ริมหาดเมืองวันสิ้นโลก ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน แม้แต่พ่อค้าที่เดินทางไปมาก็หยุดมอง สถานที่ซึ่งพวกเขามองดู คือทิศทางด้านสมรภูมิรบกระดูกขาว ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา เมืองวันสิ้นโลกไม่เคยมีการต่อสู้ครั้งใหญ่มาก่อน ภายใต้การปกครองของตระกูลจู้ ถึงแม้จะไม่ค่อยสันติมากนัก แต่กลับไม่มีผู้ใดหาญกล้าทำลายความสงบอย่างบ้าคลั่งจริงจัง
แต่วันนี้ ดูเหมือนจะมีความแตกต่างบ้างแล้ว เริ่มแรกเล่ากันว่างานพิธีหมั้นขององค์หญิงเชียนเชียนถูกก่อกวนทำลาย จากนั้นยอดฝีมือทั้งหมดของตระกูลโหยวถูกสังหารในสมรภูมิรบกระดูกขาว และตระกูลจู้กับเหล่าบรรดาศิษย์สำนักนิกายต่างๆ ก็บุกเข้าไปเข่นฆ่าถึงในตระกูลโหยว เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ทำลายทุกอย่างในตระกูลโหยวในสภาพแทบล้างตระกูลเลยทีเดียว ต่อมายอดฝีมือในเมืองวันสิ้นโลกทั้งหมดถูกระดมกำลังเพื่อเตรียมการต่อสู้ และเปิดค่ายกลใหญ่ป้องกันเมืองราวกำลังเผชิญศัตรูตัวฉกาจ เล่าขานกันว่าค่ายกลใหญ่นี้ ตอนที่บรรดาชนเผ่าสมุทรบุกเข้ามาเคยเปิดใช้มาก่อน แต่วันนี้ค่ายกลส่วนที่ติดทะเลกลับเปิดใช้แล้ว เื่นี้ทำให้ประชาชนภายในเมืองรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ไม่สบายใจขึ้นมาแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน ในที่สุดพวกเขาก็เห็นจู้ชิงขวง เ้าเมืองวันสิ้นโลกเดินทางมาปลอบใจประชาชนแล้ว จึงคิดว่าเื่ราวจบลงแล้ว แต่เวลานี้ทั่วทั้งมหานครวันสิ้นโลกทั้งหมดดูเหมือนจะถูกเขย่าจนสั่นะเืขึ้นมาแล้ว ระลอกคลื่นั์ก่อตัวเช่นยอดเขา สูงร่วมร้อยวา กระหน่ำพุ่งเข้าใส่เหนือแนวโล่ค่ายกลป้องกันของเมืองวันสิ้นโลก ดุจเสียงอสนีบาตดังกึกก้อง ดั่งูเาบรรพตถล่มทลาย สภาวะของพลังอันน่ากลัวนั้น คล้ายดั่งจุดจบวันโลกาวินาศกำลังมาเยือน
สีหน้าเหล่าจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์นอกสมรภูมิรบกระดูกขาวก็ตกตะลึงเช่นกัน พลังเหนือธรรมชาติของสมรภูมิรบกระดูกขาวรวมตัวอย่างบ้าคลั่งแล้วกระจายออก กระจายแล้วก็รวมตัวอีก การล่มสลายของเกาะกระดูกขาวแห่งแล้วแห่งเล่าไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาใยิ่งขึ้นก็คือ ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์การต่อสู้ในสมรภูมิแม้แต่น้อย คล้ายกับมีผนึกไร้สภาพตัดขาดสภาวะพลังของสมรภูมิรบกระดูกขาวจากโลกภายนอก ทำให้ไม่สามารถได้เห็นและไม่ได้ยิน มีแต่เพียงพลังเหนือธรรมชาติฟ้าดินเท่านั้นที่สามารถขยายตัวอย่างวุ่นวายโกลาหล และก็หดตัวลง…
ไม่มีผู้ใดทราบว่าข้างในเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จ้านอู๋มิ่งยังมีชีวิตอยู่หรือดับสูญ? โม่ฉางชุนยังมีชีวิตอยู่หรือตาย?
ในเวลานี้มีคำถามมากมายในจิตใจผู้คน ไฉนจ้านอู๋มิ่งถึงมั่นใจนักว่าโม่ฉางชุนจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินวันนี้ ดูแล้ว ทุกคนยังคงประเมินจ้านอู๋มิ่งต่ำไปแล้ว ไม่ว่าจ้านอู๋มิ่งจะเหลือไม้เด็ดอะไรไว้ในสมรภูมิรบกระดูกขาวแห่งนี้ ล้วนเพียงพอที่จะทำให้จักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์แต่ละคนรู้สึกว่าต้องระวังชายหนุ่มผู้นี้มากขึ้นหลายส่วน เนื่องเพราะหากจ้านอู๋มิ่งสามารถสังหารโม่ฉางชุนเสียชีวิต เช่นนั้นก็สามารถฆ่าคนใดคนหนึ่งในบรรดาพวกเขาได้เช่นกัน ดังนั้นสำหรับราชันปีศาจป่วนโลกผู้นี้ ทุกคนเริ่มพากันทบทวนความคิดที่มีต่อเขาในอดีตและความสัมพันธ์ในอนาคตใหม่อีกครั้งแล้ว
สีหน้าเยว่หลิงซานกับบรรพบุรุษผู้เฒ่าเทียนฉานและพวกคลี่คลายลงบ้างแล้ว การเคลื่อนไหวในสมรภูมิรบกระดูกขาวยิ่งมีมากเท่าไหร่ ยิ่งอธิบายชัดขึ้นว่าจ้านอู๋มิ่งยังปลอดภัย แต่พวกเขากลับรู้สึกว่า หลังจากเื่ราวของจ้านอู๋มิ่งในสถานที่นี้สิ้นสุดลง จะต้องกลายเป็หนามตำตาของหลายฝ่ายอย่างแน่นอน เนื่องเพราะคนผู้นี้เปล่งประกายเจิดจรัสเกินไป จะไม่มีผู้ใดสามารถช่วยปกปิดให้ได้ ต่อให้สิบราชันพั่วเหยียน อยู่ต่อหน้าเขาก็ยังต้องก้มศีรษะให้เช่นกัน และสำนักบริบาลเดรัจฉานเองก็ต้องเริ่มทบทวนบทบาทของจ้านอู๋มิ่งแล้ว เด็กคนนี้อาจมีความหมายสำคัญเป็พิเศษต่อความรุ่งโรจน์ของสำนักบริบาลเดรัจฉาน
โม่ฉางชุนดิ้นรนลุกขึ้น เขาคลานออกจากภายในหลุมลึก แหงนมองดูัน้ำแข็งที่ขนดตัวอยู่เหนือท้องฟ้า ในสายตาเ็าไร้ความปรานีคู่นั้น มองเขาเหมือนเช่นมองดูมดปลวกตัวหนึ่งก็มิปาน
“ข้าบอกแล้วว่าวันนี้เ้าต้องตายอย่างแน่นอน!” เสียงของจ้านอู๋มิ่งดังมาจากลำคอของัน้ำแข็ง เฉยชาและทระนง
“ต่อให้เ้าเป็เทพเ้าาแล้วอย่างไรเล่า? คนตระกูลโม่มีอยู่ทุกแห่งหน เ้าไหนเลยจะสามารถจินตนาการถึงได้” โม่ฉางชุนอาเจียนออกมาเป็เืสดๆ อีกครั้ง ยิ้มเศร้าๆ พูดขึ้น
“ข้าทราบว่าในโลกหล้ามีเคล็ดวิชาพิสดารชนิดหนึ่ง สามารถส่งข่าวสารให้คนที่มีความสัมพันธ์ทางสายเืกับตนเองผ่านพลังจิติญญาแห่งชีวิต เหมือนเช่นค่ายกลกลืนกินจิติญญาที่อยู่ในจิติญญาแห่งชีวิตของจู้เชียนเชียน ท่ามกลางความมืดมิดย่อมสามารถกินจิติญญาและมอบส่งต่อให้ผู้อื่นได้ ข้าคิดว่า เมื่อครู่นี้เ้าสมควรยินยอมสูญเสียปราณโลหิตส่งข่าวสารการดำรงอยู่ของข้าออกไปแล้ว” จ้านอู๋มิ่งกลับคืนสู่ร่างเดิมอีกครั้ง ร่อนลงอย่างแ่เบาๆ ตรงเบื้องหน้าโม่ฉางชุน พูดขึ้นอย่างเฉยชา
