บทที่ 5 ชะตา ฟ้าเป็ผู้ลิขิต
แต่แล้ว...ขณะที่มู่ชิงเหยียนกำลังจะออกจากบ้านหลังเดิมเพื่อกลับไปยังห้องผ่าตัด สายตาของนางก็พลันเหลือบไปเห็นประตูอีกบานที่อยู่หลังตู้หนังสือขนาดใหญ่ในห้องนั่งเล่น นางไม่เคยเห็นประตูบานนี้มาก่อนในชีวิต
'ประตูนี้มันคืออะไร?'
ด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง มู่ชิงเหยียนค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ เมื่อมองอย่างละเอียด นางก็พบว่าประตูบานนี้ไม่ได้ทำจากไม้หรือเหล็กธรรมดา แต่เป็หินสีดำสนิทที่แกะสลักอย่างประณีต ้าของประตูมีสัญลักษณ์คล้ายดวงดาวและกลุ่มเมฆขนาดใหญ่สลักอยู่ และมีลวดลายเหมือนอักขระโบราณที่เปล่งแสงสีทองจางๆ ส่องประกายอยู่ทั่วทั้งบานราวกับเป็ประตูที่ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าทวยเทพอย่างไรอย่างนั้น หมอหลินหรือมู่ชิงเหยียน ที่ตอนนี้ได้ทำใจให้คุ้นชินกับสิ่งที่เหนือเหตุผลมาหลายอย่าง ก็มองจ้องไปที่บานประตูที่งดงามแปลกตานั้นทันที นางเดินเข้าไปดูพินิชพิเคราะห์มันใกล้ก่อนที่นางเอื้อมมือไปััประตูที่เย็นเฉียบ เมื่อปลายนิ้วัักับลวดลายอักขระโบราณนั้น นางก็รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายอย่างรุนแรง! ในวินาทีนั้นเอง...ภาพด้านในของประตูก็ปรากฏขึ้น!
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าทำให้มู่ชิงเหยียนถึงกับอ้าปากค้าง! นั่นไม่ใช่บ้านของนางอีกต่อไป แต่เป็ คลังเก็บของขนาดใหญ่ ที่กว้างขวางจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ชั้นวางของขนาดใหญ่หลายชั้นเรียงรายไปจนสุดสายตา บนชั้นวางเ่าั้เต็มไปด้วย ตำราทางการแพทย์โบราณ ที่อธิบายเื่ยาจีนโบราณและสมุนไพรหายากอย่างละเอียด ข้างๆ กันคือ ตำราวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ ที่รวมเอาความรู้การแพทย์ล้ำสมัยที่สุดเท่าที่เคยมีมา! ทุกตำราเล่มหนาจัดเรียงเป็หมวดหมู่อย่างเป็ระเบียบ
แต่แล้วสายตาของนางก็พลันเหลือบไปเห็นหนังสือที่ดูแตกต่างออกไป มันเป็หนังสือเล่มหนาปกหนังสีดำสนิท มีอักขระโบราณสลักอยู่บนหน้าปกอย่างน่าเกรงขาม และมีชื่อเขียนกำกับไว้ว่าคัมภีร์พิษพันชนิด มู่ชิงเหยียนรู้สึกประหลาดใจเป็อย่างมาก นางไม่เคยมีความสนใจในศาสตร์นี้มาก่อน แต่กลับมีตำราพิษอยู่ในคลังของนาง
และไม่เพียงแค่นั้น ถัดจากคัมภีร์พิษ นางก็เห็นตำราอีกเล่มที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า มันเป็ตำราเล่มบางที่มีแสงสีเงินเรืองรองอยู่ตลอดเวลา มีชื่อเขียนกำกับไว้ว่าตำราค่ายกลิญญา เมื่อนางมองเข้าไปใกล้ นางก็รู้สึกได้ถึงพลังงานที่ลึกลับและซับซ้อนที่แผ่ออกมาจากตำราเล่มนั้น
มู่ชิงเหยียนรู้สึกสับสนอย่างหนัก... ในฐานะแพทย์ นางไม่เคยแตะต้องตำราพิษหรือค่ายกลใดๆ เลย แล้วสิ่งเหล่านี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? มันเป็ของวิเศษที่มาพร้อมกับมิติแห่งนี้หรือ?
