หลังจากที่หลินเฟิงจากไป จึงเหลือเพียงท่านหัวและท่านชื่อที่ยังอยู่ในห้องกลั่นเม็ดยา
“ตาเฒ่าชื่อ พูดตามตรงนะ เ้าน่ะอายุยังน้อยกว่าข้า แต่การบ่มเพาะกลับสูงกว่าข้า และยังอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตลี้ลับขั้นที่ 3 อีก พร์ก็ดีกว่าข้ามาก เม็ดยาจิตโลหิตจะช่วยขยายเส้นโลหิตและเพิ่มพลังให้กับจิติญญา หากเ้าใช้มันล่ะก็ เ้าอาจทะลวงขอบเขตและทำให้เ้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตลี้ลับขั้นที่ 4 พวกเราก็จะมีอำนาจในเมืองเทียนลั้ว”
ดวงตาของท่านหัวแฝงไปด้วยความจริงจัง จากนั้นก็กล่าวว่า “งั้นตาเฒ่า พวกเราก็ไม่ต้องต่อสู้อีกต่อไปแล้ว”
ท่านชื่อดูประหลาดใจเล็กน้อย เขาเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ก็ได้”
“ตาเฒ่าไม่ต้องจริงจังไป ด้วยพร์ของหลินเฟิง ประกอบกับขอบเขตผสานกับเทวโลก หลังจากได้กินเม็ดยาแล้วก็จะทรงพลังมากขึ้น หรือเ้ากลัวว่าข้าจะไม่ใช้มัน?”
“หืม?” ท่านชื่อประหลาดใจเล็กน้อยขณะจ้องท่านหัว และกล่าวว่า “เ้าหมายความว่า…”
ท่านหัวพยักหน้าเล็กน้อยก่อนกล่าวต่อ “เ้าเดาถูกแล้ว ข้าจะติดตามหลินเฟิงไป”
“ติดตามหลินเฟิง!” ท่านชื่อใจนร้องเสียงหลง หลินเฟิงนั้นเพิ่งอยู่ระดับขอบเขตแห่งจิติญญา แต่ท่านหัวอยู่ระดับขอบเขตลี้ลับขั้นที่ 3 เขาไม่คิดว่าสหายของตน้าติดตามหลินเฟิงไปเช่นนี้
“ใช่ ติดตามหลินเฟิง” ท่านหัวกล่าวอย่างจริงจัง “ตาเฒ่า ความสามารถในการกลั่นเม็ดยาของหลินเฟิงนั้น เ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจดี”
ท่านชื่อขมวดคิ้วแล้วพยักหน้า ก่อนเอ่ยต่อ “ขอบเขตผสานกับเทวโลก หรือพลังจิติญญาที่แปลกประหลาด คาดว่าโชคชะตาของหลินเฟิงน่าจะเป็ผู้กลั่นเม็ดยา”
“ตาเฒ่า เ้าผิดแล้ว” ท่านหัวส่ายหน้า
“ผิด?”
