เรือนร่างที่ัักันอย่างแนบชิดท่วงท่าที่เร่าร้อน การเคลื่อนไหวที่น่ามองของหนุ่มสาวตรงหน้าทำให้ผู้ชมรอบกายอดเพลิดเพลินไปกับมันไม่ได้
หลายคนเคยได้ยินข่าวเื่ที่ตระกูลลั่วกับตระกูลฉิน้าเกี่ยวดองกันมาบ้างวันนี้ทายาทของทั้งสองตระกูลออกงานพร้อมกัน แถมยังเต้นรำกันอย่างสนิทสนมทุกการกระทำของพวกเขาสามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นมีมูลความจริง
“ดูไปดูมาคู่นี้ก็เหมาะสมกันดีเนอะ!”
“นั่นสิเื่แต่งงานเป็สิ่งที่ทั้งสองตระกูล้า ถ้าพวกเขาดองกันก็มีแต่ได้กับได้ไม่แน่อาจจะได้แต่งงานกันจริงๆ นะเนี่ย”
คนในงานวิพากษ์วิจารณ์กันละเอียดยิบแถมวิเคราะห์เป็ข้อๆจางเหมยได้ยินดังนั้นก็อดยิ้มไม่ได้
“ฉันนึกว่าคุณลั่วจะรักเดียวใจเดียวแค่กับคุณซะอีกที่ไหนได้เธอมีตัวสำรองอยู่แล้ว”
ซูอี้เฉิงไม่ตอบเขายืนมองคนที่กำลังเต้นรำอย่างเร่าร้อนด้วยสายตาเ็า
ที่จริงในฟลอร์ก็มีหลายคู่ที่เต้นได้อย่างยอดเยี่ยมแต่คู่ของฉินเว่ยและลั่วเสี่ยวซีนั้นดูจะเต้นได้อย่างร้อนแรงมากที่สุด
ท่วงท่าที่สนิทสนมเ่าั้พวกเขาเต้นมันออกได้อย่างเซ็กซี่และเป็ธรรมชาติการสบตาแค่เพียงชั่วครู่ของพวกเขาราวกับมีประกายไฟออกมา ทั้งสองคนเต้นเข้าขากันได้ดีเหลือเกินจนคู่อื่นที่เต้นอยู่ข้างๆ ค่อยๆ หลีกทางให้ จนกระทั่งเดินออกจากฟลอร์ไป
สุดท้ายทั้งฟลอร์เต้นรำจึงเหลือแค่คู่ของฉินเว่ยกับลั่วเสี่ยวซีนั่นยิ่งทำให้พวกเขาเต้นอย่างร้อนแรงกว่าเดิมบรรดาแขกหนุ่มสาวในงานต่างพากันส่งเสียงเชียร์
เวลาลั่วเสี่ยวซีเต้นรำเธอมักจะอินไปกับมันเต็มที่จนลืมหมดทุกสิ่งอย่างยิ่งมีคนส่งเสียงเชียร์แบบนี้ด้วยแล้ว ท่าเต้นของเธอก็ยิ่งเซ็กซี่ยิ่งเย้ายวนยามเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของฉินเว่ย เธอแย้มยิ้มบางน้อยๆ ดูน่าหลงใหลจนชายหนุ่มบางคนถึงกับส่งเสียงบอกให้เธอทิ้งฉินเว่ย แล้วมาแต่งงานกับเขาซะ
ซูอี้เฉิงหันหลังเดินออกไปทันทีจางเหมยรีบวิ่งตามเขาอย่างใ
“คุณคงไม่ได้ออกมาเพราะคุณลั่วใช่ไหม”
เขาปรายตามองจางเหมยด้วยสายตาน่ากลัวจางเหมยรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบจากตัวเขาและรู้ทันทีว่าตัวเองคงพูดอะไรผิดไปเสียแล้ว
ถึงวันนี้ซูอี้เฉิงจะชวนเธอมาแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขายังคงเป็แค่เ้านายกับลูกน้อง
ความคิดของเ้านายอย่างซูอี้เฉิงเธอจะไปคาดเดาได้อย่างไรแต่ที่ปฏิกิริยาเขาเป็แบบนี้ หรือเพราะว่าเธอพูดแทงใจดำเขากันแน่นะ?