“เ้าเื่นี้ได้อย่างไร” สีหน้าโม่ฉางชุนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย จ้านอู๋มิ่งผู้นี้น่ากลัวยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการไว้ ดูเหมือนจะทราบทุกอย่างเกี่ยวกับเขาดียิ่งนัก
“นั่นเพราะข้าเคยเห็นคนตระกูลโม่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าเ้า เื่ราวในตระกูลโม่ของพวกเ้า ข้าทราบมาจากเขา” จ้านอู๋มิ่งนึกถึงโม่เทียนจี คนผู้นั้นวางแผนการอย่างรอบคอบรัดกุม ค่อยๆ ดำเนินการทีละขั้นตอน เป็เหมือนมือใหญ่ไร้รูปร่างข้างหนึ่งท่ามกลางความมืดมิด คอยผลักดันเขามุ่งหน้าสู่วิถีทางทางที่กำหนดไว้แล้ว สุดท้ายสอนบทเรียนที่แสนเ็ปที่สุดใน่เวลาที่เขารุ่งเรืองและเจิดจรัสมากที่สุด
“ในเมื่อเ้าทราบว่าข้ามีความสามารถนี้ ไฉนเมื่อครู่เ้าไม่ขัดขวางข้าไว้?” โม่ฉางชุนถามด้วยความประหลาดใจ แต่กลับลอบพึมพำกับตัวเอง มีคนตระกูลโม่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าตนอยู่ในแผ่นดินนี้จริงๆ แต่ไฉนจึงบอกจ้านอู๋มิ่งเกี่ยวกับเื่ราวของตระกูลโม่ แต่หากไม่เป็ไปตามที่อีกฝ่ายกล่าว แล้วจ้านอู๋มิ่งจะสามารถทราบเื่ราวของตระกูลโม่อย่างชัดเจนมากเช่นนี้ได้อย่างไร
“เนื่องเพราะข้าหวังว่าเ้าจะสามารถสื่อสารกับบุคคลนั้นได้ เช่นนั้นข้าจะสามารถใช้ข้อมูลจิติญญาแห่งชีวิตของเ้าเพื่อค้นหาผู้ที่ได้รับข่าวสารจากเ้า เพื่อค้นหาคนตระกูลโม่เพิ่มเติมมากขึ้นจากในนั้น” จ้านอู๋มิ่งยิ้มแล้ว จากนั้นพูดอีกว่า “ข้าทราบว่า บนแผ่นดินนี้ บางทีเ้าอาจไม่ใช่คนตระกูลโม่ที่แข็งแกร่งที่สุด ตลอดจนไม่ใช่คนตระกูลโม่ที่สำคัญที่สุด และบางทีเ้าก็อาจเป็เพียงญาติร่วมบรรพบุรุษที่ไม่เป็ที่โปรดปรานของตระกูลโม่คนหนึ่งเท่านั้น เนื่องเพราะคนที่กลืนกินจิติญญาของจู้เชียนเชียนไม่ใช่เ้า ข้าเลยต้องหาพวกมันให้เจอผ่านเ้า จากนั้นค่อยกำจัดทีละคนให้สิ้นซาก จนกว่าจะหมดสิ้นไปจากแผ่นดินแห่งนี้อีกครั้ง”
“อา นี่เป็ไปไม่ได้” สีหน้าของโม่ฉางชุนตกตะลึง พลันอาเจียนเืออกมาอีกคำหนึ่ง แต่เขาแค่นเสียงคำหนึ่ง สีหน้าซีดขาว
“เมื่อครู่นี้เป็ข่าวสารที่ข้า้าให้เ้าส่ง แต่ว่าเวลานี้ข้าไม่้าให้เ้าส่งมัน ดังนั้นเ้าไม่สามารถส่งออกไปได้อีกแล้ว” จ้านอู๋มิ่งมองโม่ฉางชุนที่สีหน้าซีดขาวอย่างหยอกเย้า ยักๆ ไหล่พูดขึ้น
