ตอนที่ 4
คืนข้ามปีกับจักรพรรดิ
วันปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว
เล่าจื๊อคิดในใจระหว่างที่เดินเลียบไปตามทาง ร้านรวงต่าง ๆ เริ่มประดับหน้าร้านของตนให้เข้ากับ่เทศกาล อากาศก็เริ่มเย็นลงเล็กน้อยกระทั่งเขาสามารถใส่เสื้อไหมพรมออกมาเดินข้างนอกได้เป็ครั้งแรกในรอบปี
เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อย รู้ตัวอีกทีก็เดินมาหยุดอยู่ที่หน้าร้าน The Emperor เสียแล้ว พูดถึง่เทศกาลแล้ว ที่นี่ก็ไม่ได้น้อยหน้าใครเลยแม้แต่น้อย ั้แ่หน้าทางเข้าจนถึงในร้านล้วนถูกประดับประดาอย่างยิ่งใหญ่ สมกับเป็บาร์โฮสต์ชื่อดังที่คนนิยมเข้าเป็อันดับต้น ๆ ของย่านนี้ หากเป็ตอนกลางคืน คงจะโดดเด่นและน่าดึงดูดกว่าตอนนี้หลายเท่าตัว
“อีกไม่กี่วันก็จะปีใหม่แล้วนี่หว่า จะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ”
“คิดว่าจะพาแฟนไปไหว้พ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัดครับพี่”
ชายหนุ่มบังเอิญได้ยินบทสนทนาของคนที่เดินผ่านตนไปพอดี แล้วก็อดจะนึกถึงกรณีของตัวเองไม่ได้...แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ค่อยสนใจเื่เทศกาลหรือการฉลองปีใหม่อยู่แล้ว ปีนี้ก็คงจะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมมากนัก
จื๊อวางแผนว่าเก็บตัวอยู่ในห้อง เข้านอนั้แ่หัวค่ำตามปกติ และตื่นขึ้นมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ของปี หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ ไม่มีอะไรเป็พิเศษอีกแล้ว
“พี่จื๊อ!”
“น้องหญิง”
เดินเข้ามาภายในตัวร้านได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ถูกเรียกเอาไว้เสียก่อน เ้าหญิงอยู่ในชุดที่ดูดีกว่าทุกวันกำลังเดินสวนมาพอดี ในมือของเธอถือพาสปอร์ตเอาไว้ จื๊อคงจะแอบมองนานไปเสียหน่อย เ้าตัวจึงอธิบายเพื่อคลายความสงสัยให้
“หญิงจะไปเที่ยวต่างประเทศกับเพื่อนค่ะ พี่จักรกำลังจะพาไปส่งที่สนามบิน...ว่าแต่ปีใหม่นี้จะไปเที่ยวที่ไหนเหรอคะพี่จื๊อ” เธอถามอย่างกระตือรือร้น จื๊อเพียงส่ายหน้าไปมาเท่านั้น
“ไม่ได้ไปไหนหรอก”
“...”
“คงจะทำงานอยู่ที่บ้าน”
พลันหญิงสาวยู่ปาก ไม่เห็นด้วยกับการทำงานใน่เวลานี้เลยแม้แต่น้อย
“ปีใหม่ทั้งที ใครเขาทำงานกันบ้างล่ะคะ”
จื๊อได้แต่ยิ้มแหยให้ คนจืดชืดที่แทบจะไร้สังคมอย่างเขาคงจะไม่เหมาะกับการสังสรรค์สักเท่าไรนัก ก่อนจะเหลือบไปเห็นจักรพรรดิซึ่งเดินออกมาจากห้องทำงานพอดี ท่าทางอย่างกับคนที่นอนอยู่แล้วถูกบังคับฝืนใจให้ลุกออกมาจากเตียงอย่างไรอย่างนั้น
ส่วนเ้าหญิงที่เห็นอีกฝ่ายเดินมาแล้วก็อดจะกระแนะกระแหนไม่ได้
“ส่วนพี่จักรก็คงจะปาร์ตี้อีกตามเคย มีหนุ่มน้อยเยอะนักนี่”
หญิงสาวกอดอกพูดแกมประชด พลันบรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ จื๊อเงยหน้าขึ้น จึงพบกับดวงตาคมปลาบที่มองมายังตนอยู่ก่อนแล้ว พวกเขามองสบกันครู่หนึ่ง ก่อนจะเป็จื๊อที่หลบสายตาแล้วเดินปลีกตัวออกไปก่อน เมื่อนั่งที่เก้าอี้ประจำได้ก็เริ่มทำงานทันที ลืมสิ่งที่ได้ยินเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้วออกไปให้หมด
“ส่วนพี่จักรก็คงจะปาร์ตี้อีกตามเคย มีหนุ่มน้อยเยอะนักนี่”
“...”
