“นี่...นี่...” สมองหลิวเหิงขาวโพลนจนเกลี้ยง แข้งขาอ่อนเผละ กลัวลนลานจนลงไปคุกเข่าจ๋องอยู่กับพื้น เขาตัวสั่นงันงก
เ่ิูสองมือกอดอก ไม่มองให้เสียลูกตาแม้แต่แวบเดียว
“น้องเย่ เ้าอภัยให้ข้าเถอะนะ...” ปัญหาย่อมเป็กรรมติดตัวของผู้ก่อ หลิวเหิงจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ชนด้านข้างเด็กหนุ่มเหมือนสุนัขที่กลัวจนหางสั่นระริก
เ่ิูยังคงเงียบไม่ปริปาก
เขาหันไปมองรูปปั้นหทัยเทพสังหารซิวลัวที่ตนเพิ่งจุดประกายไปอีกครั้ง
ปรารถนาของซิวลัว ตลอดมาล้วนคือแยกแยะบุญคุณและความแค้นออกจากกัน ไม่อ่อนแอขี้ขลาดตาขาว ทุกคนย่อมต้องชดใช้ในสิ่งที่ตนได้กระทำ หากเพียงหลิวเหิงมาดึงรั้ง พร่ำคำร้องขอไม่กี่คำแล้วใจอ่อนปล่อยไปง่ายๆ นั่นเท่ากับว่าไม่สอดคล้องกับหทัยวรยุทธ์ของตัวเขา
“นี่...น้องเย่ ถ้าเ้าปล่อยข้าไป จากวันนี้ไป ข้อมูลหรือค่าใช้จ่ายอะไรก็ตามที่เ้าใช้ในการฝึกทั้งสี่ปี ข้าจักรับผิดชอบมันด้วยความยินดี ข้ารับรอง...” หลิวเหิงร้อนใจนัก เขากลัวจนไม่ดูดายกับการต้องขูดเืขูดเนื้อตัวเอง ถึงได้เสนอเงื่อนไขนี้ไป
เ่ิูฟังแล้วก็ส่ายหัว “ข้าจะไม่คบค้าสมาคมอะไรกับเ้าทั้งนั้น ข้าไม่้าเหยียบย่ำเงินสกปรกของเ้า เพื่อเดินบนทางสายยุทธ์หรอก”
หลิวเหิงชะงักกึก
เขาไม่นึกเลยว่าเ่ิูจักเป็พวกไม่เอาทั้งไม้อ่อนไม้แข็งเยี่ยงนี้
“ข้าเอ่ยไปแล้ว ว่าจักทำให้เ้าคุกเข่าแทบเท้าข้า” ใบหน้าเขาปรากฏรอยยิ้ม
ครั้นเห็นหลิวเหิงทำท่าจะก้มลงคุกเข่าแทบเท้าเขาอย่างสั่นๆ เข้าจริงๆ ก็เดินหลีกไปอีกทาง แล้วว่าต่อ “แต่ว่านะ ถึงเ้าจะสยบแทบเท้าข้าอยู่ตอนนี้ ข้าก็ไม่กลับไปเข้าสอบด่านเืลมปราณหรอก นอกจากจะไม่อยากทำตัวจอมปลอมใส่คนอย่างเ้าแล้ว ที่สำคัญกว่าก็คือ ข้าคิดว่าคนอย่างเ้า ไม่เหมาะกับการเป็อาจารย์สำนักกวางขาว หากเก็บเ้าไว้ พวกคนจนทั้งหลายก็อาจกลายเป็เหยื่อการกระทำของเ้าอีก”
หลิวเหิงหน้าแข็งทื่อ เขียวข้างแดงข้าง
เขารู้ดีว่าวันนี้ไม่ว่าตนจะทำสิ่งใด เด็กคนนี้ก็ไม่มีทางยอมประนีประนอมด้วยเด็ดขาด
“อย่าทำให้เื่มันใหญ่เลย” หลิวเหิงกัดฟัน สีหน้าเริ่มดุร้ายขึ้นมา ส่วนลึกในดวงตาวาวอาฆาต เขาว่าเสียงต่ำสนิท “สุดท้ายข้าก็คือคนของบ้านตระกูลหลิว มีเื่ใดกักเก็บไว้ วันหน้าได้เห็นดีกัน”
“ข้าคนนี้ ชอบทำเื่ให้มันเถรตรงที่สุด” เ่ิูเน้นหนักทุกถ้อยคำ
และในยามเดียวกันนี้เอง ณ อีกด้านหนึ่ง
ข่งคงได้ทราบเื่ราวทั้งหมดจากปากลูกศิษย์
ั์ตาของอาจารย์หลักผู้นี้เรืองรองด้วยโทสะ ประดุจคมดาบกรีดฉับลงบนกายหลิวเหิง เขาตวาดลั่น “ตัวเป็ถึงอาจารย์ ได้รับบุญคุณเป็การอบรมศึกษาจากสำนึก แทนที่จะเสาะหาผู้มีพร์ กลับมาทำลายการสอบตามอารมณ์ตัวเอง เกือบทำให้สูญเสียอัจฉริยะ ผิดร้ายแรงไม่อาจให้อภัย ไปลาออกซะ!”
