“คอ!” หลินเฟิงจ้องเขม็งไปที่ร่างของหมาป่านรก จากนั้นก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
แม้ว่านี่จะเป็แค่ก้าวสั้นๆ แต่กลับทำให้หัวใจของจิ้งหยุนและคนอื่นๆ เด้งขึ้นมาที่คอ หลินเฟิง เ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? นี่มันหมาป่านรก สัตว์อสูรปีศาจระดับ 9 ที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายที่สุดเชียวนะ กระทั่งผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 ยังวิ่งหนีทันทีที่เห็นมัน!
ไม่ปล่อยให้พวกเขาได้สงสัย หลินเฟิงใช้การกระทำของตัวเองเป็ฝ่ายบอกพวกเขาว่ากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขาเห็นหลินเฟิงพุ่งไปทางหมาป่านรกอย่างรวดเร็วโดยปราศจากอาวุธ?!
ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเห็นฉากนี้ แววตาของพวกจิ้งหยุนถึงกับเบิกกว้างและยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ในใจของพวกเขาพลันสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“โบร๋ว!!!” เมื่อหมาป่านรกเห็นหลินเฟิงพุ่งเข้ามาหาตน ดวงตาบนใบหน้าที่เหี้ยมโหดก็ฉายแววเ็าขึ้นมา เพียงแค่สายตาก็ทำให้รู้สึกหนาวสั่นไปจนถึงขั้วกระดูก ราวกับว่าตัวตนของมันมาจากขุมนรกชั้นที่เก้า
เสียงโหยหวนดังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อกรงเล็บของหมาป่านรกที่จิกอยู่ด้านหลังของจิ่งเฟิงถูกกระชากออกมา ร่างของมันกลายเป็ลำแสงสีดำด้วยความเร็ว ทั้งยังยกกรงเล็บขึ้นมาขวางไว้ที่คอ ทำให้กลายเป็แสงสีขาวดำจนแยกไม่ออก
“หลินเฟิงกลับมา!” จิ้งหยุนะโเสียงแหลม แต่มันก็สายเกินไปแล้ว หลินเฟิงเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงสุดจนร่างกลายเป็ลำแสง
ชิงอีและหานหมานพลันอ้าปากค้าง หัวใจของพวกเขาราวกับจะหยุดเต้น เวลานี้พวกเขามีเพียงแค่ความคิดเดียวนั่นก็คือ จบเห่แน่ๆ!
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาดผ่านด้านหน้าไปอย่างรวดเร็ว แสงนั่นเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหายไปในพริบตา
ราวกับว่าอากาศได้หยุดชะงักลง หลินเฟิงหยุดเคลื่อนไหว กระทั่งหมาป่านรกก็หยุดอยู่กับที่ ทุกอย่างล้วนตกอยู่ในความเงียบ
ความเงียบ ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว!
จิ้งหยุนยกสองมือขึ้นมาปิดปาก ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยหวาดกลัว หลินเฟิงตายแล้วเหรอ?
“ติ๋ง” เสียงแหลมเล็กแ่เบาทว่าดังกังวานท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนที่ร่างของหมาป่านรกจะล้มลงกับพื้น ที่ลำคอของมันมีรอยขีดเล็กๆ เท่าเส้นด้าย ไม่นานเืก็ไหลออกมาจากรอยขีดนั่น และค่อยๆ กลายเป็แอ่งเื
“หมาป่านรกตายแล้ว!” หานหมานและชิงอียังคงอ้าปากค้าง พวกเขามองฉากตรงหน้าด้วยสายตาตกตะลึง หรือว่าแสงสว่างแวบๆ เมื่อครู่คือ…
“หลินเฟิง เ้าเป็อย่างไรบ้าง” จิ้งหยุนเห็นหลินเฟิงยืนอยู่กับที่โดยไม่ขยับตัว จึงส่งเสียงถามออกไป
สิ้นเสียงของจิ้งหยุน ชิงอีและหานหมานก็พากันหันไปมองหลินเฟิงด้วยสายตาเป็กังวล เหตุการณ์ในวันนี้เป็เื่ที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตของพวกเขาเลยก็ว่าได้