จะมีคนดูใจหรือมีหนุ่มน้อยเป็ของตัวเองสักกี่คนก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเสียหน่อย
...
31 ธันวาคม
ราวกับกะพริบตาหนึ่งครั้งก็เดินทางมาจนถึงวันสุดท้ายของปีแล้ว เล่าจื๊อเก็บตัวอยู่ในบ้าน และไม่ได้มีแผนที่จะออกไปที่ไหน เพื่อนบ้านเริ่มรวมตัวกันเพื่อฉลองกับครอบครัว ในขณะที่บ้านของเขานั้นเงียบสนิท ไม่มีของตกแต่งหรือสิ่งใดที่บ่งบอกถึง่เวลาแห่งเทศกาลเลยแม้แต่น้อย
ร่างขาวหยิบแซนด์วิชออกจากเตาไมโครเวฟหลังจากได้ยินเสียงสัญญาณ ก่อนจะเดินไปนั่งลงที่โซฟาแล้วเลื่อนดูรายการข่าวไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็รายงานเกี่ยวกับสถานที่ที่จัดงานรื่นเริง หากเป็รายการบันเทิงก็จะเป็การส่งท้ายปีเก่าเสียส่วนใหญ่
เล่าจื๊อหยิบแซนด์วิชเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเชื่องช้าเนื่องจากกำลังใช้ความคิด...คืนนี้เขาควรจะทำอะไรดีนะ คงจะต้องรีดเสื้อเตรียมพร้อมสำหรับไปทำงาน หลังจากนั้นก็หางานที่คั่งค้างมาทำ พอถึงวันทำงานจริง ๆ จะได้ไม่วุ่นวายมาก...ว่าแต่วันสิ้นปีของเขาดูจืดชืดเกินไปหน่อยหรือเปล่านะ
ปิ๊งป่อง...
เขาชะงัก เมื่อได้ยินเสียงกดกริ่งจากหน้ารั้ว นึกสงสัยว่าจะมีใครมาหาตนในวันนี้ ่นี้ก็ไม่ได้สั่งพัสดุเลยสักชิ้น นั่งคิดอยู่สักพัก เสียงกดกริ่งก็ยิ่งรัวขึ้นจนเริ่มหนวกหู จื๊อรีบเดินออกไปเปิดประตูทั้งคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากัน ใครเขาให้กดกริ่งบ้านคนอื่นรัว ๆ โดยไร้ซึ่งความเกรงใจแบบนี้กันนะ!
“มาแล้วครั---”
พลันเสียงถูกกลืนหายไป เมื่อเห็นร่างสูงของจักรพรรดิยืนกอดอกอยู่หน้ารั้ว อีกฝ่ายอยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีเขียวเข้ม สวมกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะหูหนีบ คำสั่งถูกเอ่ยออกมาแทนคำทักทาย
“เก็บเสื้อผ้า เอาไปแค่ชุดนอนกับชุดของวันพรุ่งนี้ก็พอ”
จื๊อทำหน้างงเข้าไปใหญ่
“ปะ ไปไหน”
“ไปพัทยา”
“ไปทำงานเหรอ”
“ไปทำธุระ”
“...”
“มีโบนัสเพิ่ม ถ้าไปก็รีบเก็บเสื้อผ้า”
ชายหนุ่มตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้ยินคำว่า ‘โบนัส’ ก็ปิดปากฉับ จื๊อขมวดคิ้วมองคนที่มีสถานะเป็เ้านายตาเขม็ง คิดว่าเอาเงินพิเศษมาอ้างแล้วจะได้ผลตลอดไปอย่างนั้นเหรอ
“เร็ว เกินสิบห้านาทีหักโบนัส”
“ดะ เดี๋ยวสิ!”
