Chapter 26
Oh my lord, what’s wrong with you
เสียงฝีเท้าของคนทั้งสองดังขึ้นเบาๆยามบ่ายกลางป่าลึก รอบข้างในตอนนี้เริ่มจะเรียกได้ว่าคุ้นเคยในสายตาของจูเลียนมาบ้างแล้ว มันกลับมาหลังจากหายไปใน่เช้า ไม่เคยรู้สึกว่ายินดีกับการได้เห็นหน้ามันเลยจนกระทั่งความรู้สึกที่มีต่อแฟรงค์ก่อตัวขึ้นมา จูเลียนพูดกับแฟรงค์ด้วยน้ำเสียงปกติทว่าตอบรับเพียงไม่กี่คำ ทำทีก้มหน้าก้มตาสนใจแปลงผักแทนที่จะเสวนาด้วย
แต่ในตอนนี้มันและเขากำลังมุ่งหน้าไปยังลำธาร เสียงน้ำไหลเป็สัญญาณบ่งบอกได้ดีว่าคนทั้งคู่กำลังเข้าใกล้เต็มที่ มันไม่เอ่ยอะไรเพียงสูดควันพิษเข้าปอดเท่านั้น กลิ่นบุหรี่ยี่ห้อที่ไม่คุ้นเคยนักใน่แรกกลับกลายมาเป็ความเคยชินที่ไม่น่ายอมรับักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยในตอนนี้มันดูจะดีกว่าการถูกทิ้งไว้ลำพังกับเ้าของเรือนผมสีมะฮอกกานีและดวงตาสีมรกตนั่นเป็ไหนๆ
“ทำธุระของนายซะ”
มันเอ่ยเสียงเรียบเฉกเช่นเคย และเดินหายไปนั่งที่ประจำอีกฟากของลำธาร แฟรงค์ถูกมันสั่งให้ผ่าฟืนอยู่ที่กระท่อม แน่นอนว่าจากสีหน้าเขาดูบอกบุญไม่รับเสียเท่าไหร่ หากแต่ยังไงก็ไม่สามารถจะขัดคำสั่งเขาได้อยู่ดี จูเลียนเองก็พลอยจะเบาใจไปได้ไม่น้อย ถ้าหากแฟรงค์ตามมาด้วยมันอาจยิ่งทำให้ทุกอย่างดูน่าสงสัยกว่าเดิม หรือบางทีมันอาจสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ก็ได้
ไม่นานนักร่างเล็กก็หอบเสื้อผ้าที่สวมมาร่วมหลายวันและหยุดอยู่ตรงหน้ามัน จูเลียนสวมเสื้อผ้าใหม่ที่มันหยิบยื่นมาให้ เอาเข้าจริงๆแล้วถ้าจะมองกันให้ชัดกว่าเดิม จูเลียนดูจะได้สวมเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมมากกว่าคนเป็ลูกแท้ๆอย่างแฟรงค์ด้วยซ้ำ น่าแปลกไม่น้อยทว่าก็ไม่กล้าปริปากถามอะไรออกไป แค่มันเมตตาจัดหามาให้ก็ถือว่าบุญหัวเขาแล้ว
“ทีแรกนึกว่าจะใส่ไม่ได้ แต่ถือว่าพอดีสินะ”
“อื้ม ขอบคุณ”
“อาหารไม่ถูกปากหรือยังไง” มันละมือจากการเหลากิ่งไม้ด้วยมีดพก เงยหน้ามองคนอายุน้อยกว่าด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา
“ทำไม” จูเลียนขมวดคิ้ว ร้อยวันพันปีไม่ยักกับถามประโยคแปลกประหลาดแบบนี้ออกมา ทำไมถึงได้เอ่ยออกมาแบบนี้กันนะ
“เหมือนจะดูผอมลง กินให้มันเยอะๆหน่อยสิ หรืออยากจะกินอะไรเป็พิเศษมั้ย”
ใบหน้ากลมฉายแววงุนงงยิ่งกว่าเดิม น้ำเสียงของมันดูช่างเป็ห่วงเป็ใยจนผิดปกติ นึกยังไงมาถามเอาแบบนี้ และดูเหมือนว่ามันเองก็คงพอเดาออกว่าอีกคนคงจะงงเป็ไก่ตาแตกกับคำพูดของมัน หากแต่มันยังคงนิ่งเฉยและไม่เอ่ยอะไรออกมา
“ถามเหมือนว่าจะฆ่าฉันในอีกไม่กี่วันอย่างนั้นแหละ”
“แดกดันได้เจ็บแสบและมีชั้นเชิงเหมือนพ่อไม่มีผิด ทิมนี่เก่งเสียจริง”
“พูดบ้า…”
“ชักช้าจริงนะหมอนั่นน่ะ วางใจอะไรอยู่ ลูกหายไปทั้งคนกลับนิ่งดูดายเสียได้ ไอ้ปัญญาอ่อนเอ๊ย”
ยังไม่ทันจะจบประโยคมันก็ก่นด่าพ่อของเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยโทสะเล็กน้อย มันส่ายหน้าอย่างระอาใจ ทว่ามันพูดราวกับรู้จักมักจี่กับพ่อมานาน เหมือนกับว่ารู้นิสัยของพ่อเป็อย่างดีอย่างนั้นแหละ แถมประโยคที่พูดออกมาก็เรียกได้ว่าแทงใจดำจนแทบทะลุถึงแกนกลางด้วยซ้ำ