ในที่สุดร่างกายของหลินเฟิงก็ขยับ เขาหมุนตัวกลับมาช้าๆ ดวงตากระจ่างเผยรอยยิ้มสดใสออกมา
“ข้าไม่เป็ไร” หลินเฟิงแบมือทั้งสองข้างออก เขาจำดาบที่ฟันออกไปเมื่อครู่ได้
เคล็ดวิชาชักดาบจะทำให้ตัวดาบเร็วดั่งสายฟ้าและะเิพลังที่แข็งแกร่งออกมา แน่นอนว่าหลักสำคัญของเคล็ดวิชาชักดาบนั่นก็คือ ความเร็วของผู้ใช้ต้องเร็วกว่าศัตรู
“เฮ้อ!” พวกจิ้งหยุนพากันถอนหายใจออกมา จิตใจที่ตึงเครียดได้ผ่อนคลายลง ความรู้สึกเหมือนถูกคนช่วยดึงขึ้นมาจากหน้าผา
พวกเขาทั้งสามคนไม่มีใครพูดอะไรออกมา และมองหลินเฟิงประหนึ่งมองสัตว์ประหลาด
“ทำไมถึงมองข้าเช่นนั้นล่ะ” หลินเฟิงเกาหัวของตัวเองอย่างเก้อเขิน สายตาของทั้งสามคนราวกับกำลังจะเปลื้องผ้าตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
“สัตว์ประหลาด!” หานหมานกล่าวคำนี้ออกมา ทำให้หลินเฟิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ในขณะที่จิ้งหยุนและชิงอีต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“หลินเฟิง เ้าคือนักดาบเหรอ” แน่นอนชิงอีรู้ว่าแสงสว่างเมื่อครู่นี้ก็คือแสงของดาบ มีเพียงดาบเท่านั้นที่จะสามารถรวดเร็วเช่นนี้ได้
“เ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าแค่ฝึกฝนเคล็ดวิชาดาบเท่านั้น” หลินเฟิงส่ายหัว
‘นักดาบ’ มีเพียงแค่ผู้ฝึกยุทธ์ที่มีจิติญญาแห่งดาบเท่านั้น ถึงจะเป็นักดาบผู้แข็งแกร่งและสามารถเรียกตัวเองว่านักดาบได้
“เข้าใจผิด? หรือว่าจิติญญาแห่งนักรบของเ้าไม่ใช่ดาบ?” ชิงอีถามอย่างสงสัย
“อือ ข้าไม่ใช่ผู้ที่จิติญญาแห่งดาบ” หลินเฟิงพยักหน้า ทำให้ชิงอีถึงกับอ้าปากค้าง ไม่ได้จิติญญาแห่งดาบแต่กลับใช้ดาบได้อย่างชำนิชำนาญ หรือจะพูดว่าความเข้าใจในเคล็ดวิชาของหลินเฟิงนั้นน่ากลัวมาก กระทั่งคลื่น์เก้ากระแทก เขาก็สามารถฝึกฝนจนบรรลุไปถึงขั้นสูงสุดของคลื่น์เก้ากระแทกแล้ว
“ข้าสงสัยว่าไม่ว่าจะเป็เคล็ดวิชาอะไร เ้าก็สามารถฝึกฝนมันได้จนถึงระดับสูงสุดใช่ไหม” ชิงอียิ้มอย่างขมขื่นขณะที่ส่ายหน้า เขาไม่ได้ถามถึงจิติญญาของหลินเฟิงว่ามันคืออะไร เนื่องจากจิติญญาของบางคนมีความสามารถพิเศษบางอย่าง ซึ่งพวกเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าจิติญญาแห่งนักรบของตนคืออะไร ส่วนหลินเฟิงจนตอนนี้ก็ยังไม่ยอมใช้จิติญญาแห่งนักรบของตัวเองเลย ดังนั้นชิงอีจึงเดาว่าจิติญญาของหลินเฟิงจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ
หลินเฟิงเพียงแค่ยิ้มออกมา ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาใดๆ ก็ได้ และความสามารถในการเข้าใจก็แข็งแกร่งมากด้วย
“แกนอสูรของสัตว์อสูรปีศาจระดับ 9 หมาป่านรก ครั้งนี้ถือว่าได้รับโชคครั้งใหญ่แล้ว” หานหมานยิ้มอย่างตื่นเต้น เขานำกริชออกมาและเริ่มชำแหละซากตรงหน้าเพื่อเอาแกนอสูร ในขณะเดียวกันก็พูดว่า “หลินเฟิง เ้าสังหารหมาป่านรกนี้ด้วยตัวคนเดียว ถ้าหากไม่มีเ้าไม่แน่ว่าพวกข้าคงไม่ได้กลับออกไปแน่ๆ แกนอสูรตัวนี้ถือว่าเป็ของเ้าเพียงคนเดียว”
“จิ้งหยุน ชิงอี พวกเ้าคัดค้านหรือไม่?”