“ฮ่า ฮ่า…” โม่ฉางชุนหัวเราะอย่างเศร้าๆ ครู่หนึ่ง พลันสีหน้าแปรเปลี่ยน พูดพร้อมด้วยสีหน้าดุร้ายโเี้ว่า “ในเมื่อเป็อย่างนี้ เช่นนั้นพวกเรามาดับสูญด้วยกันเถอะ”
พูดพลาง พลันโม่ฉางชุนปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้คลุ้มคลั่งสุดเปรียบปานสายหนึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที นภากาศโดยรอบวุ่นวายปั่นป่วนอย่างกะทันหัน
“เปรียะ…ฮวา…” อสนีสายฟ้าเช่นอสรพิษั์สายหนึ่งกระหน่ำลงมาจากท้องฟ้า
“พลังจากทัณฑ์สายฟ้า ให้พวกเราแหลกสลายไปพร้อมกันเถอะ!” โม่ฉางชุนทั้งหัวเราะอย่างเศร้าโศก ทั้งะโอย่างบ้าคลั่ง
สีหน้าท่าทางของจ้านอู๋มิ่งเคร่งขรึมขึ้นบ้างแล้ว พลันเขาเข้าใจแผนการของโม่ฉางชุนทันที โม่ฉางชุนบรรลุจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดแล้ว แต่กลับไม่กล้าไปลองทัณฑ์สายฟ้าตลอดมา เนื่องเพราะนั่นมีโอกาสเก้าตายและรอดชีวิตเพียงหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่การสะสมพลังไม่เพียงพอเช่นนี้ แต่ว่าเวลานี้เขาทราบว่าต้องตายอย่างแน่นอน จึงไม่ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และโม่ฉางชุนเข้าใจดีว่าหากทัณฑ์สายฟ้าฟาดลงมา จะต้องนำสิ่งมีชีวิตรอบตัวเขาทั้งหมดเข้าไปอยู่ภายในทัณฑ์สายฟ้าด้วย และพลังสายฟ้าที่สอดคล้องกันก็จะฟาดกระหน่ำลงมายังพลังที่เกี่ยวข้องกัน
โม่ฉางชุนรู้สึกถึงกลิ่นอายเทพเ้าาบนร่างของจ้านอู๋มิ่ง และภายในใต้หล้าแห่งนี้ เป็เวลาหลายแสนปีแล้วที่ไม่เคยมีเทพเ้าาผ่านทัณฑ์สายฟ้าได้อย่างปลอดภัย เพราะพลังแก่นแท้จิติญญาระหว่างฟ้าดินไม่เพียงพอจะสนับสนุนการผ่านภัยพิบัติแห่งทัณฑ์สายฟ้า ดังนั้นวันใดหากมีเทพเ้าาผ่านทัณฑ์สายฟ้าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้ โม่ฉางชุนไม่เลือกะเิตัวเอง แต่เลือกที่จะนำจ้านอู๋มิ่งเข้าไปอยู่ภายในทัณฑ์สายฟ้าด้วยกัน……จิตใจอันโเี้อำมหิตของเขา แม้แต่จ้านอู๋มิ่งก็รู้สึกขนหัวลุกเช่นกัน
“ชีวิตของเ้า...เป็ของข้า ฟ้าก็่ชิงไปไม่ได้เช่นกัน!” ทันใดนั้นจ้านอู๋มิ่งคำรามเสียงต่ำคราหนึ่ง ร่างกายแปรเปลี่ยนเป็ร่างัทันที เปลวเพลิงสีเขียวเป็ชั้นๆ ลุกโชนขึ้นจากเกล็ดทุกชิ้นของร่างกายทะยานขึ้นไป ตลอดทั้งร่างกายกลายเป็สีแดงเข้ม
“เหอะ…” อสนีสายฟ้าสายนั้นฟาดลงมาอย่างรุนแรง แต่กลับไม่ได้ฟาดลงบนร่างของโม่ฉางชุน เนื่องเพราะร่างใหญ่มหึมาของัแดงกลับกลืนกินสายฟ้านั้นเข้าไป จากนั้นผันแปรกลายเป็พลังงานมหาศาล ทำให้เปลวเพลิงสีแดงบนร่างกายยิ่งรุนแรงมากขึ้น