เมื่อคิดดูดีๆ ก็คงไม่มีทางถ้าซูอี้เฉิงแคร์ลั่วเสี่ยวซีจริง เขาก็คงไม่ส่งข้อความหาเธอกลางคันแบบนั้นหรอก
คิดได้ดังนั้นเธอจึงเดินตามเขาไปเงียบๆ แต่จู่ๆ เขาก็หยุดเดินและพูดว่า
“ผมจะไปสูบบุหรี่”
จางเหมยเข้าใจความหมายแฝงในคำพูดของเขาทันทีเธอจึงตอบรับ ก่อนจะยืนมองแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไป
พื้นที่สูบบุหรี่ที่ชั้นหนึ่งคนคงเยอะมากซูอี้เฉิงจึงขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นบน
ด้านล่างหลังจากที่ฉินเว่ยและลั่วเสี่ยวซีเต้นจนจบเพลงแล้วเสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างกึกก้อง หลายคนพยายามเข้ามาพูดคุยกับลั่วเสี่ยวซีแต่เธอก็แค่ยิ้มตอบกลับไปพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ ซูอี้เฉิงกับจางเหมยไม่อยู่แล้ว
แม้ในใจเธอจะผิดหวังแค่ไหนแต่เธอก็ยังคงฝืนยิ้มอย่างสดใส
“เมื่อกี้ฉันได้ยินคนชมว่าพวกเราเหมาะสมกันม๊ากมาก”ฉินเว่ยยิ้มอย่างซุกซนราวกับเด็กๆ “เสี่ยวซี เธอไม่ต้องคิดแล้วตกลงแต่งงานกับฉันตอนนี้เลยดีไหม”
ลั่วเสี่ยวซีเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
“จะให้ฉันตกลงแต่งงานกับนายทั้งๆ ที่นายยังไม่เคยขอฉันแต่งงานสักครั้งเลยเนี่ยนะ”
ฉินเว่ยทำท่าเหมือนจะคุกเข่าลงตรงนั้นลั่วเสี่ยวซีอาศัยตอนที่ไม่มีใครมองอยู่เตะเข่าเขาไปหนึ่งทีนอกจากจะคุกเข่าไม่สำเร็จแล้ว เขายังเจ็บหัวเข่าจนหน้ามุ่ย
“ให้ตาย โหดชะมัด!”ฉินเว่ยสบถพลางทำหน้าข่มขู่ลั่วเสี่ยวซี “ไม่กลัวฉันเอาคืนเธอบ้างหรือไง”
ลั่วเสี่ยวซียืนกอดอกก่อนจะตอบ
“แน่จริงก็ลองสิ”
พูดจบเธอก็เดินออกไปฉินเว่ยกุมหัวเข่าที่น่าสงสารของเขาก่อนจะมองตามลั่วเสี่ยวซีไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ลู่เป๋าเหยียนยืนมองทุกการกระทำของลั่วเสี่ยวซีั้แ่ต้นจนจบก่อนจะแย้มยิ้มหายากออกมา
“ลั่วเสี่ยวซีเหมาะกับวงการบันเทิงมากจริงๆ”
“เพราะเธอรู้จักเก็บความรู้สึก? หลังจากโดนพี่ฉันปฏิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนเธอจึงได้ความสามารถนี้มาน่ะสิ” ูเี่อันกล่าว