“พยายามจะพูดอะไรกันแน่ อย่ามาทำเหมือนว่ารู้จักพ่อฉันดีนักเลย”
จูเลียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หัวเสียเล็กน้อย อาจเป็เพราะเดาไม่ออกเลยว่ามัน้าอะไร จู่ๆถึงได้พูดจาแบบนี้ออกมา ไม่ใช่ว่าไม่พอใจ แต่มันเหมือนว่ากำลังเล่นกับความอยากรู้อยากเห็นของจูเลียนอยู่ยังไงยังงั้น
“ไม่ใช่แค่คนเป็ลูกหรอกที่หวังพึ่งพ่อ ฉันเองก็หวังพึ่งเขาอยู่เหมือนกัน”
“หมายความว่ายังไง นายกำลังจะพูดอะไรกันแน่ พูดออกมาตรงๆสิวะ”
ตะคอกเสียงแข็งอย่างไม่เกรงกลัวอะไรอย่างไม่รู้ตัว มันเองไม่ได้มีท่าทีโมโหแต่อย่างใด กลับกันดูใจเย็นจนน่าแปลก ดวงตาคมของมันเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมายพร้อมกับถอนหายใจออกมา ดูท่าทางมันหนักใจอะไรที่จูเลียนไม่อาจรับรู้ได้
“ก็อยากจะบอกตรงๆอยู่หรอก แต่ก็ไม่รู้จะบอกยังไงให้เข้าใจดี คิดว่าไม่ช้าก็เร็วคงต้องบอก กลับเถอะ เดี๋ยวจะมืดเอา”
จู่ๆมันก็ลุกพรวดขึ้นและเดินนำไปอีกทาง ทิ้งไว้เพียงความงุนงงและฉงนจนแทบสมองะเิ จูเลียนเดินตามไปโดยไม่พูดอะไร ปกติแล้วมันไม่เคยมีท่าทางแบบนี้เลย ถ้าหากไม่เรียบเฉยก็คงขึงขังไปจนสุดโต่ง มีบางทีการกระทำบางอย่างดูคาดเดาไม่ออก หากแต่อาการแบบนี้มันดูแปลกใหม่เสียเหลือเกิน หวังพึ่งงั้นหรอ ฆาตกรอย่างมันจะมาหวังพึ่งอะไรกับคนอย่างพ่อกัน
คนอย่างพ่อกับคนที่จูเลียนเดินตามหลังไม่ได้มีอะไรใกล้เคียงกันเลยสักนิด วงสังคมที่อยู่เรียกได้เต็มปากว่าห่างกันไกลโพ้นเกินสุดขอบโลกแน่นอน ไม่ใช่จะคิดว่าตัวเองสูงส่งอะไรไปมากกว่านายพรานล่าสัตว์อย่างมันหรอก หากแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันจะสามารถพึ่งพ่อได้ทางไหนกันนะ จริงอยู่มันอาจรู้จักพ่อจากในหน้าหนังสือพิมพ์ก็ได้ แต่จะถึงขั้นรับรู้ว่าลูกของเศรษฐีอสังหาหน้าตาเป็ยังไงก็คงยาก เพราะแฝดทั้งสองคนไม่เคยปรากฏตัวบนหน้าหนังสือพิมพ์หรือที่ไหนๆด้วยซ้ำ
ภายในห้องประชุมกระจกยังคงตึงเครียดไม่แปรเปลี่ยน แมททิวแจ้งให้ซาโตรุรับรู้ถึงความคืบหน้าเื่คดีแล้ว หัวหน้าทีมรีบแจ้นมาถึงพร้อมใบหน้าที่ดูจะคลายกังวลไปได้มากโข ทว่าบางอยางจากปากพอล ประกอบกับบางสิ่งที่คริสได้รับจากการสอบปากคำคนรอบตัวของอเล็กซ์เพิ่มนั้น มันกลับกลายเป็ลูกศรบอกทิศทางที่ดูจะซับซ้อนเสียยิ่งกว่าเดิม
“นายช่วยพูดใหม่ทั้งหมดจะได้มั้ยพอล ฉันเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว” หัวหน้าทีมเอ่ยขอร้องด้วยสีหน้าที่ดูมึนงงไม่แพ้คนอื่นในทีม แหงแหละ ก็เพราะเขาเองปล่อยให้ลูกน้องทำงานกันอย่างบ้าคลั่ง ส่วนตัวเองก็อ้างว่ามีคดีจากทีมอื่นมาให้ช่วยสะสางซะอย่างนั้น
“ผมจะพูดรอบสุดท้ายนะซาโต้ แล้วทีนี้คุณก็ช่วยตั้งใจฟังให้มันรู้เื่ด้วย” พอลพูดด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยอ่อนเล็กน้อย ในขณะที่แมททิวกับคริสหันไปยิ้มมุมปากใส่กัน คงมีแต่พอลกับเดวิดอีกคนเท่านั้นแหละที่กล้าจะต่อกรกับหัวหน้าอย่างซาโตรุ
“เคสของอันย่าและจัสติน จริงอยู่ที่เราอาจจะสามารถเหมารวมได้อย่างทันทีว่ามันคือหนึ่งในฝีมือของฆาตกรต่อเนื่อง และแน่นอนว่าอเล็กซ์เองก็คือคนคนนั้น แต่พอผมลองอ่านรายละเอียดและลองนึกภาพาแหรือลักษณะของศพทั้งหมดเนี่ย ผมคงต้องบอกว่า มันไม่เหมือนกันจริงๆ”
พอลหยุดพักหายใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆหยิบรูปถ่ายทีละใบวางตรงหน้าของซาโตรุ และเริ่มอธิบายต่อในสิ่งที่พูดจบไปแล้วเกินหนึ่งรอบ
“าแของศพอื่นนอกเหนือจากอันย่า เอาเป็ว่าตอนนี้เราเทียบจากอันย่าก่อนก็แล้วกัน เพราะในเคสของจัสตินนั้นมันต่างกันออกไป”
“ศพของอันย่ามันอาจเป็เพียงการบันดาลโทสะอย่างที่คนร้ายอ้าง แต่พอเอาเข้าจริงๆแล้ว ตามนิสัยของฆาตกรต่อเนื่อง คงต้องบอกว่าไม่มีทางที่พวกมันจะละเว้นลายเซ็นของตัวเอง คุณพอนึกออกมั้ย คนพวกนี้มักภูมิใจกับผลงานของตัวเอง และถ้าเทียบจากศพก่อนหน้าอันย่า ความแม่นยำที่สังเกตได้จากรอยกรีดหรืออะไรก็ตาม มันต่างกันลิบลับจนแทบจะสรุปได้ว่า…”
“มันเหมือนไม่ใช่คนคนเดียวกัน”
“รอยกรีดและวิถีะุมันชำนาญมาก จริงอยู่ศพแรกของเดฟน่า เราสังเกตได้ว่ารอยกรีดมันดูคล้ายกับไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ ไม่แปลกเพราะเป็ศพแรกของมัน แต่คุณจะเห็นได้ชัดเลยว่าคนคนนี้ไม่เคยหยุดที่จะหาอะไรมาเล่นสนุกกับเหยื่อของตัวเองเลย ยิ่งตัวเลขเพิ่ม ความวิปริตมันก็ยิ่งเพิ่มตาม”
ซาโตรุพยักหน้าเห็นด้วย แววตาเขาดูสับสนงุนงงไม่แพ้แมททิวกับคริสก่อนหน้านี้หรอก พอลเลื่อนรูปภาพใบอื่นๆวางตรงหน้าซาโตรุจนแทบจะเต็มโต๊ะประชุมแล้วในตอนนี้
“ศิลปินหรือนักเขียนทิ้งกลิ่นอายของตัวเองไว้ในงานฉันใด ฆาตกรก็ทิ้งตัวตนของตัวเองไว้ในศพฉันนั้น”
“นายหมายความว่าเราจับผิดตัวอย่างงั้นหรอ” หัวหน้าทีมสามเอ่ยถาม
“ผมไม่อยากด่วนสรุปเท่าไหร่ แต่มันดูไปในทางนั้นเหลือเกิน อเล็กซ์มีสภาวะจิตที่ไม่มั่นคงก็จริง แต่ความแค้นของเขามันอยู่ที่อันย่าและจัสตินเพียงสองคนเท่านั้น ผมอยู่กับศพพวกนี้มาหลายเดือน และเจอศพมานับร้อยนับพัน ไหนจะคดีอื่นๆที่เราเคยทำกัน ทุกอย่างมันบ่งบอกอยู่แล้วคุณ เรายังไม่สำเร็จ อาจเข้าใกล้คำนี้ แต่มันยังมีใครคนหนึ่งที่แอบอยู่ในเงามืด และเราต้องหาเขาให้เจอให้ได้”
พอลทิ้งไว้เพียงแค่นั้น ก่อนจะเอนหลังและกอดอกมองท่าทางของซาโตรุที่จ้องรูปพวกนั้นตาไม่กะพริบ เขาดูแก่ลงไปเยอะพอสมควร เส้นผมสีดอกเลาขึ้นแซมภายใต้ทรงผมที่ตัดดูสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่ว่าที่กล้าต่อกรหรือพูดอะไรกับเขาเพราะไม่เคารพหรืออะไร ซาโตรุยังคงเป็คนเก่งในสายตาของทุกคนในทีมเสมอ แต่อายุอานามที่มากขึ้นอาจทำให้เขาช้าลงไปบ้าง
ที่จริงเขาอายุมากกว่าหัวหน้าตัวเองอย่างร็อบด้วยซ้ำ ซาโตรุเคยถูกจะทาบทามให้รับตำแหน่งแทนร็อบ ทว่าชายเชื้อสายเอเชียคนนี้ปฏิเสธ เพราะรู้ดีว่ามันมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้นหลายเท่าตัว แถมยังต้องทำงานเกี่ยวพันกับหลายฝ่าย เขาให้เหตุผลว่าถ้าเขาไป แล้วใครจะคอยอยู่ให้เดวิดกับพอลจิกกัดกันล่ะ พอพูดแบบนั้น เดวิดเองที่ไม่ค่อยยิ้มแย้มให้เขาเท่าไหร่ก็ดันหัวเราะออกมาเบาๆซะอย่างงั้น
“ฉันนึกออกแล้ว” เขาเงยหน้าจากกองรูปที่วางเกลื่อนกลาด มองไล่สบสายตากับทุกคนในห้องประชุม
“คุณมีแผนอะไร” แมททิวเอ่ยถาม