หลิวเหิงเหมือนถูกสายฟ้าฟาด เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว รีบเผยอปากว่า “ใต้เท้าข่ง ข้ารับใช้สำนักนี้มาสามสิบกว่าปี แม้ไร้ผลงานแต่ก็มีความอุตสาหะ ข้า...”
“ไปให้พ้น!” ข่งคงคำรามพลังน่าหวาดหวั่นเอ่อท่วม
หลิวเหิงตกตะลึงเหมือนิญญาหลุดออกจากร่าง
ชะตาชีวิตเขา ถูกพิพากษาตัดสินไปในพริบตา
ข่งคงหันเหไปหาเ่ิู สีหน้าเดือดพล่านและจริงจังพลันอ่อนลงเป็รอยยิ้มอบอุ่น “เ้าทำได้ไม่เลว หากเมื่อครู่เ้าให้อภัยเขา ข้าคงผิดหวังในตัวเ้า ใจของจอมยุทธ์ต้องยืนหยัด แยกแยะบุญคุณความแค้นจึงจักเข้าใจหทัยตัวเองได้ หากเ้ายกโทษให้เขาเพราะคำอ้อนวอนไม่กี่คำ ก็เท่ากับเป็ทำให้ความปรารถนาของเทพาซิวลัวต้องผิดหวัง อนาคตวันข้างหน้า ย่อมจะมีขีดจำกัดแน่”
เ่ิูรู้ดี อาจารย์หลักผู้สูงส่งท่านนี้กำลังใช้ปัญหานี้เป็โอกาสแนะแนวทางแก่เขา เขาขอบพระคุณจากใจจริง ค้อมกายเคารพ ก่อนตอบกลับไป “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ข่งที่ชี้แนะผู้หลงทาง”
สำนักกวางขาวสามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองลู่ิมาหลายสิบปี มีแนวทางเป็ของตัวเอง และไม่เคยร้างราอาจารย์วิชายุทธ์ที่ดีทั้งกายและใจ
“ผลสำเร็จของเ้ามากพอจะเข้าสำนักกวางขาวได้แล้วนะ ถึงจะไม่ทดสอบด่านเืลมปราณนั่นก็ช่างหัวปะไร กลับไปเตรียมตัวเสียเถิด มารายงานตัวพรุ่งนี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
ข่งคงทิ้งท้าย พินิจป้ายชื่อของเ่ิูด้วยตัวเอง หันไปกำชับกำชากับอาจารย์คนข้างๆ ไม่กี่ประโยค แล้วจึงหันเดินจากไป
เวลาเดียวกันนี้เอง ประชาชนลูกเด็กเล็กแดงล้วนแต่เดือดระอุจนคุมไม่อยู่
สอบได้ห้าด่านก็ได้อาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่อนุมัติให้เข้าสำนักได้ด้วยตัวเอง เกิดเพียงครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เพียงแค่นี้เ่ิูก็ดังในชั่วข้ามคืนแล้ว
และอาจคิดได้ว่า ข่าวนี้ รวมถึงทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ กำลังติดปีกบินไปเผยแพร่ด้วยความเร็วสูง สู่ทุกหัวระแหงของเมืองลู่ิ
เ่ิู ตัวตลกที่ทั้งตาขาวและถูกเยาะเย้ยเหยียดหยามสารพัดมาตลอดสี่ปี ในที่สุดก็พุ่งทะยานแล้วสินะ?
สี่ปีไม่กู่ร้อง กู่ร้องครั้งเดียวทำคนกลัวเกรียวไปทั้งชาติงั้นหรือ?
...
...