ว่าพลางจับเวลาด้วยนาฬิกาข้อมือ จื๊อที่ตั้งท่าจะดื้อดึงใส่ ในความเป็จริงกลับได้แต่เม้มปากเงียบแล้วเดินฮึดฮัดเข้าไปในบ้านเพื่อเก็บกระเป๋าด้วยความไวว่อง สาวเท้าเดินจนขาแทบจะพันกันเพราะห่วงจำนวนเงินโบนัส เขายัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าด้วยความรุนแรงมากกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อระบายอารมณ์
จู่ ๆ ก็บุกมาถึงหน้าบ้านกะทันหัน อีกทั้งยังมาจับเวลาเร่งรัดกันโดยเอาเงินโบนัสเป็ตัวประกันอีก...จื๊อหงุดหงิดจนความร้อนขึ้นหัว ได้แต่แอบส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอระหว่างที่ยัดเสื้อผ้าและของจำเป็ใส่กระเป๋า
อย่างนี้เรียกมัดมือชกกันชัด ๆ เลยนี่! ไอ้คนนิสัยไม่ดี!
...
พัทยา
23.00 น.
เล่าจื๊อยืนงุนงง มองกลุ่มมหาชนที่มารวมตัวกันอยู่ ณ ริมชายหาดชื่อดังแห่งหนึ่งในพัทยา ที่นี่จัดงานเคาต์ดาวน์อย่างยิ่งใหญ่ เสียงดนตรีดังอึกทึก ผู้คนส่วนใหญ่ไปยืนออกันอยู่ที่หน้าเวทีใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ที่จุดหนึ่งของชายหาด เนื่องจากมีวงดนตรีที่กำลังโด่งดังและเป็กระแสมามอบความบันเทิงให้ในคืนนี้
เขาไม่ได้ตามกระแสในโซเชียลสักเท่าไรนัก จึงไม่ได้สนใจนักร้องคนใดเป็พิเศษ ตอนนี้จึงได้แต่เดินตามจักรพรรดิไปนั่งที่มุมหนึ่งของหาด ซึ่งอยู่ห่างออกไปพอสมควร แม้จะมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาตลอด แต่ก็ไม่ได้หนาแน่นเท่าจุดอื่น
ครั้นเมื่อนั่งลงแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองคนข้างกายที่อุตส่าห์ลากตนมาไกลถึงที่นี่ นอกจากจะไม่ได้พาไปทำธุระอย่างที่ปากว่าแล้ว ตอนนี้ยังนั่งดื่มเบียร์กระป๋องมองทะเลยามค่ำคืนอย่างสบายใจเฉิบอีกต่างหาก
“ไหนบอกว่ามาทำธุระไงล่ะ”
“ทำ แต่ทำพรุ่งนี้”
ว่าจบก็โยนกระป๋องเบียร์ที่ดื่มจนหมดแล้วลงถังขยะ กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โชยแตะปลายจมูกเป็บางครั้งผ่านสายลม ในขณะที่จื๊อได้แต่นั่งกอดขวดน้ำส้มที่ซื้อติดมือมาจากร้านสะดวกซื้อ แล้วกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อเก็บรายละเอียด
แท้จริงตอนนี้เป็เวลาที่เขาจะต้องนอนแล้ว แต่เมื่อได้ออกมาัับรรยากาศที่ไม่คุ้นเคยก็รู้สึกตาสว่างขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ...อาจจะฟังดูเกินจริงไปเสียหน่อย ทว่าเล่าจื๊อในวัยยี่สิบเจ็ดปี เพิ่งจะเคยเป็ส่วนหนึ่งในงานเคาต์ดาวน์เช่นนี้เป็ครั้งแรก
พื้นที่บริเวณชายหาดถูกประดับไปด้วยแสงไฟสีเหลืองนวล มีลมทะเลพัดมาตลอดเวลาจนเริ่มรู้สึกหนาว เสียงคลื่นกระทบฝั่งดังเคล้าไปกับเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม ดูวุ่นวายและน่าปวดหัวไปเสียหน่อยสำหรับเขา ทว่า
“สวยจัง”
เผลอพึมพำออกมาคล้ายพูดกับตัวเอง แต่เขาคงจะลืมไปว่าคนข้างกายคือจักรพรรดิ บุคคลที่หูดียิ่งกว่าใครทุกคนบนโลกใบนี้
“แหงสิ” ร่างสูงตอบเสี่ยงเอื่อยเฉื่อย
“รีบขอบคุณซะสิ คนเขาอุตส่าห์พามาดูโลกภายนอก”
พลันผู้ฟังหน้าตึง คิ้วกระตุก ทั้งน้ำเสียงและสีหน้า ดูอย่างไรก็เป็การพูดเพื่อปั่นประสาทกันชัด ๆ จื๊ออยากจะเถียงเหลือเกินว่าเป็อีกฝ่ายไม่ใช่หรือยังไง ที่ไปลากเขามาถึงที่นี่ตามใจชอบ แม้จะมีเื่งานเข้ามาเกี่ยวก็เถอะ ทว่าในความเป็จริงกลับทำได้เพียงหันไปอ้าปากพะงาบ ๆ ใส่อยู่อย่างนั้นเพราะพูดไม่ออก
น่าโมโห ั้แ่เล็กจนโต เขาเคยชนะผู้ชายคนนี้บ้างไหมนะ...แน่นอนว่าไม่เคยเลยสักครั้ง!