“ถ้าพอลเลือกเปรียบเทียบมันกับศิลปินหรือแม้แต่นักเขียนล่ะก็ ฉันว่ามันออกจะดูให้ค่าเกินไปหน่อย แต่ฉันเองก็เห็นว่ามันอาจมีบางอย่างที่คล้ายกัน”
“ศิลปินหรือนักเขียนย่อมรักและหวงแหนผลงานตัวเอง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจหยิบฉกฉวยมาได้จากสิ่งที่เขาทุ่มเทสร้างมันขึ้นมา”
“เพราะฉะนั้นเรามาดูกันว่าคนอย่างมันที่ดูจะเพลิดเพลินกับผลงานของตัวเองขนาดนี้เนี่ย มันจะอยู่เฉยได้มั้ยถ้าหากฝีมือของมันถูกหยิบยกไปให้คนอื่น”
คนทั้งสี่ในห้องประชุมมองหน้ากัน คำเอ่ยของซาโตรุช่างดูเข้าใจยากเสียเหลือเกิน หากแต่นายตำรวจที่รับมือกับคดีฆาตกรรมมานับไม่ถ้วนแบบพวกเขานั้น เข้าใจได้เป็อย่างดีว่าซาโตรุหมายถึงอะไร และเขากำลังจะทำอะไรต่อ
“คุณแน่ใจนะว่าแถวนี้จริงๆ”
เดวิดเอ่ยถามอีกรอบ เจย์ลีนพยักหน้าตอบพร้อมกับชูโทรศัพท์มือถือในมือ แผนที่เด่นหราบนหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้นบ่งบอกว่าคนทั้งสองมาถูกแล้วตามพิกัดที่ได้มาจริงๆ เดวิดทอดสายตามองเบื้องหน้าแล้วถอนหายใจ เจย์ลีนเองก็พลอยไม่มั่นใจไปด้วย
“เราลองลงไปดูกันก่อนมั้ย เผื่อว่าจะมีบ้านสักหลังที่พอมีคนอยู่” เจย์ลีนเอ่ยชวน เดวิดพยักหน้ารับก่อนจะจอดหลบข้างทางและดับเครื่องยนต์
ภาพเบื้องหน้าในตอนนี้มันคือชนบทที่ห่างจากในเมืองอยู่พอสมควร ต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นรกสูงไร้การดูแล หากแต่ยังพอมีสิ่งปลูกสร้างที่เรียกว่าบ้านพอให้เห็นอยู่ แต่เท่าที่เดวิดมองแล้วมันแทบจะเรียกว่าไม่มีคนอยู่เลยก็ว่าได้ มีบ้านหลังหนึ่งและคงเป็เพียงไม่กี่หลังที่ดูเหมือนว่ายังมีคนอาศัย จักรยานสีม่อล่อกม่อแล่กจอดอยู่หน้าบ้าน เดวิดและเจย์ลีนหันมองหน้ากัน เป็อันรู้ว่าหวังจะมีใครให้พอฝากความหวังเอาไว้ได้ภายใต้ชายคาหลังนั้น
ลมพัดเย็นทำเอาเสียงใบไม้หวีดหวิวดูช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน ในใจเจย์ลีนรู้สึกว่าคล้ายกับจะหมดหวังเล็กน้อย เพราะอะไรก็ตามที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เขาไม่รู้เลยว่ามันเรียกว่าเข้าใกล้ได้หรือไม่ หรือบางทีมันอาจไกลออกไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ นายตำรวจตัวสูงเดินนำหน้าไปก่อน เขาก้าวเท้าเหยียบบันไดไม้เตี้ยๆหน้าบ้าน ก่อนจะเคาะประตูเบาๆ ไม่นานนักมันก็เปิดออก
“สวัสดีครับ”
ไร้เสียงตอบกลับใดๆจากอีกฝ่าย หญิงชราตัวเล็กมองสลับทั้งสองคนด้วยสีหน้างุนงง ไม่แปลกที่หล่อนจะมีท่าทางแบบนั้น เดวิดส่งยิ้มให้บรรยากาศดูคลายกังวล ก่อนที่เสียงแหบพร่าจะเอ่ยออกจากริมฝีปากบาง
“มาหาใครรึพ่อหนุ่ม”
หญิงชราเอ่ยถาม ดูการแต่งตัวที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็ตำรวจ มันยิ่งทำให้หล่อนขยับตัวถอยเข้าไปหลังบานประตูมากขึ้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะโผล่มาน้อยลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ ดวงตาขุ่นมัวมองคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหลังของนายตำรวจ การแต่งตัวดูท่าทางจะเป็คนมีเงิน ตำรวจกับคนรวยงั้นหรือ มาทำอะไรกันในที่แบบนี้นะ
“ผมเ้าหน้าที่เดวิด ขอสอบถามอะไรเล็กน้อยพอจะได้มั้ยครับ คุณ…”