รัตติกาลผันผ่านมาถึง
แสงสลัวๆ ของโคมไฟข้างทาง ส่องเห็นร่างคนกำลังเดินอย่างเชื่องช้า
“แปลกจริง ทำไมท่านอาจารย์ข่งไม่ให้ข้าไปทดสอบเืลมปราณกันนะ?” เ่ิูคาบใบไม้แห้งๆ ไว้ในปาก มือกอดอกตัวเอง เขาเดินเตร็ดเตร่ไม่มีจุดหมายเป็พิเศษ
คฤหาสน์ประจำตระกูลก็ถูกขายทิ้งไปแล้ว ตัวเขาก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ไม่จำเป็ต้องมีการเตรียมตัว รอจนถึงเวลาเช้าพรุ่งนี้แล้วค่อยไปรายงานตัวก็พอแล้ว
บททดสอบหกด่านแต่กลับเข้าร่วมแค่ห้า ถึงผลทดสอบทั้งห้าด่านนั้นจะอยู่ขั้นสูงสุดทั้งหมดก็ตามที แต่การเรียงลำดับชื่อตอนท้าย เขาต้องไร้ทางเป็หนึ่งในยี่สิบเป็แน่ ถึงลำดับชื่อตอนนี้จะเป็เพียงผลการสอบเข้าเรียน ไม่มีมอบรางวัลอะไรให้ ทว่าก็ยังเป็หลักฐานอ้างอิงระดับพลังอยู่ดี
เ่ิูยังอยากเข้าสอบครบหกด่านอยู่ คว้าผลการสอบที่หนึ่งในรายชื่อในคราวเดียวนะ
“หรือท่านอาจารย์ข่งจะเป็ห่วง ว่าหากการแสดงออกของข้ามันโดดเด่นเกินไป กลัวว่าหากเด่นเกินไปก็จะเป็ภัยให้แก่ตนเอง?”
เ่ิูสันนิษฐานมาถึงตรงนี้อย่างกำกวม
เขาคิดว่าท่านอาจารย์หลักข่งผู้นี้ ดูจะเอาใจใส่เขามากเป็พิเศษ
ความเอาใจใส่นี้มิใช่เพียงเพราะเขาแสดงออกเป็ฟ้าประทานสูงสุด ทว่าก็เหมือนกับผู้ใหญ่เป็ห่วงบุตรหลานด้วยเช่นกัน
แต่ปัญหาก็คือ เ่ิูมั่นใจยิ่งว่าตนเพิ่งพบหน้าอาจารย์หลักท่านนี้เป็คราแรก
ในใจคิดสับสนและปนเป เด็กหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลุมศพบิดามารดาโดยไม่รู้ตัว
สี่ปีล่วงเลยมา หลุมดินเล็กๆ แห่งนี้ คือจุดยืนเดียวของเ่ิูภายในเมืองนี้ เขาเหยียดกายลงนอนบนพรมหญ้าตามใจชอบ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนจางของต้นหญ้าเขียวชอุ่ม...
ทุกอย่างของที่นี่คือความคุ้นเคยเช่นตอนนี้ รั้งให้เ่ิูสุขใจยิ่งนัก
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ลูกชายของพวกท่านทำสำเร็จแล้วนะขอรับ พรุ่งนี้ก็ต้องเข้าสำนักกวางขาวแล้ว ฮะๆ ข้าเคยบอกพวกท่านแล้ว ว่าข้าคืออัจฉริยะ ที่ผู้เฒ่าหนวดขาวพูดตอนนั้นไม่ผิดเลย ข้าทำให้คนทั้งลู่ิตะลึงได้จริงๆ”
เ่ิูระบายรอยยิ้มพึงใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าจะเรียนจบจากสำนักนี้ให้ไวที่สุด ไปจากที่นี่ เปิดเผยความลับของตรา ไปหาสิ่งที่เกี่ยวพันกับข้าในราชสำนักอาณาจักรเสวี่ยตามคำสั่งเสียของพวกท่าน”
“ไม่มีสิ่งใดขัดขวางข้าได้...”
“ความลับของตราวีรบุรุษที่พวกท่านพูดถึง ข้ายังหามันไม่พบ แต่ข้าจะหามันได้ในไม่นานนี้แน่ พวกท่านวางใจเถอะ ข้าจะบรรลุสิ่งที่จารึกไว้ในนั้นให้หมดทุกอย่าง...”