“ใช่ ผิดแล้ว ขอบเขตผสานกับเทวโลกและพลังจิติญญาที่ประหลาดนั้น ไม่ใช่แค่การกลั่นเม็ดยา ในอีกแง่มุมหนึ่ง ตราบใดที่หลินเฟิงสมัครใจล่ะก็ ทุกอย่างก็จะทำได้ เขาสามารถกลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่ทรงพลัง นักกลั่นเม็ดยา นักสร้างอาวุธ ผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ ทุกอย่างล้วนเป็ได้หมด ตราบเท่าที่เขา้าจะเป็ พร์ประเภทนี้ไม่อาจพบได้ง่ายๆ”
ท่านหัวพูดช้าๆ ทำให้ดวงตาของท่านชื่อต้องสั่นเล็กน้อย ใช่แล้ว… ขอบเขตผสานกับเทวโลก ประกอบกับพลังจิติญญาที่ทรงพลัง นั่นก็คือพร์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถและพร์
“ตาเฒ่า เ้าล้วนรู้นิสัยและพร์ของหลินเฟิง และเ้าก็รู้ว่าแม้พวกเราจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับ แต่อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จึงต้องพึ่งพาตนเอง เกรงว่าในท้ายที่สุดแล้วเราจะไม่อาจเพิ่มความแข็งแกร่งได้อีก ชีวิตของพวกเราก็ถึงจุดจบ ต่อให้พวกเราใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเทียนลั้วอย่างมีศักดิ์ศรี แต่สุดท้ายก็จะกลายเป็เถ้าธุลี ทว่าการติดตามหลินเฟิงไป มันจะทำให้พวกเราได้พบกับโอกาสครั้งใหม่”
ท่านชื่อใจสั่นเมื่อได้ยินคำพูดของท่านหัว ใช่แล้ว… เฉลี่ยแล้วคนธรรมดาจะมีอายุถึง 100 ปี แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตนักรบลมปราณและขอบเขตแห่งจิติญญานั้นมีร่างกายที่แข็งแรง อายุขัยเฉลี่ยแล้วจะมีอายุถึง 150 ปี แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตลี้ลับมีอายุขัยเฉลี่ย 200 ปี แต่เมื่อบรรลุขอบเขต์แล้วจะมีอายุขัยเฉลี่ยถึง 500 ปี ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่มักจะเข้าสู่ขอบเขต์กันหลังจาก่อายุ 300 ปี
แม้พวกเขาจะมีอำนาจในเมืองเทียนลั้ว ทว่านอกเมืองเทียนลั้วนั้นพวกเขากลับไม่มีอะไรเลย นอกจากนี้ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะถึงขีดจำกัดและกลายเถ้าธุลีในที่สุด แล้วอาจไม่มีโอกาสได้ไล่ตามในเส้นทางแห่งนักรบอีกต่อไป
“มันง่ายที่จะปักลายบนผ้าไหม[1] ทว่าการมอบถ่านไม้กลางหิมะ[2] นับว่าเป็เื่ยาก ตาเฒ่าชื่อหลินเฟิงในตอนนี้้าความช่วยเหลือ หากติดตามเขาไปล่ะก็ หลินเฟิงจะต้องยินดีแน่นอน หากวันใดหลินเฟิงสามารถพลิกฟ้าและปฐีได้ ถึงวันนั้นแล้วใครจะมาสนใจเ้ากัน”
ท่านหัวกล่าวอย่างต่อเนื่อง “ตาเฒ่า ไขว่คว้าก่อนที่โอกาสจะหายไป ตอนนี้พวกเรามีโอกาสที่จะมีอำนาจมากขึ้น และยังได้รอดูการเติบโตของอัจฉริยะ แล้วอีกอย่างบางทีการติดตามหลินเฟิงไป พวกเราอาจไล่ตามในเส้นทางแห่งนักรบได้อย่างไม่รู้จบก็ได้”
“ไขว่คว้าก่อนที่โอกาสจะมลายไป!” ท่านชื่อกล่าวอย่างแ่เบา “งั้นเส้นทางแห่งนักรบที่มีไม่รู้จบ พวกเราก็จะมีโอกาสได้ััมัน!”