“แอน” คำตอบเพียงสั้นๆมาพร้อมกับสายตาที่ไม่ไว้วางใจเช่นเดิม
“คุณพอจะรู้จักชายคนนี้มั้ยครับ”
เดวิดยื่นรูปภาพในมือที่ค้นมาจากฐานข้อมูลให้หญิงชราดู มือเหี่ยวย่นเอื้อมมารับไว้ ก่อนจะเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง เดวิดหันไปสบตากับเจย์ลีน ดวงตากลมดูช่างฝากความหวังไว้ที่หล่อนเหลือเกิน
“เอ็ดงั้นรึ คุณมาตามหาเอ็ดอย่างงั้นหรือ”
“คุณรู้จักเขาหรอครับ”
หญิงชราส่งรูปในมือคืนให้ สายตาหล่อนดูว่างเปล่าผิดกับคนทั้งสองตรงหน้าที่แววตามีความหวังขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เดวิดล้วงเอาปากกาและสมุดคู่กายขึ้นมาทำท่าจะจดบางอย่างลงไป ทว่าคำตอบของหญิงชราทำเอาทุกอย่างที่คิดไว้พังทลายราบเป็หน้ากลอง
“คุณไม่ต้องจดอะไรเกี่ยวกับเขาลงไปหรอก เขาหายไปยี่สิบกว่าปีแล้ว”
เดวิดชะงักทันทีที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ ความหวังอันริบหรี่ในใจเจย์ลีนเองก็เช่นกัน ดวงตากลมที่ดูจะสดใสกลับฉายแววผิดหวังเต็มเปี่ยม หญิงชราก้าวออกมาจากประตูเต็มตัว เธอสวมชุดนอนสีมอ ร่างกายผ่ายผอมจนไม่อาจเดาอายุถูก
“เอ็ดเคยอยู่ที่นี่กับแม่ของเขา สองแม่ลูกนั่นเป็ที่รักของคนแถวนี้กันหมดนั่นแหละ เมื่อก่อนบ้านพวกนี้ไม่ได้ร้างแบบนี้หรอก มีคนอยู่กันเต็มไปหมด แต่ไม่รู้ั้แ่เมื่อไหร่ที่ค่อยๆทยอยย้ายกันออกไป มันคงไม่เจริญเท่าในเมืองมั้งคุณ” หญิงชราเล่าด้วยน้ำเสียงแหบพร่าและดูเศร้าสร้อยในคราเดียวกัน ดวงตาขุ่นมัวทอดมองไปรอบๆราวกับจะบอกว่าเธอเองคิดถึงวันวานเก่าๆเหลือเกิน
“แล้วเอ็ดล่ะครับ เขาย้ายออกไปด้วยหรอ”
“เขาเป็คนแรกที่ออกไปจากที่นี่ แต่มันไม่เหมือนกันหรอกนะ คนอื่นเขาหายไปแบบที่พอจะรู้ว่าไปไหน แต่เอ็ดกับออเดรย์น่ะไม่ใช่แบบนั้น คืนก่อนหน้าที่พวกเขาจะหายไป เรายังย่างบาร์บีคิวกินกันอยู่เลย ตรงนู้นน่ะ” เธอชี้ไปยังกอหญ้าสูงห่างออกไปประมาณสิบกว่าก้าว เดวิดมองดูแล้วมันคงจะเป็ที่สังสรรค์ร่วมกันของคนแถวนี้
“พอเช้ามาเราก็ไม่เจอสองคนแม่ลูกอีกเลย และหลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครรู้ความเป็ไปของพวกเขา มันน่าแปลกที่ทุกอย่างยังอยู่เหมือนเดิม ของของพวกเขาในบ้านก็ตั้งไว้เหมือนกับว่ารอคอยให้เขากลับมา แต่บ้านหลังนั้นก็ถูกทุบทิ้งไปไม่กี่ปีให้หลังที่พวกเขาหายไปนั่นแหละ”
“แล้วไม่มีใครตามหาเขาเลยหรอครับ ไม่มีญาติหรืออะไรเลยหรอ”
“มี เพื่อนเขาก็มาตามหากันให้วุ่น เอ็ดเรียนโรงเรียนในเมืองน่ะ เพื่อนเขาส่วนใหญ่ก็มีเป็พวกมีเงินแบบพ่อหนุ่มคนนี้นั่นแหละ ขับรถดูท่าจะหลายตังค์มาตามหา แต่ก็ผิดหวังกลับไปกันหมดเพราะไม่รู้เลยว่าเขาหายไปยังไง หายไปที่ไหน ไม่ใช่คุณตำรวจคนแรกหรอกที่มาตามหาเขาแบบนี้”
“หมายความว่ายังไงหรอครับ”
“เมื่อปีที่แล้วก็มีตำรวจคนหนึ่งมาตามหาเขานะ แต่ไอ้ฉันเองก็จำไม่ได้หรอกว่าหน้าตาเป็ยังไง รู้แค่ว่าเขาตัวใหญ่แล้วก็สูงมาก เหมือนว่าจะเป็เพื่อนสมัยเรียนน่ะ เห็นเขาว่าอย่างนั้นนะ ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงมีคนอยากเจอนัก แต่ก็ไม่แปลกใจมากนักหรอก”