พวกเขานั่งอยู่ที่เดิมสักพัก ก่อนจะต้องเปลี่ยนที่ ร่างสูงนำขยะไปทิ้ง จื๊อจึงได้แต่ยืนรออยู่ที่ใต้ต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง ก่อนจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
ปัก!
“!!!!”
เพราะรอบข้างจอแจ จื๊อจึงไม่ทันได้ยินเสียงของเด็กเล็กที่วิ่งไล่กันมาทางนี้ รู้ตัวอีกทีก็ถูกวิ่งชนเข้าอย่างจังจนเสียหลัก เผลอไปเหยียบหลุมทรายนี่น่าจะมีใครบางคนขุดเอาไว้จนข้อเท้าพลิก ชายหนุ่มทรุดฮวบลงไปทันที ทั้งความรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณข้อเท้าที่ชัดเจนเสียจนต้องเบ้หน้า
ไม่รู้ว่าควรจะโกรธเด็กที่วิ่งมาชน หรือควรจะโกรธใครสักคนที่มาขุดหลุมทรายเอาไว้ตรงนี้ดี
“เป็อะไรหรือเปล่าคะ! ขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ”
ผู้ปกครองของเด็กรีบวิ่งเข้ามาขอโทษเสียยกใหญ่ เธอเป็เพียงผู้หญิงคนเดียว คงจะรับมือกับความซนของเด็กเล็กจำนวนมากกว่าหนึ่งคนไม่ไหว เล่าจื๊อยังคงนั่งกุมข้อเท้าอยู่ท่าเดิม กระนั้นก็ยังส่งยิ้มให้ด้วยใบหน้าเหยเก
“ไม่เป็ไรครับ ไม่ได้เจ็บอะไร”
“จะ จริงเหรอคะ”
“ครับ เดี๋ยวก็หายแล้ว”
ตอบกลับไปอย่างนั้น ทว่าเหงื่อกลับผุดขึ้นเต็มหน้าผาก คนเริ่มมุงมากแล้ว เขา้าหยุดสถานการณ์ที่ตนเป็จุดเด่นให้เร็วที่สุด หญิงสาวมีท่าทีผ่อนคลายลง เธอขอโทษขอโพยอีกหลายคำทีเดียวก่อนจะยอมลุกออกไป เป็จังหวะเดียวกันที่จักรพรรดิเดินกลับมาเห็นภาพตอนจื๊อกำลังพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลพอดี
“จับแขนกู”
“ยืนเองได้ เราไม่ได้เจ็บ”
ว่าจบก็พยายามลุกขึ้นยืนด้วยตัวเองจนสำเร็จ เขายืนนิ่งอยู่สักพักแล้วจึงเริ่มเดินต่อ ทว่าก้าวเท้าได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักแล้วแอบเบ้หน้าเล็กน้อย เพราะรู้สึกเจ็บมากกว่าที่คิดไว้หลายเท่า หลุมทรายถูกขุดเอาไว้ลึกพอสมควร ความเสียหายที่ได้รับจึงน่าจะมากตามไปด้วย
ร่างสูงยืนกอดอกมองภาพดังกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่วายเอ่ยคำถามจี้จุด
“นี่เหรอเรียกไม่เจ็บ”
คราวนี้จื๊อเม้มปาก
“เราไม่ได้เจ็บมาก”
ให้คำตอบเสร็จแล้วจึงเริ่มเดินอีกครั้งด้วยความเร็วที่เชื่องช้าลง โดยมีจักรพรรดิเดินล้วงกระเป๋าตามหลัง นักร้องร้องเพลงจบไปหลายเพลง แต่จื๊อยังคงเดินไปไม่ถึงไหน สุดท้ายก็บ่นออกมา
“ช้า”
“...”
