพระชายานี้
การที่นางแต่งให้ม่อหลิงหานย่อมจะเป็การช่วยส่งเสริมให้บุตรชายของเขาได้มีผลงานมากขึ้นในอนาคต