“เขาเป็เด็กนิสัยดี ขยันขันแข็ง แถมติดแม่มาก ก็เลยได้นิสัยมาจากแม่หมดเลย ฉันยังจำได้รางๆว่าเขาน่ะช่วยเหลือคนแก่ๆในหมู่บ้านไว้ตั้งเยอะ เสียดายที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน คงจะช่วยคุณได้แค่นี้แหละพ่อหนุ่ม”
พูดจบหญิงชราก็เดินเข้าไปในบ้านและปิดประตูทันที ยังไม่ทันที่เดวิดจะได้ถามอะไรต่อ ความสงสัยมีมากมายในหัวเขาเหลือเกิน เดวิดรู้ดีว่าที่หญิงชราพูดนั่นคงเป็เื่จริง เพราะดูแล้วคนอย่างหล่อนคงไม่มีอะไรให้ต้องโกหก แต่ถ้าเขาหายไปแบบนี้ แล้วเขาหายไปไหนกันล่ะ
“เราไปหาที่นั่งคิดก่อนมั้ย ดูคุณจะสับสนมากเลยนะ” เจย์ลีนเอ่ยขึ้น ทั้งที่ตัวเองก็รู้สึกงุนงงไม่แพ้กัน แต่ในเมื่อยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกเช่นนี้ ทางเดียวคือต้องค่อยๆคิดว่าจะเอายังไงต่อคงเป็ทางที่ดีที่สุด
คนหายแบบไหนกันนะที่มีตำรวจมาตามหา
แล้วคนหายแบบไหนกันนะที่จะลงชื่อซื้อของราคาแพงแบบนั้น
เขาเป็ใครกันแน่
ท่ามกลางความเงียบและอากาศที่เริ่มจะเย็นลงจนต้องกระชับผ้าห่มให้แนบตัว ดวงตาคมปิดสนิทอยู่ในห้วงนิทรา โสตประสาทบางอย่างปิดการรับรู้ ทว่ารู้สึกถึงแรงกดลงบนเตียงเหล็กที่เก่าคร่ำครึ ดวงตาคมจึงเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติทันที
“แก”
เสียงแหบพร่าเอ่ยด้วยความตระหนกเมื่อลืมตาขึ้นพบว่าร่างหนึ่งกำลังคร่อมบนตัวเขาอยู่ ความเงาวับฉายเข้าตาพร้อมกับความเย็นเฉียบทาบทับอยู่ที่ลำคอ ปลายมีดแหลมกดลงบนเนื้อให้พอรู้สึกถึงความเจ็บเล็กน้อย ดวงตาสีคุ้นเคยจ้องมองเขม็งพร้อมรอยยิ้มเย็นะเื
“เห็นมั้ยว่าฉันฆ่าแกได้ทุกเมื่อ” มันเอ่ยเสียงต่ำ
“เพราะฉะนั้นอย่าทำอะไรโง่ๆ เขาเป็ของฉัน จำไว้”
ร่างสูงละปลายมีดออกจากลำคอ ก่อนจะถอยตัวลงจากเตียงและหายวับไปในความมืด มันหอบหายใจเข้าทันทีอย่างโล่งอก กัดฟันกรอดด้วยโทสะเล็กน้อย เห็นทีคงปล่อยให้เป็แบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มันรีบขยับตัวลุกจากที่นอนทันทีพร้อมลงฝีเท้าให้เบาที่สุดในชีวิตไปยังชั้นใต้ดินทันที
กลิ่นควันบุหรี่อันคุ้นเคยอบอวลไปทั่วป่าลึก ความมืดมิดในตอนนี้คงต้องบอกว่ามากพอกับความหนาวเย็นจนจูเลียนต้องยกมือขึ้นมาลูบต้นแขนของตัวเองเบาๆ มองคนที่นั่งบนหินก้อนั์ด้วยความไม่เข้าใจ บ้าอะไรมันถึงปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาในเวลานี้กันนะ
“จะเรียกฉันมาฆ่าหรือยังไง” จูเลียนเอ่ยถาม หัวเสียเล็กน้อยด้วยความไม่เข้าใจ
“เห็นฉันพกปืนมาหรือไงล่ะ”
จริงอย่างที่มันว่า เพราะนอกจากมวนบุหรี่ในมือกับกล่องไม้ขีดข้างตัวของมันในตอนนี้ เหมือนจะไม่มีอะไรที่ใช้เป็อาวุธได้เลย แต่ยังไงซะคนที่รู้จักพื้นป่าเป็อย่างดีแถมยังเป็ฆาตกรแบบมัน ไม่มีอะไรที่จะไว้วางใจได้เลยสักนิด
“ทิมยังชอบดื่มไวน์กับพาร์มาแฮมอยู่มั้ย”
จูเลียนตาโตเป็ไข่ห่านทันทีที่ได้ยินประโยคจากปากของมัน ไม่มีทางที่จะมีใครรู้เื่นี้นอกจากคนสนิทของพ่อเลย จริงอยู่ที่ในงานสังคมพ่อมักสังสรรค์พอเป็กระสาย หากแต่นิสัยชอบดื่มไวน์พร้อมกินพาร์มาแฮมเป็ถาดๆนั้น พ่อมักสงวนเอาไว้ทำที่บ้าน กับครอบครัว หรือกับเพื่อนสนิทอย่างอาร็อบแค่นั้น
“แกรู้ได้ยังไง แกเป็ใครกันแน่”