“เอาล่ะตาเฒ่า เ้าเองก็ลองทบทวนดู อย่างแรกเ้าควรใช้เม็ดยาจิตโลหิตเพื่อทะลวงผ่านขั้นต่อไป ข้าจะช่วยเ้าเอง” ท่านหัวกล่าวขัดความคิดของท่านชื่อ ท่านชื่อก็พยักหน้าตอบรับ “ก็ได้”
กล่าวจบพวกเขาทั้งสองก็เดินไปยังห้องลับ
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ณ เมืองเทียนลั้ว
ยอดฝีมือของนิกายเฮ่าเยว่จากทางทิศตะวันตก หมู่บ้านเสวี่ยอิงซานจากทางเหนือก็ได้รวมยอดฝีมือ นอกจากนี้แม้แต่นิกายหลั่วเซียเองต่างก็มาเยือนเมืองเทียนลั้ว ในขณะเดียวกันลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ นิกายหมื่นอสูร ตระกูลอวี่ หรือแม้แต่ตระกูลต้วน ต่างก็มาเยือนเมืองเทียนลั้ว
นอกจากนั้นยังมีกองกำลังอื่นๆ ที่ไม่รู้จักด้วย ตอนนี้เมืองเทียนลั้วได้ถูกล้อมกรอบแล้ว เข้าง่ายแต่ออกยาก ไม่ว่าจะเป็ใครก็ตาม ก็ไม่สามารถก้าวออกจากเมืองเทียนลั้วได้โดยง่าย
ทุกคนมีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น นั่นคือหนึ่งในสิบหม้อหินโบราณ... หม้อัเก้า์
มันเป็สมบัติโบราณ แต่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วมันมีประโยชน์แค่ไหน แต่เพราะมันเป็หนึ่งในสิบหม้อหินโบราณ ทำให้มันอาจกลายเป็สมบัติที่ประเมินค่ามิได้
หม้อหินนั้นไม่ได้อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของอาณาจักรเสวี่ยเยว่ แต่เป็ประวัติศาสตร์ของทวีปเก้า์ หากใครบางคนในทวีปรู้ว่าหนึ่งในสิบหม้อหินโบราณอยู่ในเมืองเทียนลั้วแห่งนี้ มันก็จะทำให้ทั้งเมืองเกิดการนองเื
ไม่ต้องเอ่ยถึงอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ถ้าอาณาจักรอื่นรู้ว่าอาณาจักรเสวี่ยเยว่มีสมบัติที่ล้ำค่าล่ะก็ พวกเขาก็จะมาเพื่อแย่งชิงมันไป
ในขณะนั้นที่กระท่อมเก่าในเมืองเทียนลั้ว ได้มีร่างเงาหนึ่งในเสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ยกำลังนั่งขดตัวอยู่ในนั้น
อย่างไรก็ตามดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
“ไอ้พวกสารเลว!” น้ำเสียงที่ชั่วร้ายดังจากมาปากของคนคนนี้ ดวงตาของเขาตอนนี้เยือกเย็นอย่างมาก
คนคนนี้คือผู้ที่ได้รับหม้อัเก้า์ไปได้ในวันนั้น... ม่อชั่งหลัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากเื่วันนั้นแล้ว มันกลับไม่ได้สวยงามอย่างที่คาดคิด หลังจากม่อชั่งหลันได้หม้อหินโบราณมา เขาก็ถูกโจมตีอย่างหนัก ไปไหนก็มีแต่คนจะแย่งชิง หลายครั้งที่เขา้าจะออกไปจากเมืองเทียนลั้ว ทว่ากลับต้องเกือบถูกสังหาร หลังจากนั้นในเมืองเทียนลั้วก็มีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่สามารถไปไหนได้
ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยาแ แม้เขาจะได้รับาเ็ แต่เขาก็สามารถสังหารคนที่ไล่ฆ่าเขาไปจำนวนมาก
เขาในตอนนี้ดูเหมือนหนูที่ต้องหลบซ่อนจากการถูกสังหารไปวันๆ สถานการณ์นี้มันทำให้เขาอึดอัดมาก
ม่อชั่งหลันหอบหายใจอย่างหนักหน่วง แม้ในร่างของเขาจะมีเจินหยวนไหลเวียนอยู่ แต่ลมปราณกลับไม่มั่นคง ่นี้เขาจึงได้แต่กลืนกินพลังเจินหยวนมาจากผู้คนมากมาย ทำให้ลมปราณค่อยๆ กลับมาสู่สภาพเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน่เวลาที่สำคัญนี้ สำหรับเขาถือว่าเป็เวลาแห่งการทำลายล้าง
ในขณะนั้นม่อชั่งหลันขมวดคิ้วแน่น ในดวงตาฉายแววแห่งความชั่วร้าย เพราะมีใครบางคนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
“ศิษย์น้อง ตรงนั้นมีกระท่อมด้วย พวกเราไปดูกันเถอะ” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าว จากนั้นทุกคนก็เริ่มเดินเข้าไปในกระท่อม
ดวงตาของม่อชั่งหลันเปล่งประกายอย่างชั่วร้ายและหดตัวอยู่ในมุมหนึ่งของกระท่อม หลังจากนั้นไม่นานร่างเงาที่งดงามทั้งสามก็เข้าไปในกระท่อม
“ศิษย์พี่ ท่านดูสิ ที่นี่มีคนอยู่ด้วย เราไปหาที่ใหม่กันเถอะ” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวอย่างนุ่มนวล
“เปลี่ยนทำไม ก็ไล่เขาออกไปจากที่นี่สิ” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่กล่าวอย่างรุนแรง จากนั้นก็เดินไปทางม่อชั่งหลันก่อนกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “พวกเราเป็คนของนิกายหลั่วเซียและจะมาพักผ่อนกันที่นี่ เ้าไปหาที่อื่นเถอะ”
“หาที่ใหม่?”