ระหว่างกำลังพูดเธอก็เผลอยกมือซ้ายขึ้นมานวดบริเวณแขนขวาที่เธอปวดเมื่อกี้ตอนเต้นรำลู่เป๋าเหยียนก็สังเกตเห็นแล้วคงเพราะเธอเต้นอย่างสุดกำลังจึงเผลอไปโดนบริเวณที่าเ็อยู่หลายครั้ง
ลู่เป๋าเหยียนเห็นดังนั้นจึงถามขึ้นว่า
“เจ็บเหรอ”
เธอฝืนยิ้มพลางตอบ“ไม่เป็ไร พักนิดหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
แต่เธอยิ่งนวดก็ยิ่งปวดเลยเอ่ยปากถามลู่เป๋าเหยียน
“ที่โรงแรมมีถุงประคบเย็นบ้างหรือเปล่า”
ลู่เป๋าเหยียนไม่สนใจว่าที่นี่จะมีหรือไม่มีเขาออกคำสั่งให้ผู้จัดการไปจัดเตรียมทันที
ไม่ถึงห้านาทีบริกรก็เดินเอาถุงประคบเย็นมาให้ ูเี่อันขอบคุณเขาก่อนจะยื่นมือออกไปรับแต่ลู่เป๋าเหยียนกลับแย่งคว้ามันไป
“ยื่นมือมา” เขากล่าว
ูเี่อันยื่นมือออกไปอย่างว่าง่ายเพราะรู้ว่าลู่เป๋าเหยียนคงจะช่วยประคบให้ ความเย็นที่ได้รับช่วยระงับความปวดให้ทุเลาลงทีละนิด
เธอเงยหน้ามองลู่เป๋าเหยียนเขาหลุบตามองต่ำและกำลังประคบน้ำแข็งให้เธออย่างตั้งใจ
ความรู้สึกเป็สุขแผ่เข้ามาปกคลุมไปทั่วหัวใจของเธอ
โดยที่ทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยว่าไม่เพียงแต่นักข่าวจะถ่ายภาพตรงหน้าเอาไว้ได้ แต่หานรั่วซีก็มองอยู่เช่นกัน
นอกจากความเจ็บแค้นใจหานรั่วซีรู้สึกแปลกใจเสียมากกว่า
ลู่เป๋าเหยียนคนที่เธอรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้เขาเป็คนเ็าไร้หัวใจและเด็ดขาด แค่เพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถเรียกลมเรียกฝนได้เป็คนที่ควบคุมทิศทางของตลาดหุ้นทั่วทั้งเมือง เขาดูแลแต่เื่สำคัญไม่ก็เื่ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจเท่านั้น เื่เล็กน้อยพวกนี้...เขาสนใจทำมันั้แ่เมื่อไรกัน?
แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นฟ้องชัดลู่เป๋าเหยียนกำลังช่วยประคบน้ำแข็งใหู้เี่อันอยู่จริงๆ เขาค่อยๆ ประคองมือของเธอไว้อย่างทะนุถนอมราวกับไข่มุกล้ำค่าสายตาและสีหน้าของเขาในทุกการกระทำ...ช่างดูอ่อนโยน
เขาเคยบอกกับเธอว่าอีกสองปีจะหย่ากับูเี่อัน แล้วทำไมตอนนี้ถึงเป็แบบนี้? เขากับูเี่อันคงไม่ได้กำลังแสดงละครอยู่ใช่ไหม? หรือว่าพวกเขารู้สึกแบบนั้นไปแล้วจริงๆ?