“ไม่จำเป็ต้องรู้หรอกว่าฉันเป็ใคร แต่ในตอนนี้เราสองคนกำลังตกที่นั่งลำบากอยู่ เพราะงั้นฉันกำลังจะขอให้นายช่วยฉัน”
“ฉันจะไปช่วยอะไรแกได้ แกนั่นแหละต้องปล่อยฉันไปเจอพ่อกับพี่ได้แล้ว” ประโยคที่พึ่งเอ่ยนั้นดูโง่เขลาเสียเหลือเกิน ถ้าหากมันจะปล่อยมันก็คงจะให้อิสระ หรือไม่จับเขามาแต่แรก มันขยี้มวนบุหรี่กับหัวรองเท้า ก่อนจะกอดอกและค่อยๆเล่าบางอย่าง
“เหตุผลที่ฉันจับนายมา มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้น ก็คือฉันอยากเป็อิสระ”
“คงจะไม่เข้าใจสินะว่าคนที่ดูเหมือนคุมทุกอย่างอยู่แบบฉันเนี่ย ทำไมยังจะ้าอิสระอะไรอีก ถ้างั้นพร้อมฟังมั้ย ว่าเื่จริงทั้งหมดมันคืออะไร”
“แกอยากจะโกหกอะไรก็เชิญ ฉันมีเวลาฟัง”
มันพยักหน้ารับ ดวงตาของมันที่สะท้อนจากแสงจันทร์นั้นดูเหนื่อยอ่อนระคนลำบากใจ คล้ายกับว่ามันกำลังแบกรับอะไรบางอย่างที่น่าเป็ห่วงเหลือเกิน
“ฉันใช้ชีวิตในป่านี่มาร่วมยี่สิบปี เดิมทีฉันเองก็เคยอยู่ในโลกภายนอกแบบนายนั่นแหละ แต่ฉันคงไม่บอกว่าทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่ ฉันล่าสัตว์เป็อาชีพ ทำมาเรื่อยๆจนวันหนึ่งฉันพบกับทารกคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ในป่า เขาร้องอ้อแอ้ท่าทางหิวเต็มที่ หน้าตาเขาน่ารักน่าชังเหลือเกิน ผมสีแดงตาสีเขียว..."
“แกหมายถึงแฟรงค์งั้นหรอ” จูเลียนเอ่ยถามขึ้นมา มันเพียงพยักหน้ารับและเริ่มเล่าต่อ
“ฉันตัดสินใจเก็บเขามาเลี้ยง ก็คงไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำขนาดจะปล่อยเด็กอายุไม่กี่เดือนให้ตายกลางป่าแบบนั้น เลี้ยงแบบตามมีตามเกิด เดิมทีฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรให้เขาชื่ออะไร เพราะฉันไม่เคยเป็พ่อคน ฉันเจอเขาตอนอายุไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ แต่ฉันก็นึกชื่อออก ฉันเลยให้เขาชื่อว่าแฟรงค์”
“หมอนั่นไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ แต่หัวไวและเรียนรู้เร็วแต่เด็ก ทีแรกฉันคิดอยู่นานเหมือนกัน ถ้าเขาโตขึ้น ฉันควรจะสอนเขาล่าสัตว์ดีมั้ย แต่ฉันก็คิดได้ว่าเขายังเด็กไป ฉันไม่ได้สอนหรอกแต่ก็ไม่ได้ทิ้งเขาไว้คนเดียว เขาเลยตามฉันออกไปทุกครั้งที่เราออกไปล่าสัตว์”
“เขาดูสนใจนะ ไม่สิ เด็กน่ะเนอะ ก็คงตื่นเต้นกับอะไรพวกนี้ ฉันเองก็ดีใจที่ทำให้เขายิ้มได้ ฉันรักเขานะ ทีแรกก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือยังไง ฉันจะเลี้ยงเขายังไงดี ฉันไม่เคยเป็พ่อคน เกือบจะได้เป็นะ แต่ก็ช่างมันเถอะ ฉันเลี้ยงแฟรงค์มาให้ดีที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ บางครั้งก็มีใจร้ายกับเขาบ้าง แต่ฉันเองก็พึ่งเคยเป็พ่อคนครั้งแรก ถึงจะไม่ใช่ลูกฉันจริงๆ แต่ฉันเองก็รักเขาเหมือนลูก”
“ฉันตัดสินใจสอนเขาล่าสัตว์ตอนเขาอายุได้สิบหกปี เพราะฉันคิดว่ามันคงจะถึงเวลาแล้ว แต่ฉันไม่รู้เลยว่ามันคือสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตที่ตัดสินใจแบบนั้น ฉัน…”
มันตะกุกตะกักไปเล็กน้อยก่อนจะหยุดพูดดื้อๆ หันมองไปอีกทางและสูดหายใจเข้าช้าๆก่อนจะเริ่มเล่าต่อ