“ชาตินี้จะเดินไปถึงที่พักไหมจื๊อ”
พลันคนเจ็บเริ่มหัวอุ่น หันขวับไปมองกันทั้งใบหน้าบึ้งตึง เขาเจ็บอยู่อย่างนี้ จะให้เดินเร็วกว่านี้ได้ยังไง หากรีบมากนักก็เดินนำไปก่อนเสียสิ ถึงอย่างไรก็มีกุญแจห้องกันคนละดอกอยู่แล้ว
“นายก็เดินนำไปก่อนสิ เดี๋ยวเราก็ตามไปเอ---!!!”
เอ่ยยังไม่ทันจบประโยค ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความใ เมื่อจู่ ๆ ร่างกายก็ลอยหวือขึ้นเหนือพื้น ร่างของเล่าจื๊อถูกใครอีกคนจับขึ้นอุ้มพาดบ่าอย่างง่ายดาย จากที่มองฟ้าอยู่ในคราวแรก ตอนนี้กลับเห็นเพียงผืนทรายและเท้าของผู้คนที่เดินขวักไขว่ ร่างขาวนิ่งค้างอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มได้สติ
“ทะ ทำอะไร!?”
“อุ้มไง คิดว่าแบกกระสอบทรายเหรอ”
“...” จักรพรรดิเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะกวนอารมณ์ออกมาหนึ่งคำ
“จะว่ากระสอบทรายก็ไม่ใช่ เพราะตัวเธอเบาอย่างกับตุ๊กตา”
คล้ายกับถูกเยาะเย้ยอยู่ในที จริงอยู่ที่จื๊อเป็พวกผอมแห้ง แต่เขาก็ไม่ใช่คนตัวเล็กรูปร่างกะทัดรัดที่จะน้ำหนักเบาเป็ปุยนุ่น เป็อีกฝ่ายต่างหากที่โหมออกกำลังกายจนกล้ามโต ไม่ว่าจะแบกอะไร เ้าตัวก็คงจะบอกว่าเบาเกินไปทั้งหมดอยู่ดี!
อยู่กับผู้ชายคนนี้ เขารู้สึกเหมือนจะแก่เร็วขึ้นไปอีกสิบปี!
ไปอุ้มบรรดาหนุ่มน้อยในฮาเร็มของตัวเองสิ จะมาอุ้มเขาทำไมกัน!
“ปล่อยนะ!!”
“ปี๊ป่อ ๆ รบกวนหลบทางหน่อยครับ พอดีมีคนเจ็บโดยสารมาด้วย”
ร่างสูงไม่สนใจเสียงโวยวาย เพียงแบกคนบนบ่าฝ่าฝูงชนไปอย่างหน้าตาเฉย ในขณะที่ผู้คนบริเวณนั้นก็เริ่มหันมาให้ความสนใจกับพวกเขาเป็ตาเดียว จื๊ออายเสียจนหน้าดำหน้าแดง ได้แต่ขยุ้มมือกับเสื้อฮาวายของอีกฝ่ายแล้วซุกหน้าหนี เป็จังหวะเดียวกันที่ได้ยินเสียงจากพิธีกรบนเวที
“ทุกคนนับถอยหลังพร้อมกันนะครับ ห้า! สี่!”
วินาทีสำคัญของค่ำคืนนี้กำลังจะมาถึงแล้ว เสียงนับถอยหลังดังขึ้นโดยพร้อมเพรียงกันจากทั่วทุกสารทิศ จื๊อดิ้นขลุกขลัก พยายามให้หลุดออกจากอ้อมแขนทว่าก็ยังไร้ผล กลายเป็ว่าเขาถูกศัตรูอันดับหนึ่งจับอุ้มพาดบ่า อยู่ในสภาพหัวห้อยโตงเตงรับปีใหม่เสียอย่างนั้น
“สาม...สอง...หนึ่ง! แฮปปี้นิวเยียร์!!”