ม่อชั่งหลันกล่าว จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย มันทำให้ศิษย์พี่คนนั้นถึงกับหน้าถอดสีและตัวสั่นเทา
“กลืนกิน!”
ตอนนี้เองได้มีเถาวัลย์พุ่งออกไปรัดตัวนางทันที ทำให้เจินหยวนและโลหิตของนางถูกกลืนกินอย่างต่อเนื่อง
“อ๊าก…!!!” เสียงกรีดร้องอันน่าหวาดกลัวดังขึ้น จนทั้งสองคนที่อยู่ข้างหลังพยายามจะหลบหนีไป แต่เพียงพริบตาเถาวัลย์ทั้งสองเส้นก็ได้รัดตัวพวกนางไว้อย่างแ่า
“ได้โปรด…” ศิษย์พี่คนนั้นกรีดร้อง จากนั้นร่างของนางก็กลายเป็ซากศพ ก่อนจะค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้น
ไม่ใช่แค่นางคนเดียว แต่หญิงสาวข้างๆ ก็เช่นกัน หญิงสาวทั้งสามคนในตอนนี้เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ม่อชั่งหลัน เ้าอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย” ตอนนี้เองได้มีน้ำเสียงเ็าดังขึ้นมา จากนั้นกระท่อมก็ถูกแช่แข็ง ทำให้ม่อชั่งหลันเองก็ถูกแช่แข็งไปด้วย พลังดังกล่าวได้หยุดม่อชั่งหลันไม่ให้สังหารหญิงสาวคนสุดท้ายเอาไว้
“ตูม!” ขณะนั้นน้ำแข็งได้แตกออก ม่อชั่งหลันรีบออกไปจากกระท่อมทันที
“ม่อชั่งหลัน ข้าได้ไล่ล่าเ้ามานานแล้ว ยังคิดจะหนีอีกเหรอ” น้ำเสียงที่ดังมาจากที่ไกลๆ นั้น มันช่างเยือกเย็นอย่างมาก
“ปิง… เหอ… เถิง!”
เมื่อหญิงสาวได้ยินเสียงอันชั่วร้ายนี้ ทำให้นางถึงกับเข่าอ่อนล้มลงบนพื้น ขณะมองไปยังผู้ที่ถูกเรียกว่าศิษย์พี่ทั้งสองคนนั้นที่ตอนนี้ได้กลายเป็ซากศพไปแล้ว และนางก็ยังคงตัวสั่นเทาไปด้วยความกลัวไม่หยุดหย่อน
……………………………………………………………………………………………………….....
[1] ปักลายบนผ้าไหม หมายถึง การเพิ่มสิ่งดีๆ แก่ผู้ที่เพียบพร้อมอยู่แล้ว ให้ได้ดีมากยิ่งขึ้น
[2] มอบถ่านไม้กลางหิมะ หมายถึง การให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายในยามลำบาก