“นายท่านยังคงสงสัยในตัวนางอยู่งั้นเหรอ” เขาถอนหายใจแล้วย่อตัวลงพลางรินน้ำชาช้า ๆ ใส่ถ้วย
“แม้กระทั่งกระต่ายตัวน้อย นางยังพยายามรักษาชีวิตมันให้รอดพ้นความตาย หากเป็เสี่ยวเฟยคนเก่านางไม่มีทางทำอะไรเช่นนี้แน่ ไม่ใช่แค่ข้าที่รู้สึกว่านางผิดปกติ เ้าเองก็ด้วยมิใช่รึ” เจาเจ่าก้มหน้าลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง
“เช่นนั้น หากนางความจำสูญสิ้นจริง ๆ นายท่านจะทำเช่นไรต่อขอรับ” โม่โฉวถอนหายใจ แล้วยกชาขึ้นดื่มอย่างใช้ความคิด
“สายตาของนางอ่อนต่อโลกนัก ไม่เหมือนเสี่ยวเฟยคนเก่าที่คิดจะทำร้ายผู้ใดได้อีก นางกล้าฝ่าฝืนคำสั่งเข้ามาขโมยยาเพื่อไปรักษากระต่ายให้หายดี หากเ้าเป็ข้า เ้าจะเกลียดนางลงรึ?” คำพูดของโม่โฉวทำให้เจ่าเจานิ่งอึ้ง
“นายท่านใจอ่อนต่อนางแล้วงั้นรึ” เขาส่ายศีรษะ
“ก่อนที่ข้าจะตัดสินใจ ข้าต้องทำความจริงให้กระจ่าง การที่ข้าอนุญาตให้นางเข้ามาที่เรือนใหญ่ ก็เพื่อ้าจับผิดนาง!” เขาพูดพร้อมแววตามุ่งมั่น
“เช่นนั้นข้าน้อยจะจับตาดูนางด้วยอีกแรงขอรับ” โม่โฉวพยักหน้า สายตาคมสัดส่ายไปมา แตกต่างจากเสี่ยวเฟยที่นั่งเขียนวรรณกรรมอย่างอารมณ์ดี นางบรรจงจรดพู่กันลงกระดาษ ทว่าเมื่อเขียนไปแล้วนึกไม่พอใจ ก็ฉีกกระดาษนั้นทิ้ง แล้วเริ่มเขียนใหม่ ก่อนจะหันมาแล้วพบว่ากระดาษข้างตัว กองขึ้นสูงจนเกือบท่วมหัว
“หมึกหมดซะแล้ว” เสี่ยวเฟยอุทานออกมา แล้วหันมองไปรอบ ๆ ก่อนจะนึกบางอย่างได้ขึ้นมา จึงเดินเข้ามาหาโม่โฉวที่โต๊ะทำงานของเขา
“มีอะไรงั้นรึ” ชายหนุ่มวางพู่กันในมือ แล้วเงยหน้าถามหญิงสาว
“หมึกข้าหมดแล้ว ข้าอยากได้หมึกใหม่อีกอัน” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เหตุใดจึงหมด หมึกตั้งมากมาย” เสี่ยวเฟยยิ้มแห้ง แล้วเม้มปาก ก่อนเจาเจ่าจะวิ่งแตกตื่นเข้ามา
“นอกจากหมึกหมดแล้ว ดูท่ากระดาษของฮูหยินก็ใกล้หมดแล้วเช่นกันขอรับ” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วลุกขึ้นเดินไปดูวรรณกรรมที่เสี่ยวเฟยเขียน ก่อนจะพบกับกองกระดาษสูงท่วมหัว ท่ามกลางความเงียบ เสี่ยวเฟยรีบแก้ตัวทันที
“จริง ๆ ข้าวางโครงเื่ไว้หลายทาง แต่ไม่รู้ทำไม ข้าเขียนแล้วไม่ถูกใจ ก็เลยต้องทิ้ง เป็สาเหตุให้หมึกและกระดาษ...หมดเ้าค่ะ” เสี่ยวเฟยพูดไม่เต็มปากนัก ก่อนโม่โฉวจะนิ่งเงียบ แล้วหันไปหาเจ่าเจา
“ไปเตรียมหมึก และกระดาษให้นางเพิ่มอีก”
“แต่ว่าหมึกและกระดาษในจวน ใกล้หมดแล้วเช่นกันนะขอรับ” เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
“ไปเอาที่เหลือมาให้นาง”
“ขอรับนายท่าน” เจ่าเจาน้อมรับคำสั่ง แล้วเดินออกไป ก่อนหญิงสาวจะยิ้มกว้าง หันกลับมายังโม่โฉว
“ข้าไม่เคยเห็นท่านใจดีเช่นนี้มาก่อน” เขานิ่งเงียบ แล้วเอ่ยขึ้น
“เ้าใช้หมึกและกระดาษมากเพียงนี้ ข้าก็หวังว่าวรรณกรรมของเ้า จะออกมาดีสมกับกระดาษที่เสียไป” หญิงสาวเดินเข้ามาหาอีกฝ่าย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“เพียงแค่คำชมจากผู้ใดสักคน ข้าก็ถือว่าวรรณกรรมของข้ามีความหมายแล้วเ้าค่ะ”
“เสี่ยวเฟยคนเก่า ไม่เคย้าแค่คำชมน้อยนิดจากผู้ใด” เขาตั้งใจสังเกตกิริยาอีกฝ่าย หากแต่หญิงสาวยิ้มแล้ว ตอบกลับ
“เพราะเสี่ยวเฟยคนเก่า้าหัวใจของท่านใช่หรือไม่ ข้ารู้แล้ว ว่าท่านพี่โม่โฉวไม่เคยมีใจให้ ดังนั้นข้าทำใจได้แล้วล่ะ ท่านอยากมีภรรยาอีกสามคน ห้าคน สิบคน ข้าจะไม่คัดค้านเ้าค่ะ” หญิงสาวพูดพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน ก่อนเขาจะขมวดคิ้ว แล้วตัดสินใจ ดึงร่างเล็กเข้ามาโดยที่นางไม่ทันตั้งตัว ตอนนี้นางถูกเขาโอบรัดไว้อย่างแ่า พร้อมสายตาคมพยายามจ้องจับผิด
“เสี่ยวเฟย เ้าสูญสิ้นความจำ หรือเพราะกำลังแสดงละครตบตาข้าอยู่ บอกข้ามา” สายตาจริงจังของอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย นางพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดเขา ทว่าอีกฝ่ายกลับรัดแน่นกว่าเดิม
“ข้าเคยบอกแล้ว ว่าข้ามิได้ความจำสูญสิ้น ข้าเพียงแต่หลง ๆ ลืม ๆ บ้างเท่านั้น” หญิงสาวยังคงปากแข็ง
“คำพูดเ้า ข้าไม่เคยเชื่อ” เขากระชับร่างเล็กแน่น ก่อนตัดสินใจจับมือนางเข้าไปในเรือนเพื่อพิสูจน์ความจริงบางอย่าง
“ท่านจะพาข้าไปที่ใด” น้ำเสียงสั่นเครือเอ่ยถาม ขณะที่ร่างของนางยังคงถูกเขาลากลึกเข้าไปในเรือน ผ่านห้องหลายห้อง ก่อนจะสิ้นสุดที่ห้องด้านใน
เพียงแค่เสี่ยวเฟยเห็นเตียงนอนของเขา นางก็รีบเบี่ยงออกเตรียมจะวิ่งหนี หากแต่โม่โฉวดึงนางกลับมาในอ้อมกอดได้ทัน
“บอกความจริงมา ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเ้า” ชายหนุ่มกำลังใช้สถานการณ์บังคับ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจ่อเข้ามาใกล้ ทำให้หัวใจของเสี่ยวเฟยเต้นรัวถี่ ก่อนจะกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ข้า ข้า” เสี่ยวเฟยอึกอัก ก่อนเขาจะก้มลงเตรียมจูบ เพื่อลองใจอีกฝ่าย ทว่าหญิงสาวรีบถอยห่างในทันที
“ท่านจะทำอะไรเ้าคะ”
“เราเป็สามีภรรยากัน เื่เช่นนี้ต้องให้บอกด้วยรึ”
“แต่มู่เลี่ยน เคยบอกว่าท่านไม่เคยแตะต้องตัวข้าสักครั้ง แล้วทำไม” เขายิ้มเล็กน้อย
“หากความจำเ้ามิได้สูญสิ้น เหตุใดต้องให้มู่เลี่ยนบอกด้วย ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเ้ากับข้าเป็เช่นไร” นั่นยิ่งทำให้เสี่ยวเฟยอึกอัก หัวใจเต้นรัวถี่เป็จังหวะมากขึ้น ก่อนเขาจะอุ้มนางไปวางที่เตียงนอน แล้วข่มขู่อีกครั้ง
“หากเ้าไม่บอกความจริงกับข้าล่ะก็...ข้าก็จะไม่ปล่อยเ้ากลับเรือน” เขาพูดจบ ก็ก้มลงซุกไซร้สูดกลิ่นกายของนางเพื่อลองใจ ทว่าจื่อหลานในร่างเสี่ยวเฟยที่ไม่เคยผ่านการมีแฟนมาสักครั้ง รีบผลักเขาออก แล้วยอมรับสารภาพในทันที
“ข้ายอมบอกแล้ว ท่านปล่อยข้าก่อน” เสี่ยวเฟยลุกขึ้นนั่งพร้อมเหงื่อท่วมกาย ขณะที่สายตาอีกฝ่ายจับจ้องมองมาแน่นิ่ง
“ข้าไม่ใช้เสี่ยวเฟยคนเก่า ข้าความจำสูญสิ้น และข้าจำสิ่งต่าง ๆ ก่อนหน้าไม่ได้เลยเ้าค่ะ” เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ในเมื่อความจำสูญสิ้น เหตุใดจึงปิดปัง” เสี่ยวเฟยมองหน้าเขาแล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่