ทุกคนกู่ร้องสุดเสียงต้อนรับปี พ.ศ. ใหม่ ตามมาด้วยเสียงพลุดังกระหึ่มจากหลาย ๆ จุด เช่นเดียวกับผู้คนที่หันไปบอกสวัสดีวันปีใหม่กับคนรอบข้างด้วยน้ำเสียงรื่นเริงตลอดทางที่พวกเขาเดินผ่าน
“สวัสดีปีใหม่นะคะ!”
“สวัสดีปีใหม่ครับ” จักรพรรดิตอบรับเสียงเรียบ
“Hey friend! Happy new year!!” (เฮ้เพื่อน สุขสันต์วันปีใหม่!)
“Yeah, Happy new year” (อืม สุขสันต์วันปีใหม่)
แม้จะมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ก็ขยันตอบรับทุกคนทั้ง ๆ ที่แบกอีกหนึ่งชีวิตไว้บนบ่า ในขณะที่จื๊อไม่มีอารมณ์จะมาบอกสวัสดีปีใหม่ใครทั้งนั้นในสภาพนี้ เขาอยู่ในท่วงท่าแสนน่าอายและกำลังตกเป็เป้าสายตาของคนนับร้อยอยู่นะ!
“สวัสดีปีใหม่ครับพี่คนหล่อ”
“อืม สวัสดีปีใหม่”
“ปล่อยเราลงนะ! บอกให้ปล่อยไง!!”
เสียงโวยวายดังขึ้นไม่หยุดหย่อนท่ามกลางบรรยากาศรื่นเริงใน่เที่ยงคืน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีวี่แววที่จะถูกปล่อยลงจากบ่าแต่อย่างใด
.
.
.
กว่าจะเดินฝ่าความแออัดจากบริเวณชายหาดมาจนถึงที่พักได้ก็กินเวลาไปหลายนาที เล่าจื๊อโวยวายจนเหนื่อยจะเปล่งเสียงแล้ว เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายแบกตนไปทางนั้นทีทางนี้ทีทั้งดวงตาที่เริ่มปรือปรอย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกปล่อยลงโซฟาในห้องพักเรียบร้อยแล้ว
การอาบน้ำในวันนี้ผ่านไปอย่างทุลักทุเล นอกจากจะเจ็บข้อเท้าแล้วยังง่วงนอนอย่างหนักจนแทบจะนอนกองไปกับพื้นห้องน้ำ ตอนนี้เลยเวลานอนของจื๊อมาหลายชั่วโมงแล้ว ครั้นเมื่อหัวถึงหมอนได้ ร่างกายที่แสนซื่อตรงต่อตารางเวลาก็ทำท่าจะชัตดาวน์ตัวเองทันที
“อือ...”
ร่างขาวส่งเสียงครางแ่เบาทั้งที่ยังสะลึมสะลือ เมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิเย็นเฉียบบริเวณข้อเท้า เขาพยายามลืมตาขึ้นมองด้วยความยากลำบาก ภาพที่เห็นคือจักรพรรดิซึ่งกำลังใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบที่ข้อเท้าของตน ประคบแล้วพักเป็ระยะจนอาการปวดเริ่มทุเลาลงอย่างเห็นได้ชัด
“...”
จื๊อมองภาพดังกล่าวด้วยความรู้สึกประหลาดใจ อาศัย่เวลานี้แอบมองเสี้ยวใบหน้าคมเงียบ ๆ ก่อนดวงตาคู่สีน้ำตาลจะช้อนขึ้นมองสบกันราวกับรู้ทัน จื๊อใ แต่ความง่วงงุนก็มีมากเกินกว่าจะทำอะไรอีก นอกจากนอนจ้องกลับทั้งดวงตาปรือปรอยเท่านั้น
ก่อนจะเห็นอีกฝ่ายแค่นหัวเราะ กระตุกยิ้มร้ายทำหน้าประหลาดใส่ ทั้งประโยคที่ทำเอาผู้ฟังคิ้วกระตุก
“ฮึ! สมน้ำหน้า”
พลันคนถูกซ้ำเติมหน้างอ พอสู้อะไรไม่ได้ก็รีบพลิกตัวนอนตะแคงแล้วหลับตาหนีทันที
…
07.30 น.