จิ้งหยุนและชิงอีพากันส่ายหน้า ถ้าไม่ได้หลินเฟิง ป่านนี้พวกเขาคงจะกลายเป็ปุ๋ยอยู่ในหุบเขาเฮยเฟิงไปแล้ว
“แต่ข้าไม่เห็นด้วย ของทุกอย่างที่ได้มา พวกเราทั้งสี่คนควรแบ่งกันอย่างเท่าเทียม” หลินเฟิงส่ายหน้าคัดค้าน ในตอนที่ทั้งสามคนยังคิดว่าการบ่มเพาะของเขานั้นอ่อนแอ จึงให้เขาเดินอยู่ด้านหลังตลอดเพื่อความปลอดภัย และยังคิดที่จะแบ่งของที่ได้มาให้กับเขาอีกด้วย ถึงแม้ว่าการสังหารหมาป่านรกนี่จะเป็ผลงานของเขาทั้งหมด แต่หลินเฟิงไม่ใช่พวกที่เห็นแก่ได้จนลืมความถูกต้องไปหมด
พวกหานหมานเห็นสายตาที่หนักแน่นของหลินเฟิง จึงพยักหน้าและกล่าวว่า “ตกลง”
“ดูเหมือนว่าพวกเ้าจะลืมข้าไปนะ” ตอนนี้เองก็มีเสียงแหบแห้งดังขึ้นมา แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจิ่งเฟิง
จิ่งเฟิงถูกหมาป่านรกโจมตีจากทางด้านหลัง และยังถูกเหยียบด้วยพละกำลังที่มหาศาล ดังนั้นกระดูกหลังของเขาจึงหักหลายท่อนมาก ตอนนี้ลุกขึ้นมาไม่ไหวจึงทำได้เพียงแหงนหน้ามองหลินเฟิงและคนอื่นๆ
“ลืมมารดาเ้าสิ!” ด้วยนิสัยตรงไปตรงมาของหานหมาน ทำให้เขาก่นด่าออกมาอย่างไม่ไว้หน้า ใน่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไอ้สารเลวนี่กลับไม่แยแสต่อความเป็ความตายของพวกเขา และยังคิดที่จะให้พวกเขารับมือกับหมาป่านรกเพื่อฉวยโอกาสหนีไป นอกจากนี้มันยังดึงหมาป่านรกมาทางพวกเขา จนเกือบทำให้พวกเขาต้องตกตายไปทั้งหมด
“พวกเราไปกันเถอะ ปล่อยให้ชีวิตของมันเป็ไปตามยถากรรม” จิ้งหยุนกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห
ขณะที่ทั้งสี่คนเตรียมที่จะจากไป กลับได้ยินจิ่งเฟิงพูดข่มขู่ขึ้นมาว่า “พวกเ้าอย่าลืมสิว่า พี่ใหญ่ของข้ารู้ว่าข้ากับพวกเ้ามาที่หุบเขาเฮยเฟิงด้วยกัน ถ้าหากข้าตายไปโดยที่พวกเ้าได้กลับออกไปอย่างมีชีวิต เ้าบอกสิว่าพี่ใหญ่ของข้าจะคิดอย่างไร?”
หานหมานและคนอื่นๆ พากันชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับมามองจิ่งเฟิงอย่างโกรธเคือง
“พวกเ้าพาข้ากลับไปด้วยจะดีกว่านะ และแบ่งแกนอสูรให้ข้าครึ่งหนึ่ง มิเช่นนั้นแล้วพวกเ้าต้องตาย” จิ่งเฟิงกล่าวอย่างโหดร้าย
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินเฟิงถามอย่างสงสัย ทำไมคนที่ใกล้ตายอย่างมันถึงได้กล้าพูดจาข่มขู่เช่นนี้ออกมา?