หลังประคบน้ำแข็งอยู่หลายนาทีความเ็ปก็ค่อยๆ หายไป ูเี่อันยิ้มก่อนเอ่ย
“โอเคแล้วล่ะ”
ยังไม่ทันที่ลู่เป๋าเหยียนจะยกถุงน้ำแข็งออกเสียงแซวจากเสิ่นเยว่ชวนก็ดังขึ้นก่อน
“แหมๆๆสวีทกันเหลือเกิน รู้หรือเปล่าว่าพวกนักข่าวกำลังถ่ายรูปพวกนายอยู่”
ูเี่อันมองไปรอบๆก็เห็นนักข่าวกำลังเก็บกล้องลงไปพอดี หน้าเธอแดงระเรื่อก่อนจะหลบไปอยู่ข้างกายลู่เป๋าเหยียน เมื่อนักข่าวคนนั้นเห็นท่าทางขวยเขินของเธอจึงยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป
เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่ามู่ซือเจวี๋ยก็เดินมาพร้อมกับเสิ่นเยว่ชวนด้วย
ยิ่งมองเธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามู่ซือเจวี๋ยเป็คนลึกลับ
เขาสวมชุดสูทสีดำสนิทโครงหน้าคมเข้มและบรรยากาศรอบกายอันน่าเกรงขาม แค่เขายืนนิ่งๆ ก็สามารถทำให้ทุกคนเกรงกลัวได้ด้านหลังของเขาราวกับมีมิติดำมืดที่พร้อมจะดูดกลืนทุกคนให้หายไปในชั่วพริบตา
มู่ซือเจวี๋ยก็คือาาแห่งโลกมืดเขาคือผู้ความมืดเ่าั้ ต่อให้อยู่ภายใต้แสงสว่างก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ูเี่อันรู้สึกกลัวเขานิดๆอย่างไม่มีสาเหตุ เธอเขยิบเข้าใกล้ลู่เป๋าเหยียนเล็กน้อยมู่ซือเจวี๋ยเห็นสายตาของเธอแล้วจึงยิ้มออกมา
“มีเื่อะไรจะถามผมหรือเปล่า”
เวลาเขายิ้มยิ่งดูลึกลับคาดเดายากเข้าไปใหญู่เี่อันสูดหายใจลึกก่อนจะตอบกลับไป
“ค่ะโยว่หนิงเป็ยังไงบ้างคะ”
มู่ซือเจวี๋ยคิดไว้แล้วว่าูเี่อันจะต้องถามเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เด็กนั่นไม่เพียงแต่ขยันและมีความรับผิดชอบสูงมาก ช่วยผมจัดการเื่ด่วนไปได้หลายครั้งเธอเป็เด็กฉลาด เสียแต่ไม่ค่อยทะเยอทะยานไม่งั้นคงสามารถทำงานที่ท้าทายมากกว่านี้”
“ไม่ทะเยอทะยาน แต่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็ดีแล้วนี่คะ”ูเี่อันยิ้ม “คงต้องรบกวนคุณให้ช่วยดูแลเธอหน่อย”
“วางใจเถอะครับ”มู่ซือเจวี๋ยปรายตามองลู่เป๋าเหยียน “ถึงผมจะไม่เห็นแก่คุณก็ต้องเห็นแก่ผอ.ลู่บ้าง สวีโยว่หนิงทำงานที่ร้านของผม เธอไม่เป็ไรแน่”
“ขอบคุณค่ะ”ูเี่อันพูดอย่างจริงใจ
“เอาล่ะพวกเราควรหายหัวไปได้แล้ว” เสิ่นเยว่ชวนคุยธุระกับลู่เป๋าเหยียนเสร็จแล้วจึงเอ่ย
“ถ้าปล่อยให้พวกนักข่าวถ่ายรูปกขค แบบพวกเราติดไปด้วยคงจะไม่ดี”
หลังพวกเขาแยกตัวออกไปูเี่อันก็อดยิ้มไม่ได้
“ผู้ช่วยของนายมีอารมณ์ขันกว่าผู้ช่วยของพี่เยอะเลยพวกนายคงไม่ได้เป็แค่เ้านายลูกน้องกันใช่ไหม บางครั้งฉันก็ได้ยินเขาเรียกแค่ชื่อนายรู้จักกันมานานหรือยัง”
“สิบกว่าปีแล้ว”ลู่เป๋าเหยียนตอบ “รู้จักกันตอนเรียนอยู่ที่อเมริกา”
“มิน่าล่ะ”ูเี่อันพูดอย่างประหลาดใจ
เวลานี้แขกในงานเริ่มหาความบันเทิงที่ตัวเองชอบบ้างก็เต้นรำ บ้างก็ชิมอาหารเลิศรส หรือไม่ก็พูดคุยกันูเี่อันคล้องแขนลู่เป๋าเหยียนเดินอย่างช้าๆตอนนี้ไม่มีใครเข้ามารบกวนพวกเธออีกแล้ว เธอจึงถามเื่ตอนที่เขาอยู่อเมริกาต่อเช่น ตอนไปอเมริกาแรกๆ มีเื่อะไรที่รู้สึกไม่ชินบ้าง เขาตอบว่า
“เื่กิน”
“ฉันก็เหมือนกัน”ูเี่อันพูดอย่างดีใจ“ตอนหลังฉันกับลั่วเสี่ยวซีไปเช่าอพาร์ทเมนต์อยู่ด้วยกันที่ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยพวกเราซื้ออุปกรณ์มาทำอาหารกินเองทุกวัน ดีนะที่ทำแบบนั้นไม่งั้นกว่าจะเรียนจบฉันคงได้อ้วนเป็หมูแน่ๆ”
“ฝีมือการทำอาหารของเธอได้มาจากตอนนั้น?”