แต่ก่อนที่นางจะได้หาคำตอบ สายตาของนางก็ต้องเบิกกว้างขึ้นอีกครั้งเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ใจกลางห้อง! นั่นไม่ใช่แค่โต๊ะทำงานธรรมดา แต่เป็ น้ำพุเล็กๆ! น้ำใสบริสุทธิ์ในน้ำพุแห่งนั้นเปล่งแสงสีขาวนวลระยิบระยับอยู่ตลอดเวลา และมีสายน้ำเล็กๆ ไหลออกจากน้ำพุไปยังขวดแก้วที่วางเรียงรายอยู่...
และป้ายที่ติดเอาไว้ก็คือ“น้ำพุิญญา สามารถฟื้นฟูพลังกายและชำระล้างสิ่งสกปรกในร่างกาย”
ของวิเศษที่ทรงพลังนางเคยอ่านแต่ในนิยายเท่านั้น ด้วยความเป็คนยุคใหม่หมอหลินนั้นย่อมอยากจะพิสูจน์ แต่ว่าจะเข้าไปอย่างไร ขณะนั้นนางก็มองไปรอบๆ ห้องนั้น นอกจากตำรา น้ำพุิญญาแล้ว นางยังเห็น ขวดยาเม็ด และ หลอดยาชนิดต่างๆ นับไม่ถ้วนเรียงกันเป็แถว มีั้แ่ยาแก้ปวดพื้นฐานไปจนถึงยาปฏิชีวนะที่ทันสมัยที่สุดอย่างที่นางเคยใช้ในโรงพยาบาล
แต่ที่ทำให้หัวใจของมู่ชิงเหยียนเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งคือสิ่งที่อยู่บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง! บนโต๊ะมี ขวดแก้วใบเล็ก ที่บรรจุของเหลวสีทองอร่ามที่เปล่งแสงเรืองรองอยู่ข้างใน และมีป้ายเขียนกำกับไว้ว่า น้ำยาเพิ่มพลังิญญา
มู่ชิงเหยียนพยายามที่จะเปิดประตูบานนั้น แต่ประตูยังคงปิดสนิทราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นไว้! ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ประตูบานนั้นก็ไม่มีท่าทีว่าจะเปิดออก! นางรู้สึกเหมือนกำลังถูกเล่นตลก ภาพของสิ่งของที่วิเศษอยู่ตรงหน้า แต่นางกลับไม่สามารถหยิบมันมาใช้ได้!
'ทำไมถึงเปิดไม่ได้!' หมอสาวคิดในใจ 'หรือว่ามันมีเงื่อนไขบางอย่างในการเปิด?' ปริศนาแห่งประตูที่เต็มไปด้วยอักขระโบราณและของวิเศษที่มองเห็นแต่ไม่สามารถได้ กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว!
มู่ชิงเหยียนหงุดหงิดจนแทบจะทุบกำปั้นลงบนประตูหินที่เย็นเฉียบ นางพยายามทุกวิถีทางแต่ประตูก็ยังคงปิดสนิทราวกับเป็ส่วนหนึ่งของผนัง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสับสนและความผิดหวัง ความหวังที่เพิ่งจุดประกายขึ้นเมื่อครู่บัดนี้กำลังจะมอดดับลงอีกครั้ง
ความดีใจที่พุ่งขึ้นมาในใจเมื่อครู่บัดนี้กลับกลายเป็ความสิ้นหวัง! หากว่ากันตามที่นางเคยรู้มาของวิเศษเหล่านี้จะต้องสามารถช่วยเหลือครอบครัวนางได้ แต่มันกลับถูกขังอยู่หลังประตูที่นางไม่สามารถเปิดได้!
