ณ ศาลาฉีอวิ๋น
อวิ๋นจื่อรินสุราให้มู่ชิงซ่ง
ขณะที่มู่ชิงซ่งหยิบจอกสุราขึ้นมา เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านนอก
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ท่านมาที่นี่เวลานี้ทุกวัน ภรรยาของท่านไม่ว่าเอาหรือ?”
มู่ชิงซ่งยิ้ม “แน่นอนว่าข้ามาที่นี่เพราะ้าฟังเพลง ฮูหยินของข้าคว่ำไหน้ำส้ม[1]ไปแล้ว ข้าี้เีเกินกว่าจะอธิบาย ดังนั้นปล่อยไว้แบบนี้เถอะ”
อวิ๋นจื่อนั่งลงหน้ากู่ฉินและถามว่า “ท่าน้าฟังเพลงอะไรหรือ?”
มู่ชิงซ่งกล่าวว่า “เล่นเพลงหงส์หาคู่[2]เถิด ช่างเหมาะกับโอกาสนี้เสียจริง”
อวิ๋นจื่อหัวเราะ “ท่านได้ยินเสียงเอะอะด้านนอกหรือไม่? ข้าเกรงว่าเพลงนี้จะไม่เหมาะนัก เพลง ‘ชีวิตล่องลอยเหมือนความฝัน’ เป็อย่างไร?”
มู่ชิงซ่งกล่าวโดยไม่มองหน้าอวิ๋นจื่อ “ตกลง”
เสียงกู่ฉินอันไพเราะดังขึ้น
เสียงเอะอะด้านนอกเงียบลงชั่วขณะ
และแล้วเสียงเพลงก็จบลง
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “วันนี้สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ท่านโปรดกลับไปก่อนเถอะ”
ก่อนที่มู่ชิงซ่งจะทันได้พูดอะไร หญิงสาวที่แต่งตัวงดงามคนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและกล่าวอย่างเ็าว่า “เ้าคือปี้เหยียนหรือ?”
อวิ๋นจื่อลุกขึ้นและถามว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่?”
หญิงสาวผู้นี้ทาแป้งหนาเพื่อปกปิดรอยคล้ำและคราบน้ำตา
อวิ๋นจื่อมองหญิงสาวคนนั้นด้วยความสงสารก่อนจะกล่าวต่อว่า “ฮูหยินมู่ไม่ต้องกังวล ปี้เหยียนก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน คุณชายมู่แค่มาฟังข้าเล่นกู่ฉินเท่านั้น”
นางไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ให้อีกฝ่ายฟังได้
หญิงสาวมีท่าทีขุ่นเคือง แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายของอวิ๋นจื่อที่ฟังดูราวกับว่าสถานที่นี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[3] นางก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองมากขึ้น จึงกล่าวอย่างไม่ไว้หน้าว่า
“เหตุใดต้องขายศิลปะให้เหนื่อยทั้งที่ใช้อย่างอื่นก็สามารถมัดใจบุรุษได้แล้ว?”
อวิ๋นจื่อก้าวถอยหลังและกล่าวเสียงต่ำว่า “ฮูหยินมู่ โปรดระวังคำพูดด้วย”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ หญิงสาวก็กล่าวเย้ยหยัน “ใครจะสนใจคำพูดไร้สาระของเ้า หอจุ้ยฮวนเป็สถานที่หาความสำราญไม่ใช่หรือ?”
อวิ๋นจื่อ้ากล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดอะไร มู่ชิงซ่งก็ลุกขึ้นและจากไปโดยไม่กล่าวอะไรสักคำ หญิงสาวะโว่า “ท่านพี่ รอข้าด้วย” และวิ่งตามเขาออกไป
อวิ๋นจื่อยิ้มอย่างอ่อนล้า
‘ข้าทำผิดต่อคุณชายมู่แล้ว’
อวิ๋นจื่อต้องป้องกันตัว นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอให้เขามาที่ศาลาฉีอวิ๋นทุกวันเพื่อให้ผู้ที่มีเจตนาร้ายถอยหนี แต่เห็นได้ชัดว่านี่คงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาระยะยาว
อวิ๋นจื่อรู้สึกผิดมากที่ทำร้ายมู่ชิงซ่ง เมื่อเห็นท่าทีอันขุ่นเคืองของหญิงสาวคนนั้นอวิ๋นจื่อก็ยิ่งรู้สึกผิด
นางอยากไปจากที่นี่
บางทีคำทำนายอาจไม่ถูกต้อง!
เหตุใดนางถึงเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เพียงเพราะคำทำนายที่ไร้แก่นสารนั้น?
นางไม่เคยคิดอยากจะไปจากหอจุ้ยฮวนหรือศาลาฉีอวิ๋นมากเท่าวันนี้มาก่อน
ในตอนเย็นอวิ๋นจื่อมีท่าทางเซื่องซึม หวังฉีอวิ๋นถามอะไรไปนางก็ไม่ตอบ
หวังฉีอวิ๋นจับมือนางและถามด้วยความกังวล “ปี้เหยียน เกิดอะไรขึ้น?”
อวิ๋นจื่อน้ำตาคลอก่อนจะกล่าวว่า “ป้าอวิ๋น ข้าไม่ควรมาที่นี่แต่แรกใช่หรือไม่?”
เมื่อหวังฉีอวิ๋นได้ยินคำพูดนั้น นางก็ถามย้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
อวิ๋นจื่อร้องไห้และเล่าให้หวังฉีอวิ๋นฟังถึงการมาเยือนของฮูหยินมู่ในวันนี้ หวังฉีอวิ๋นได้ยินเื่ที่ฮูหยินมู่มาที่นี่เพื่อตามหาสามี เพียงแต่นางไม่ทราบรายละเอียด
เมื่อได้ยินสิ่งที่อวิ๋นจื่อกล่าว นางก็เข้าใจถึงความร้ายแรงของเื่นี้
หรือว่าหญิงสาวคนนี้ไม่อยากอยู่ในหอคณิกาอีกต่อไปแล้ว?
อวิ๋นจื่อกล่าวว่า “ป้าอวิ๋น ข้าทำให้ฮูหยินมู่ไม่พอใจ ข้าเกลียดตัวเองจริงๆ ข้าเกลียดตัวเองพอๆ กับที่ข้าเกลียดโจวยี่ ข้าเกลียดตัวเองมาก ป้าอวิ๋นข้าควรทำอย่างไร? ข้า...ข้าไปจากหอจุ้ยฮวนได้หรือไม่?”
หวังฉีอวิ๋นพูดไม่ออกอยู่พักหนึ่ง
เดิมทีนางและซูฮองเฮามีมิตรภาพที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่หลังจากที่นางถูกคนอื่นกลั่นแกล้งไม่ให้เข้าวังหลังและหลังจากล้มลุกคลุกคลานหลายครั้ง นางก็ตั้งหลักได้อย่างมั่นคงในหอจุ้ยฮวนและค่อยๆ สร้างรากฐานของตัวเองขึ้นมา
นางไม่เต็มใจที่จะมองดูบุตรสาวของสหายเก่าได้รับความเ็ป นางไม่้าให้หญิงสาวคนนี้เดินในเส้นทางเดียวกับนาง
อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถปล่อยให้อวิ๋นจื่อไปจากหอจุ้ยฮวนได้ เพราะนี่คือลูกสาวของสหายคนเดียวที่เคยดูแลช่วยเหลือกันมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น ประมุขตระกูลมู่ยังเป็ผู้ฝากฝังอวิ๋นจื่อให้นางดูแลด้วยตนเอง
ท้ายที่สุดแล้วผู้หญิงดีๆ จะตัดสินใจอยู่ในหอคณิกาต่อไปได้อย่างไรหากยังมีทางเลือกอื่นหลงเหลืออยู่?
ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้นางมีรากฐานมั่นคง ตอนที่นางมาถึงหอจุ้ยฮวนครั้งแรก นางก็มักวิตกกังวลเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?
หวังฉีอวิ๋นเคยผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาก่อน นางจึงเข้าใจความรู้สึกของอวิ๋นจื่อเป็อย่างดี
แต่เื่แบบนี้อาศัยแค่คำปลอบประโลมย่อมไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นได้
หวังฉีอวิ๋นจึงทำอะไรไม่ถูก
หญิงสาวยังคงสะอื้นเบาๆ
หวังฉีอวิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวว่า “ปี้เหยียนเด็กดี อย่าร้องไห้ไปเลย”
อวิ๋นจื่อร้องไห้อยู่นานกว่าจะตระหนักว่าน้ำตาของนางทำให้เสื้อผ้าของหวังฉีอวิ๋นเปียก นางจึงรู้สึกอับอายและหยุดร้องไห้ทันที “ป้าอวิ๋น ข้า…”
หวังฉีอวิ๋นกล่าวว่า “ข้าอยากให้เ้าคิดทบทวนอีกครั้ง ถ้าเ้าอยากจะไปจากที่นี่จริงๆ ข้าจะไม่ห้าม เพราะท้ายที่สุดแล้วหอจุ้ยฮวนไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมกับทุกคน”
ดวงตาของหญิงสาวที่แดงก่ำจากการร้องไห้ยังคงมีน้ำตาเอ่อคลอ นางพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและมองหวังฉีอวิ๋นเดินจากไป
นางควรอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่?