“เป็ไปได้อย่างไร…นี่คือพลังอะไรกัน…” โม่ฉางชุนใจนแทบชีวาวาย พลังทัณฑ์สายฟ้าที่กระหน่ำลงมากลับถูกัแดงกลืนกิน จากนั้นผันแปรกลายเป็พลังงานของัแดงเอง
“พลังแข็งแกร่งที่สุดตามที่เ้าเข้าใจก็คือพลังเขตแดนเท่านั้น แต่สำหรับข้า ผู้มีส่วนร่วมกับกฎเกณฑ์แล้ว พลังงานทั้งมวลระหว่างฟ้าดิน ล้วนมีกฎเกณฑ์ที่ว่ากันตามระเบียบอยู่” ัแดงคำรามเสียงยาวๆ คราหนึ่ง ศีรษะใหญ่โตมโหฬารพุ่งลงมาอย่างหนักหน่วง จากนั้นร่างของโม่ฉางชุนก็ถูกกลืนกินเข้าไปอย่างกะทันหัน
“อ๊ากก…” โม่ฉางชุนส่งเสียงร้องน่าอนาถ เปลวเพลิงร้อนแรงจากภายในปากของัแดงผันแปรเปลี่ยนเขากลายเป็พลังงานบริสุทธิ์โดยตรงก้อนหนึ่ง เหมือนกับหลอมเม็ดโอสถก็มิปาน
“ตูมมม…” สายฟ้าฟาดลงมาอย่างบ้าคลั่งอีกสายหนึ่ง ร่างกายของัแดงก็สลายหายไปอย่างกะทันหัน จ้านอู๋มิ่งทะยานออกไปทางความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว เกาะกระดูกขาวเบื้องล่างแห่งนั้นะเิ "ตูมมม" พังทลายลง
“ฮวาา…” สายฟ้ามากมายยิ่งปรากฏดุจสายฝนก็มิปาน สาดกระหน่ำลงมา
“บัดซบ โม่ฉางชุนตายแล้ว เ้ายังกระหน่ำฟาดลงมาอีก…” จ้านอู๋มิ่งอดที่จะด่าออกมาคำหนึ่งไม่ได้
“นายท่าน เวลานี้ข้าคือร่างจิติญญา ต้านทานพลังทัณฑ์สายฟ้านี้ไม่ได้เช่นกัน หากใช้ร่างกายของมัจฉาเฒ่า ท่านก็ยังคงต้องแบกรับภัยพิบัติทัณฑ์สายฟ้าด้วยตัวท่านเช่นเดิม…” เสียงพูดเบาๆ อย่างอับจนปัญญาของัครามดังมาจากความว่างเปล่า
“อา ไฉนจึงเป็เช่นนี้ เ้ามิใช่ัในอาณาจักรแดนเทพเ้าหรอกหรือ? ทัณฑ์สายฟ้านี้เ้าผ่านมานับครั้งไม่ถ้วนเนิ่นนานแล้ว แล้วไฉนต้องกลัวทัณฑ์สายฟ้าอีก” จ้านอู๋มิ่งตกตะลึงไปแล้วทันที เหตุผลที่เขากลืนกินโม่ฉางชุนอย่างหยิ่งผยองเมื่อครู่นี้ เนื่องเพราะเขาคิดว่าด้วยพลังของัคราม ทัณฑ์สายฟ้าเล็กน้อยนี้จะสามารถทำอะไรเขาได้ กล่าวถึงที่สุดแล้วนี่คือัของอาณาจักรแดนเทพเ้าเชียวนะ เมื่อครู่นี้ละเล่นจนสนุกมากไปหน่อยแล้ว กลับหลงลืมไปแล้วว่าัครามไม่ใช่ร่างัอีกต่อไปแล้ว แต่เป็จิติญญาที่เข้าสิงในร่างของมัจฉาั์ เมื่อครู่นี้เขาเพียงแค่ใช้ร่างจิติญญาแปลงร่างเท่านั้น เป็การผสมผสานพร์การเข้าใจธาตุของจ้านอู๋มิ่งเข้าด้วยกัน จึงสามารถสร้างร่างัธาตุน้ำและัธาตุโลหะทองขึ้นมาได้ และการโจมตีครั้งสุดท้ายคือการโจมตีของัครามเอง