“ฉันตัดสินใจผิดจริงๆจูเลียน ฉันป้ายสีดำสนิทลงบนผ้าขาวของฉัน ทีแรกเขาดูอยากจะทำมันเพราะช่วยฉันหาเงิน แต่ฉันก็ได้รู้ว่าจริงๆแล้ว เขาทำมันเพราะเขาอยากทำมัน เขาสนุกที่ได้ทำมัน และเขาเพลิดเพลินที่ได้ทำมัน”
“แววตาของลูกฉันมันแปลกไป ทุกครั้งที่เขาได้ทำเขาดูมีความสุข มันไม่ใช่ความสุขที่เราได้ทำกิจกรรมแบบพ่อลูกเขาทำกัน แต่แฟรงค์มีความสุขที่เขาได้เห็นเื ได้เห็นสัตว์พวกนั้นดิ้นรนในลมหายใจสุดท้าย และในที่สุดสิ่งที่ฉันกลัวที่สุดมันก็มาถึง เขาไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่เขาเริ่มมันใหม่ด้วยสิ่งอื่น เขาลองดูกับคน”
จูเลียนเบิกตาโพลงทันทีด้วยความใ มันเป็อะไรที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน จริงอยู่ที่สายตาของแฟรงค์วันนั้นมันชวนขนลุกเหลือเกินแต่เื่ฆ่าคนนั้น หรือว่า…
“ครั้งแรกของเขาฉันเป็คนเอาศพไปทิ้งเอง ลูกเดินกลับมาหาฉันที่กระท่อมพร้อมมือเปื้อนเื เสื้อเขาเต็มไปด้วยเื ดวงตาเขาเหม่อลอยแต่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเสียยิ่งกว่าตอนล่าสัตว์ ใจฉันมันสั่นไปหมด ฉันรีบให้เขาพาไปตรงนั้นที่เขาทำ ฉัน ฉันเห็นแล้วแทบจะยืนไม่อยู่ เด็กผู้หญิงคนนั้นยังเด็กกว่าแฟรงค์เสียด้วยซ้ำ ฉันไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่เอาศพไปทิ้งหวังว่าจะไม่มีคนเจอ แต่แล้วก็มีจนได้”
“เขาไม่หยุดแค่นั้น แฟรงค์ไม่ได้หยุดแค่ศพแรก ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไง ในใจได้แต่โทษตัวเองว่าถ้าฉันไม่สอนเขา เขาอาจจะไม่ได้เป็แบบนี้ ฉันทำทุกอย่าง ทั้งคุยกับเขา แต่เขาไม่ใช่อีกแล้ว เหมือนเป็ใครที่ฉันไม่รู้จัก ฉันพยายามล่ามโซ่เขาไว้กับเตียงตอนกลางคืน แต่มันก็ไม่ได้ผล”
“จนฉันเห็นนาย ฉันรู้ดีว่านายเป็ใคร ทีแรกฉันก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่นายเหมือนแคลร์ เหมือนแม่มากๆ ฉันเลยนึกออกทันทีว่าทิมต้องช่วยฉันได้ แต่มันเหมือนกับว่าฉันกำลังเอานายมาลำบากด้วย เพราะฉันไม่รู้เลยว่าแฟรงค์จะรู้เื่นี้ตอนไหน เขาฉลาด เขารู้หมดว่าฉันพยายามทำอะไร”
“ทำไมคุณถึงไม่เอาเื่นี้ไปบอกตำรวจ” จูเลียนตัดสินใจเอ่ยถามออกไปหลังปล่อยให้มันพรั่งพรูอยู่นานสองนาน แววตาของมันช่างดูสับสนแบบที่พูดจริงๆ
“เพราะเขาเป็ลูกฉัน ฉันคิดแค่ว่าฉันจะเปลี่ยนเขาได้ ถ้าหากเป็คนอื่นที่ฉันไม่ได้เลี้ยงมาั้แ่เด็กฉันคงไม่ปล่อยไว้ แต่กับแฟรงค์มันต่างกันออกไป”
“แต่เขาคือฆาตกร ไม่ว่าจะใครเขาก็คือฆาตกร”
มันถอนหายใจด้วยความหนักอก ดวงตาหลุบต่ำมองพื้นดินอย่างคนคิดไม่ตก จูเลียนเองก็สับสนจนแทบเรียบเรียงอะไรไม่ถูกเช่นกัน ที่คิดไว้มันไม่ถูกเลยสักนิด ความเป็จริงมันหนักหนาเสียยิ่งกว่า จูเลียนเข้าใจดี แต่ตอนนี้คงต้องหาทางออกให้เจอ ไม่อย่างนั้นหากแฟรงค์รู้ขึ้นมา คนที่จะต้องตายคงไม่พ้นทั้งเขาและมัน
“ฉันจะช่วยเอง แต่ฉันขอถามอะไรอย่างหนึ่ง”
“นายยอมช่วยฉัน ฉันจะตอบทุกอย่างที่นายอยากรู้ ทุกอย่างจริงๆ”
“แกชื่ออะไร”
คำถามดูช่างแปลกประหลาด หากแต่สิ่งเดียวั้แ่มาที่นี่ จูเลียนไม่เคยรู้เลยว่าคนตรงหน้าเป็ใคร ชื่ออะไร และถ้าหากเขากำลังโดนมันปั่นหัวล่ะก็ อย่างน้อยหากหาทางหนีทีไล่ได้ เขาคงมีโอกาสได้บอกตำรวจว่ามันเป็ใคร
“ฉันชื่อเอ็ด เอ็ดวิน สมิธ”