ในวินาทีที่ความสิ้นหวังกัดกินจิตใจอยู่นั้นเอง จู่ๆ บนบานประตูก็พลันมีแสงสีทองส่องสว่างออกมา! ตัวอักษรโบราณที่ไม่เคยมีมาก่อนค่อยๆ ปรากฏขึ้นช้าๆ ราวกับถูกเขียนด้วยแสงจากดวงดาว!
“ช่วยชีวิตหนึ่งครั้ง เปิดประตูได้หนึ่งเค่อ”
มู่ชิงเหยียนอ่านตัวอักษรนั้นอย่างช้าๆ แล้วสมองอันชาญฉลาดของนางก็ประมวลผลทันที หนึ่งเค่อ ในยุคโบราณหมายถึง 15 นาที!
เงื่อนไขในการเปิดประตูคือการช่วยชีวิตคน!
ความหวังที่กำลังจะมอดดับลงในใจของมู่ชิงเหยียน บัดนี้กลับมาลุกโชนอีกครั้งอย่างรุนแรง! นางกำหมัดแน่น หัวใจพองโตด้วยความหวังที่เอ่อล้น ์! นี่ไม่ใช่คำสาป นี่คือพรจาก์อย่างแท้จริง! ด้วยสิ่งของเหล่านี้ นางไม่เพียงแต่จะช่วยให้ครอบครัวรอดพ้นจากความอดอยากได้ แต่นางยังสามารถสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่ได้!
แต่ก่อนที่จะออกไปจากมิติแห่งนี้ นางจะต้องคิดหาเหตุผลที่ดีพอเพื่ออธิบายกับครอบครัว จะให้นางกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร? นางจะบอกว่าไปไหนมา? จะบอกว่าเพิ่งฟื้นขึ้นมาจากความตายแล้วเข้าไปในห้องมิติได้อย่างไร?
สมองของนางทำงานอย่างรวดเร็วราวกับประมวลผลข้อมูลในวินาทีสุดท้ายก่อนจะผ่าตัด นางจะต้องหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สุดเพื่อไม่ให้ครอบครัวสงสัย นางมองไปรอบๆ ครัวที่เต็มไปด้วยของกินมากมาย สุดท้ายสายตาของนางก็ไปสะดุดกับ ไข่ไก่ 5 ฟอง มัน และเผือกและต้นหอมป่าอีกกำใหญ่
ของเหล่านี้ดูเป็ของธรรมดาที่สามารถหาได้ในป่าละเมาะรอบบ้าน นางจึงรีบหยิบไข่ไก่ทั้ง 5 ฟอง ห่อใส่ชายเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งของตนเองอย่างรวดเร็ว ตามด้วยมันและเผือกอีกสองสามหัว แล้วรีบออกจากมิติไปในทันที
นางตั้งสมาธิอีกครั้ง นึกถึงภาพป่าละเมาะหลังกระท่อม และในพริบตาเดียว โลกก็บิดเบี้ยวอีกครั้งก่อนจะกลับสู่สภาพเดิม นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ราวกับเวลาในโลกภายนอกผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น
มู่ชิงเหยียนสูดหายใจเข้าลึก เก็บซ่อนความตื่นเต้นที่กำลังล้นอกไว้ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย นางเดินกลับเข้าไปในกระท่อมที่ยังคงเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ทุกคนมองมาที่นางด้วยแววตาเป็ห่วงและความแปลกใจ เมื่อเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีอ่อนแออย่างที่คิด
"ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้วเ้าค่ะ ก็เลยเดินดูรอบๆ"
นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใสกว่าปกติ พร้อมกับเผยรอยยิ้มจางๆ เป็ครั้งแรก รอยยิ้มที่ไม่ได้ถูกเสแสร้ง แต่มาจากความหวังที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในใจ
“โชคดีมาก ข้าเห็นไข่ไก่อยู่รังหนึ่งก็เลยเก็บมา ส่วนแม่ไก่ข้าไล่มันไม่ทันเ้าค่ะ และข้ายังเจอมันกับเผือกในป่าละเมาะด้วยเ้าค่ะ”