“อือฮึ”ูเี่อันตอบอย่างภูมิใจ “ตอนนั้นเสี่ยวซีรับผิดชอบเื่ค่าเช่า ค่าน้ำค่าไฟส่วนฉันรับผิดชอบเื่อาหารการกิน พวกเราอยู่ด้วยกันนานขนาดนั้นแต่ไม่เคยทะเลาะกันสักครั้ง จนเกย์ห้องตรงข้ามสงสัยว่าพวกเราเป็เลส...”
ลู่เป๋าเหยียนยิ้มบาง“แล้วไงต่อ”
“ก็ไม่มีอะไร”ูเี่อันอธิบาย “ที่นั่นถือเป็เื่ปกติเพราะรู้ว่าที่เมืองจีนคนยังไม่ยอมรับเื่นี้พวกเขาเลยช่วยปลอบใจพวกฉันบอกว่าอย่ากดดันไป ไว้เรียนจบก็ใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาต่อก็ได้ฉันกับเสี่ยวซีทำหน้าไม่ถูก พวกเขาเลยจูบกันโชว์ต่อหน้าพวกฉันพร้อมกับให้กำลังใจ...”
พูดไปพูดมากลายเป็เธอที่เล่าเื่ชีวิตของตัวเองตอนอยู่อเมริกาไปซะได้
ตอนนั้นบริษัทของซูอี้เฉิงเริ่มเข้าที่เข้าทางพร้อมจะซัปพอร์ตค่าเรียนและค่าใช้จ่ายของเธอแล้ว แต่เพราะเธอไม่อยากรบกวนพี่ชายเธอจึงอาศัยฝีมือการทำอาหารของตัวเองนี่แหละเป็เครื่องมือการใช้ชีวิต
ค่าแรงที่อเมริกานั้นแพงมากตอนที่เธอย้ายจากหอพักของมหาวิทยาลัยมาอยู่อพาร์ทเมนต์ข้างนอก เพื่อประหยัดเงินเธอเลยต้องทาสีผนัง เปลี่ยนหลอดไฟ ประกอบเฟอร์นิเจอร์เองทั้งหมดมีบางครั้งที่เธอรู้สึกท้อแท้จนนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นท่ามกลางเศษไม้และสีทาบ้านแต่ในที่สุดเธอก็ผ่านมันมาได้และหลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยเพิ่มภาระให้ซูอี้เฉิงอีกเลย
ตอนนี้เธอสามารถพูดถึงวันเวลาอันยากลำบากของเธอได้อย่างภาคภูมิใจ
ลู่เป๋าเหยียนรู้มาบ้างว่าเธอผ่าน่เวลานั้นมาอย่างไรแต่เมื่อได้ยินเ้าตัวเล่าเองแบบนี้ความรู้สึกช่างแตกต่างจากการได้ยินผ่านการเล่าของคนอื่นว่าแล้วเขาจึงโอบเอวบางของคนข้างกายให้เข้ามาใกล้
“เจี่ยนอันต่อจากนี้เธอมีฉันแล้ว”