เมื่อนึกถึงท่าทางของฮูหยินมู่ในตอนนั้น อวิ๋นจื่อก็รู้สึกว่าหัวใจของนางเ็ปราวกับถูกบีบ
นางรู้สึกสิ้นหวังและอยากไปจากที่นี่
จู่ๆ คำทำนายก็ผุดขึ้นในหัวของอวิ๋นจื่อ ทำให้นางเกิดความลังเลขึ้นมา
ด้วยทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในปัจจุบัน นางและน้องชายย่อมอยู่อย่างสะดวกสบายไปตลอดชีวิต
ในอดีตนางยังมีเสด็จแม่
แต่ตอนนี้นางไม่เหลือใครแล้ว
หัวใจของนางรู้สึกอ่อนล้าอย่างยิ่ง
ตอนเสด็จแม่ยังอยู่ นางและน้องชายได้รับการปกป้องอยู่เสมอ นั่นเป็เหตุผลให้อวิ๋นจื่อสามารถทำสิ่งต่างๆ โดยปราศจากความลังเล
แต่ตอนนี้นางกลับไม่มีผู้ใดให้ปรึกษาและสนทนาด้วย
แน่นอน นางย่อมเกิดความลังเล
ขณะที่อวิ๋นจื่อจมอยู่กับความคิดของตัวเอง นางก็รู้สึกง่วงและอ่อนเพลีย
ถึงเวลาอาบน้ำและเข้านอนแล้ว
อวิ๋นจื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า จากนั้นนางก็ส่งเสียงเรียกเบาๆ ไม่นานสาวใช้ก็เข้ามาเตรียมน้ำให้นางอาบ
เมื่ออวิ๋นจื่อมองดูควันลอยขึ้นจากอ่าง หัวใจของนางก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย อาจเพราะกลีบดอกไม้ที่ใช้วันนี้ก็เป็ได้ นี่คือกลีบดอกโบตั๋นสินะ?
ดอกโบตั๋นให้ความรู้สึกหรูหราฟุ่มเฟือยโดยเฉพาะโบตั๋นสีม่วง พวกมันมีความงดงามที่ไม่ว่าใครก็ปฏิเสธไม่ได้ ขณะที่อารมณ์ของนางกำลังแปรปรวน กลีบดอกโบตั๋นก็ทำให้จิตใจของนางผ่อนคลายลงเล็กน้อย
อวิ๋นจื่อยื่นมือไปคว้าเอากลีบดอกโบตั๋นเล็กๆ ขึ้นมาหนึ่งกำมือ จากนั้นก็สูดดมมันอย่างแ่เบา
กลิ่นหอมอันหรูหราค่อยๆ ทำให้หัวใจที่กระสับกระส่ายของนางสงบลง
แต่แล้วเงาสีดำก็ปรากฏขึ้นตรงขอบหน้าต่าง!
------------------------
[1] คว่ำไหน้ำส้มหรือไหน้ำส้มแตก เป็ศัพท์แสลงหมายถึง หึงหวง
[2] เพลงหงส์หาคู่หรือเฟิ่งฉิวหวง คนโบราณมักจะใช้ “หงส์ฟ้าโบยบิน” และ “หงส์ฟ้าร้องประสานเสียง” เพื่ออธิบายถึงความรักใคร่กลมเกลียวของสามีภรรยา นอกจากนี้ เพลงนี้ยังหมายถึงการเกี้ยวพาราสีอันเร่าร้อน อีกทั้งเป็สัญลักษณ์ของจิตใจอันสูงส่งของวีรบุรุษและวีรสตรี
[3] สถานที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เป็อุปมาอุปไมยที่หมายถึงการพยายามปกปิดความจริงบางอย่าง แต่ความจริงนั้นกลับถูกเผยออกมา