“อือ...”
เสียงครางเครือดังขึ้นแ่เบา คนบนเตียงยืดแขนบิดี้เีแล้วพลิกตัวไปอีกทางหนึ่งเพื่อหนีแสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามา ทว่าผ่านไปสักพักก็เบิกตาโพลง ผุดตัวลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติ เล่าจื๊อในสภาพผมเผ้ารุงรังกำลังพยายามทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทั้งหมด ด้วยสติที่ยังไม่ค่อยสมประกอบดีเท่าไรนัก
เมื่อวานนี้เขาถูกลากมาถึงพัทยา ได้เห็นบรรยากาศการเคาต์ดาวน์ด้วยตาของตัวเองเป็ครั้งแรกในชีวิต หลังจากนั้นก็ถูกอุ้มพาดบ่าเป็กระสอบทรายมาจนถึงห้อง ภาพสุดท้ายที่เห็นคือสีหน้าเยาะเย้ยของจักรพรรดิในขณะที่กำลังประคบเย็นให้กับตน
“...”
คิดมาถึงตรงนี้ก็เริ่มจะได้สติมากขึ้น ชายหนุ่มรีบควานหาแว่นมาสวมแล้วเริ่มทำการสำรวจไปรอบห้อง...สิ่งที่เห็นเป็อันดับแรกคือนาฬิกาข้างหัวเตียงที่บอกเวลาเจ็ดโมงครึ่ง เมื่อหันไปมองที่ปลายเตียง จึงเห็นร่างสูงของจักรพรรดิที่นั่งไขว่ห้างอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางเกียจคร้าน ดวงตาคู่คมมองกันอยู่ก่อนแล้ว
“ตื่นแล้วเหรอ”
“...”
“ดีเลย คนอื่นเขาจะได้นอนบ้าง”
ว่าจบก็ลุกขึ้นยืนบิดี้เี ก่อนจะพาตัวเองขึ้นมานอนบนเตียงด้วยกันหน้าตาเฉย เตียงขนาดสามฟุตครึ่งดูแคบไปถนัดตาสำหรับผู้ชายสองคน จื๊อถูกเบียดจนตัวแทบจะอัดไปกับกำแพง ในขณะที่จักรพรรดิพลิกตัวนอนคว่ำ คว้าหมอนข้างมากอดแล้วใช้เท้าคีบผ้าห่มที่ร่นไปอยู่ปลายเตียงขึ้นมาด้วยความชำนาญ
ร่างขาวดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อย อ้าปากค้างเพราะกำลังพยายามควานหาเสียงของตัวเอง ระบบสมองรวนไปหมดเมื่อต้องมาอยู่กับคนที่ทำตัวสวนกับธรรมชาติของคนทั่วไป
“ตะ แต่ว่านี่มันตอนเช้านะ”
“...”
ไร้ซึ่งการตอบสนองจากใครอีกคน ราวกับพูดแล้วทุกอย่างก็หายไปกับอากาศ เพียงไม่นานหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกรนเบา ๆ บ่งบอกว่าเ้าตัวเข้านอนจริงอย่างที่ปากว่า ไม่ได้พูดเล่นแต่อย่างใด คราวนี้สายตาของคนที่เพิ่งตื่นนอนเริ่มว่างเปล่า
คนหนึ่งเข้านอนั้แ่หัวค่ำแล้วตื่นมาใช้ชีวิตตอนเช้าตรู่ ในขณะที่อีกคนหนึ่งนอนเช้าแล้วตื่นเมื่อพระอาทิตย์ตกดิน
จื๊อได้แต่นั่งกอดเข่าเหม่ออยู่ในมุมแคบ ๆ เพราะถูกเบียดจนแทบไม่เหลือที่ แล้วแอบร้องไห้ในใจให้กับวิถีชีวิตที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
ถ้าต้องมานั่งเฝ้ากันนอนแบบนี้ แล้วเมื่อไรจะได้ออกไปทำธุระจริง ๆ สักทีล่ะ!!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้