เวลานี้เมื่อัครามพูดขึ้นมา เขาจึงนึกขึ้นมาได้ ในระหว่างฟ้าดินนี้ ไม่ว่าชีวิตเ้าจะเปี่ยมพลังหยางหรือจะแสนแข็งแกร่งมากเพียงใด จิติญญาของชีวิตยังเน้นหนักด้านของพลังหยางอยู่ สายฟ้าเป็สิ่งที่มีพลังหยางแ่าและแข็งแกร่งยิ่ง ร่างจิติญญาใดๆ ล้วนแต่ครั่นคร้ามต่ออสนีสายฟ้า ชางอวี่ก็ไม่อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์นั้นเช่นกัน และแม้ว่าร่างกายของมัจฉาเฒ่าตัวนั้นจะได้รับการผันแปรเพิ่มเติมโดยชางอวี่เป็เวลานับหมื่นปีจนสามารถต้านทานสายฟ้านี้ แต่ทัณฑ์สายฟ้าพุ่งเป้าไปที่ทุกคนในบริเวณพื้นที่แห่งนี้ ถ้ามัจฉาเฒ่าออกมาก็ไม่สามารถแบ่งเบาภาระทัณฑ์สายฟ้าของจ้านอู๋มิ่ง จ้านอู๋มิ่งก็ยังคงต้องผ่านด้วยตนเองเช่นเดิม ถึงเวลานั้นจะยิ่งน่าเศร้ากว่าเดิมแล้ว
“นายท่าน ขออภัย ิญญาของข้าที่เหลืออยู่นี้เสื่อมสลายมากเกินไป เป็เวลานับล้านปี พลังจิติญญาอ่อนแอเกินไป ไม่สามารถต้านทานทัณฑ์สายฟ้าโดยตรง…”
“บัดซบ เ้ารีบกลับไปอยู่ภายในแดนปิดผนึกเถิด ดูแล้วชะตาชีวิตพี่ชายสมควรเป็เช่นนี้จริงๆ ต้องผ่านด้วยตนเองแล้ว เป็ดวงชะตาดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาตจริงๆ พี่ชายเพิ่งจะรวบรวมจำนวนตัวเลขเจ็ดพิฆาตจนครบพอดี ยังมีฐานบ่มเพาะเพียงแค่ปรมาจารย์นักยุทธ์เท่านั้น ก็ต้องมาเสี่ยงกับทัณฑ์สายฟ้านี้ ช่างลำบากยากเข็ญเกินไปแล้วจริงๆ” จ้านอู๋มิ่งพึมพำเบาๆ คำหนึ่งอย่างบอกกล่าวไม่ออก
ชาติภพก่อน ตนรวบรวมจำนวนตัวเลขเจ็ดพิฆาตจนครบ ผ่านทัณฑ์สายฟ้าคิดทลายนภาของอาณาจักรดินแดนปฐมภูมิออก ผลสุดท้ายถูกโม่เทียนจีแอบลอบเล่นงาน เวลานี้แตกต่างจากชาติภพก่อนอยู่เล็กน้อย ชาติภพก่อนนั้นรวบรวมพลังเบญจธาตุ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินจนครบ และเพิ่มธาตุวายุกับสายฟ้าอีกสองธาตุ จึงได้รวบรวมจำนวนตัวเลขเจ็ดพิฆาตจนครบ แต่ชาติภพนี้ที่รวบรวมจนครบคือเบญจธาตุ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน และเพิ่มพลังธาตุวายุกับธาตุความมืด ตอนนี้ก็รวบรวมจำนวนตัวเลขเจ็ดพิฆาตจนครบแล้วเช่นกัน ครั้งนี้ก็เกิดจากการทำร้ายของคนตระกูลโม่เช่นเดียวกัน…นี่มันเป็ชะตาชีวิตจริงๆ เลยเชียว ดูแล้วชีวิตนี้มีความผูกพันที่ยังไม่คลี่คลายกับคนของตระกูลโม่จริงๆ แม้แต่ทัณฑ์สายฟ้าก็ล้วนเป็เช่นนี้…