“พี่ของมันคือ จิ่งฮ่าว ใน 10 อันดับแรกของศิษย์สายนอกที่แข็งแกร่ง เขาอยู่ในลำดับที่ 6 และยังเป็ผู้บ่มเพาะขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 อีกทั้งยังจิติญญาแห่งดาบ เป็คนที่แข็งแกร่งมากๆ” ชิงอีอธิบายให้หลินเฟิงเข้าใจ
หลินเฟิงก้าวเท้าไปยืนอยู่ด้านหน้าของจิ่งเฟิงด้วยสายตาเ็า
“ยังไม่ช่วยพยุงข้าอีก!” จิ่งเฟิงออกคำสั่งอย่างถือดี
หลินเฟิงมองจิ่งเฟิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ข้าล่ะนับถือในความกล้าของเ้าจริงๆ”
จบประโยคนี้ หลินเฟิงก็ชักดาบออกมาจากฝัก ประกายแสงของใบดาบทำให้คนที่มองรู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งหัวใจ
“เ้าจะทำอะไร?” ร่างของจิ่งเฟิงตึงเครียดและรู้สึกเย็นะเืไปทั่วร่าง
“หลินเฟิง” ชิงอีะโเตือนออกมา จิ่งฮ่าวเป็อันดับที่ 6 ของศิษย์สายนอก ความแข็งแกร่งของเขาล้วนเป็ที่รู้จักกันดี ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ระดับการบ่มเพาะกลับต่ำกว่าอีกฝ่าย ชิงอีคิดว่าหลินเฟิงคงไม่สามารถรับมือกับจิ่งฮ่าวได้แน่
หลินเฟิงมองไปทางชิงอีและคนที่เหลือ พลางถามขึ้นมาว่า “พวกเ้าคิดจริงๆ เหรอว่าคนอย่างมัน จะยอมปล่อยพวกเราไปหลังจากที่ช่วยมันแล้ว? ”
สายตาของพวกชิงอีชะงักค้าง ด้านหลังของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลซึมออกมาไม่หยุด
ด้วยพฤติกรรมที่จิ่งเฟิงแสดงออกมา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะช่วยชีวิตจิ่งเฟิงไว้ แต่จิ่งเฟิงคงไม่ยอมปล่อยพวกเขาไปแน่ๆ
“พวกเราไม่เคยทำผิดต่อมันแต่เป็มันที่คิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ นอกจากนี้ยังวางแผนทำร้ายพวกเรา จนเกือบทำให้พวกเราต้องตายในวันนี้ ทั้งที่เป็แบบนั้น แต่มันไม่เพียงไม่สำนึกเท่านั้น แต่กลับยังถือดีออกคำสั่งให้พวกเราช่วยมันกลับไป ทั้งยังหน้าด้านมาขอส่วนแบ่งจากพวกเราอีก คนแบบนี้พวกเ้ายังจะกล้าพากลับไปอีกเหรอ?”
หลินเฟิงอธิบายอย่างอดทน ถึงแม้ว่าคนบนโลกนี้จะโตก่อนวัย แต่จิ้งหยุนและพวกก็ยังเป็แค่เด็กอายุ 15 - 16 ปีเท่านั้น ไม่เหมือนเขาที่กลับมาเกิดใหม่ ดังนั้นจึงมองสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง
เมื่อทั้งสามคนได้ยินคำพูดของหลินเฟิงต่างก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ความจริงแล้วพวกเขาก็ไม่อยากจะพาจิ่งเฟิงกลับไปหรอก เพียงแค่กลัวว่าจิ่งฮ่าวจะมาแก้แค้นต่างหาก
หลินเฟิงหันกลับมามองจิ่งเฟิง และได้เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของจิ่งเฟิง
“ข้าสาบาน หากพวกเ้าพาข้ากลับไปด้วย ข้าจะไม่แก้แค้นและจะไม่เอาส่วนแบ่งด้วย” จิ่งเฟิงกล่าวออกมาขณะที่คลานถอยหลัง
“มันสายไปแล้ว” ประกายแสงสว่างวาบขึ้นมา
หนึ่งดาบสะบั้นคอ
วาจารับปากที่ได้มา ในตอนที่ชีวิตกำลังถูกคุกคาม ใครจะไปเชื่อกัน?
หลินเฟิงมองจิ่งเฟิงที่ตายตาไม่หลับด้วยท่าทางสงบ เืสีแดงสดยังคงไหลออกมาไม่หยุด หัวใจของเขาเต้นระรัวอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าการสังหารเป็สิ่งที่ต้องพบเจอในเส้นทางที่นำไปสู่ความแข็งแกร่ง โลหิตและซากศพ สิ่งเหล่านี้ล้วนหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ถ้าหากจิ่งฮ่าวมาหาพวกเ้า ก็บอกความจริงกับมันไปว่า ข้า หลินเฟิงเป็ผู้ที่สังหารจิ่งเฟิง” หลินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย ถ้าแค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 9 เ้ายังหวาดกลัว ก็ไม่ต้องไปพูดว่าอยากจะเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ให้ใครฟัง