คำพูดของนางทำให้ทุกคนในบ้านถึงกับเบิกตากว้าง ไม่มีใครคาดคิดว่าในยามที่ทุกคนสิ้นหวังที่สุด กลับมีปาฏิหาริย์เล็กๆ เกิดขึ้นในครอบครัว มู่ชิงเหยียนเดินตรงไปยังเตาดินที่มอดดับอยู่ พร้อมกับหยิบไข่ไก่ มัน และเผือกออกมาจากชายเสื้อที่ห่อไว้
มู่หลิวเอ๋อร์มองหลานสาวด้วยความประหลาดใจ แววตาที่เคยหม่นหมองบัดนี้กลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในตัว มู่หลิวเอ๋อร์มองหลานสาวที่ดูเหมือนจะเหมือนเดิมแต่ก็ไม่เหมือนเดิมอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็ยอมส่งห่อผ้าเล็กๆ ที่มีสมุนไพรแห้งอยู่ไม่กี่ชิ้นให้แต่โดยดี
มู่ชิงเหยียนหันหลังให้ทุกคนในบ้าน แล้วเดินตรงไปยังมุมห้องที่เป็เหมือนครัวเล็กๆ ของครอบครัว มันเป็พื้นที่แคบๆ มีเตาดินเก่าๆ ตั้งอยู่หนึ่งเตา ข้างๆ เป็ไหเก็บน้ำและไหเก็บข้าวสารที่ว่างเปล่าจนมองเห็นก้นไหได้ชัดเจน กลิ่นอับชื้นจากความยากจนยังคงอบอวลในอากาศ
นางนั่งลงข้างไหข้าวสารที่ว่างเปล่า แล้วแอบใช้ความคิดเพื่อเข้าไปในมิติโอสถิญญา ทันใดนั้น... มือของนางก็เอื้อมไปหยิบถุงข้าวสารที่เต็มกระสอบออกมาได้อย่างไร้ร่องรอย มู่ชิงเหยียนหยิบข้าวสารออกมาเพียงเล็กน้อย แล้วเทลงในไหอย่างแเี ก่อนที่จะดันไหกลับเข้าที่เดิมอีกครั้งอย่างแเี
เมื่อได้ข้าวสารมาแล้ว นางก็เทน้ำสะอาดจากไหใส่ลงในหม้อดินแล้วนำไปตั้งบนเตาถ่านที่เพิ่งจุดไฟได้สำเร็จ แล้วใสข้าวสารลงไปเพื่อทำโจ๊กสำหรับทุกคนในบ้าน
ขณะที่รอน้ำเดือด มู่ชิงเหยียนก็เริ่มปอกเปลือกมันและเผือกที่นำมาจากป่าละเมาะ นางหั่นมันเป็ชิ้นเล็กๆ พอดีคำแล้ววางไว้ข้างหม้อ เมื่อน้ำเดือดได้ที่ นางหันซ้ายขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสังเกตนางก็รีบหยิบขวดผงปรุงรสจากมิติออกมา แล้วเทลงไปในหม้อเพียงเล็กน้อยอย่างรวดเร็วราวกับนักมายากล ก่อนที่จะเก็บขวดกลับเข้าไปในมิติอีกครั้ง
จากนั้นก็เริ่มตอกไข่ไก่ 5 ฟองลงไปในชาม แล้วตีให้เข้ากันจนเป็เนื้อเดียวเตรียมเอาไว้ จากนั้นก็นำมันและเผือกที่หั่นไว้แล้วลงต้มไปกับข้าว เมื่อโจ๊กเริ่มได้ที่ นางก็ใส่ไข่ที่ตีแล้วลงไปในหม้อ ก่อนที่จะคนทุกอย่างให้เข้ากันอย่างเบามือ หอมป่าที่แอบเอาออกมาจากมิติก็หันเอาไว้เรียบร้อย ไม่นานกลิ่นหอมของโจ๊กที่ผสมผสานกับกลิ่นของสมุนไพรและผงปรุงรสค่อยๆ ลอยฟุ้งไปทั่วกระท่อมที่เคยมืดมนและอับชื้น กลิ่นหอมนั้นทำให้ทุกคนในบ้านต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าของพวกเขามีแววตาที่เต็มไปด้วยความอยากอาหารและตื่นเต้นอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานาน
มู่ชิงเหยียนก้มลงมองโจ๊กในหม้อ ภาพที่เห็นทำให้นางรู้สึกดีใจจนน้ำตาแทบไหล โจ๊กข้าวสารที่ข้นกำลังดีผสมกับไข่และมันหวานที่ดูน่ากิน มันไม่ใช่โจ๊กใสๆ ที่มีเพียงน้ำและเม็ดข้าวอีกต่อไปแล้วตอนนี้ ครอบครัวของนางจะได้กินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการเสียที!
ไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของนาง ยกเว้นเพียงคนเดียว...
ซูิเสวี่ย... มารดาผู้ความจำเสื่อมที่มักจะนั่งเหม่อลอยอยู่ริมหน้าต่างเสมอ บัดนี้กลับหันมามองนางช้าๆ ราวกับถูกดึงดูดด้วยกลิ่นหอมของโจ๊ก ดวงตาที่เคยว่างเปล่าราวกับบ่อน้ำไร้ก้น บัดนี้กลับมีประกายแสงประหลาดวูบไหวอยู่ภายใน...
ทันใดนั้นเอง! เส้นแสงสีทองบางเบาก็พลันพาดผ่านดวงตาของซูิเสวี่ย!
มันไม่ใช่แสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ แต่เป็ประกายแสงที่ลึกล้ำราวกับดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืน เป็ประกายแสงที่เต็มไปด้วยปริศนาและความลับที่ยากจะหยั่งถึง แสงสีทองนั้นวูบไหวเพียงชั่วพริบตา ก่อนจะหายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
ซูิเสวี่ยยังคงมองมาที่มู่ชิงเหยียนด้วยแววตาที่ยังคงว่างเปล่า แต่ในชั่วขณะนั้น มู่ชิงเหยียนรู้สึกราวกับมีกระแสพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นเชื่อมโยงระหว่างเธอกับมารดา...เป็ความรู้สึกที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยคำพูดใดๆ
'เมื่อกี้มันอะไรกัน!?' มู่ชิงเหยียนคิดในใจ ความรู้สึกประหลาดที่เกิดขึ้นทำให้นางต้องหันกลับไปมองมารดาอีกครั้ง แต่บัดนี้ดวงตาของซูิเสวี่ยก็กลับไปว่างเปล่าเหมือนเดิม ราวกับว่าเมื่อครู่เป็เพียงภาพลวงตาที่นางสร้างขึ้นมาเอง
หรือว่า มารดาของนางไม่ได้ความจำเสื่อมธรรมดา แต่มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ภายใน? ความลับที่เกี่ยวข้องกับพลังิญญา? หรือมิติโอสถิญญาของนาง?
คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวของมู่ชิงเหยียน แต่เธอไม่มีเวลาที่จะหาคำตอบในตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำให้ทุกคนได้กินอาหาร และนางจะต้องหาทางรักษาอาการป่วยของมารดาให้หายขาด!
ซูิเสวี่ยท่านแม่ผู้ความจำเสื่อม ก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ เหลือบตามองบุตรสาวคนโต มุมปากขวาที่ซีดเซียวของนางค่อยๆ ขยับเล็กน้อย ก่อนที่จะเปล่งเสียงที่แหบพร่าออกมาเบาๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดได้ยิน…
“ชะตา ฟ้าเป็ผู้ลิขิต…”
**** หรือว่า!!!....หรือว่าท่านแม่จะ...****