“โจรฟ้าเฒ่า พี่ชายไม่เชื่อว่าเ้าจะสามารถทำอะไรข้าได้ มิใช่แค่ทัณฑ์สายฟ้าเล็กๆ หรอกหรือ? มาเถิด พี่ชายแตกต่างจากเทพเ้าาพวกนั้น พี่ชายมีพลังธาตุคอยเสริมเติมเต็ม ข้าจะดูว่าเ้าจะฟาดให้ข้าดับสูญได้อย่างไร!” พูดพลางจ้านอู๋มิ่งหยิบั์ตาทั้งสองของคุนเผิงภายในสมบัติวิเศษพื้นที่มิติออกมา แล้วขึ้นไปยืนสองเท้าอยู่บนนั้น เท้าซ้ายั์ตาวายุ เท้าขวาั์ตาวารี กลายเป็วงจรหมุนเวียนชนิดหนึ่ง
“ตูมมม…” อสนีสายฟ้าหลายสายฟาดลงบนร่างจ้านอู๋มิ่ง จ้านอู๋มิ่งแค่รู้สึกเจ็บแปลบไปทั้งตัว โครงกระดูกทั่วร่างกายเหมือนจะแตกสลาย ทำให้เขาแทบจะยืนหยัดอย่างมั่นคงอยู่บนั์ตาคุนเผิงไม่ได้
“ซี๊ดด…” จ้านอู๋มิ่งครางด้วยความเ็ปคราหนึ่ง ฝืนทนต่อความเ็ปอย่างรุนแรง โคจรพลังปราณเที่ยงแท้อนัตตาขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้น พลังธาตุทั้งสองชนิดใต้ฝ่าเท้าดูดซึมเข้าร่างกายเหมือนกระแสน้ำขึ้นก็มิปาน เส้นชีพจรที่เ็ปดูเหมือนจะได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟูทันที และพลังปราณเที่ยงแท้อนัตตาภายในร่างกายก็สร้างเป็พลังงานป้องกันชนิดหนึ่งคอยซ่อมแซมผิวกาย
“ตูมมม……” อสนีสายฟ้าร่วมร้อยสายโจมตีลงบนผิวน้ำมหาสมุทร นั่นคือตำแหน่งของชางอวี่เมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเขาได้กลับไปยังดินแดนปิดผนึกแล้ว สำหรับการดำรงอยู่ของจิติญญา ทัณฑ์สายฟ้าไม่ติดตามโจมตี โชคดีที่ชางอวี่ไม่ได้นำร่างมัจฉาเฒ่าของเขาออกมา มิฉะนั้นอสนีสายฟ้าร้องร่วมร้อยสายคงโจมตีจนผิวกายแตก เนื้อเหวอะหวะไปแล้ว
เวลานี้ทั่วทั้งสมรภูมิรบกระดูกขาวมีเพียงจ้านอู๋มิ่งเพียงคนเดียว กับพลังอสนีสายฟ้าเต็มไปหมดทั่วท้องฟ้า เผชิญหน้ากับการยั่วยุของจ้านอู๋มิ่ง อสนีสายฟ้าดูเหมือนเริ่มจะโกรธเคือง แต่พลังอสนีสายฟ้าก็ดูเหมือนจะเล็กลงกว่าเดิมไม่น้อยแล้วเช่นกัน กล่าวถึงที่สุดแล้วระดับขอบเขตของจ้านอู๋มิ่งที่แสดงออกมาเวลานี้ไม่สูงมาก เพียงแค่ระดับปรมาจารย์นักยุทธ์เท่านั้น หากมิใช่โม่ฉางชุนจงใจชักนำทัณฑ์สายฟ้ามา จ้านอู๋มิ่งไม่จำเป็ต้องผ่านทัณฑ์สายฟ้าแต่อย่างใด ทว่าเวลานี้โม่ฉางชุนตายแล้ว จิติญญาของชางอวี่หลบไปเนิ่นนานแล้ว ทัณฑ์สายฟ้านั้นก็เป็เพียงแค่ทัณฑ์สายฟ้าของราชันาเท่านั้นเช่นกัน ซึ่งสำหรับปรมาจารย์นักยุทธ์สูงสุดตลอดจนจักรพรรดิาอื่นๆ คนหนึ่งคนใดแล้วล้วนเป็อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่พลังกายเนื้อของจ้านอู๋มิ่งแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน เวลานี้ยังมีพลังธาตุมากมายมหาศาลคอยค้ำจุนอยู่ จึงยังคงยืนหยัดอยู่เช่นเดิมได้