“แน่นอนว่า เื่ที่เกิดขึ้นตอนพวกท่านทำาปกป้องเมืองในยามนั้น แม้พวกท่านจะไม่พูด แต่ข้ารู้ดี การตายของพวกท่านจะไม่จบลงง่ายๆ แบบนี้ ข้าสาบาน ข้าจะสืบเสาะให้กระจ่างจนกว่าจะรู้ความจริง”
ยามมองฟากฟ้า ห้วงความคิดของเ่ิูก็เอ่อท้นด้วยหลายสิ่งหลายอย่าง
เขาพูดเจื้อยแจ้ว ราวกับบิดามารดายังมีชีวิต และกำลังรับฟังอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบๆ
ท้องนภายิ่งดึกยิ่งเข้มขึ้น
ทว่าไฉนเ่ิูถึงยังนอนไม่หลับกัน
เขานั่งขัดสมาธิลวกๆ สองมือวางทาบจุดตันเถียน จากปลายสุดของลิ้นสู่กราม ดวงตาสู่จมูก จมูกสู่ดวงใจ ใจรวมเป็หนึ่ง พลันเหมือนกับพระอาจารย์นั่งสงบนิ่งไม่ขยับอย่างนั้น ราวกับบรรเลงทำนองแปลกประหลาด เขาสูดลมหายใจเข้าออก
ตอนเริ่มต้นก็ไม่มีอะไรน่าแปลก
แต่เมื่อหลังสิบครั้ง ลมหายใจของเ่ิูอ่อนโยนและยาวนานขึ้น ชัดเจนว่าไร้อากาศใดเคลื่อนไหว แต่ต้นหญ้าเขียวล้อมกายเขาไปหนึ่งจ้างกลับไหวเอนราวกับมีชีวิต โบกโบยขึ้นลงดุจคลื่น ราวกับสรรเสริญราชันอยู่ก็มิปาน
กระแสอุ่นท่วมท้นในร่างเ่ิู
เ่ิูกำลังคิดตามจังหวะลมหายใจของตัวเอง ไม่หยุดการนำอากาศสดใหม่จากภายนอกเข้าสู่ภายใน หลังจากนั้นก็ขับความโสมมในร่างออกมากับลมหายใจออก
นี่ก็คือวิชาลมหายใจไร้ชื่อที่บิดาพร่ำสอนแก่เขา
ั้แ่เขาจำความได้ บิดาที่เป็จอมยุทธ์ ยังไม่เคยสั่งสอนกระบวนยุทธ์ฝึกวิชาใดแก่เขาเลย ทว่ากลับร้องขอให้เขาฝึกวิชาลมหายใจนี้ทุกอรุณรุ่ง กลางวันและกลางคืน ทำสมาธิหนึ่งชั่วโมงเต็ม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามขาดตอนเป็อันขาด
ภายหลังเมื่อบิดามารดาสิ้นชีพในาปกป้องเมือง เ่ิูเศร้าโศกยิ่งนัก แต่เพราะเชื่อฟังคำสั่งเสียสุดท้ายของพ่อแม่ เขาถึงยืนหยัดฝึกฝนวิชาลมหายใจไร้ชื่อนี้เรื่อยมา
วิชานี้ ราวกับมิใช่ทั้งวิชากลโกงหรือวิชาเคล็ดลับพลัง
เ่ิูฝึกฝนมาเนิ่นนานเพียงนี้ กลับรู้สึกเพียงว่าพลังเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง ร่างกายแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย นอกเหนือจากนี้แล้ว ก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ
ในใจเขาคิดคาดการณ์ อย่างไรก็ไม่ใช่วิชาภูตผีปีศาจอะไรเทือกๆ นั้นแน่
แต่วันนั้นเมื่อหลายปีก่อน เ้าสำนักของสำนักกวางขาว พบปะกับเ่ิูที่เพิ่งเสร็จสิ้นกระบวนวิชาหายใจนี้หมาดๆ โดยบังเอิญ ไม่รู้ไปเห็นอะไรเข้า ถึงได้ตกอกใจนอุทานดังสนั่น ว่าตนพบสุดยอดฝีมือเข้าให้แล้ว
คำอุทานที่ไร้แก่นสารเผยแพร่ออกไป ทำให้เ่ิูต้องฟันฝ่าคลื่นลมมหาศาลกว่าจะมาถึงจุดนี้
แม้ภายหลังเ้าสำนักผู้นั้นจะรู้คำทำนายที่ผิดพลาดมหันต์ของตน ไม่สบายใจจนชดเชยบางสิ่งกับเ่ิูอย่างลับๆ แต่นั่นมันก็แค่เื่ของอดีต
ใต้นภานี้ เวลาไหลเวียนอยู่ทุกๆ วินาที
เ่ิูทำสมาธิหายใจได้หนึ่งชั่วโมงก็ยกเลิก เขานอนเหยียดยาวอยู่บนผืนหญ้าแล้วหลับใหล
...
...
ขณะเดียวกันกับที่เ่ิูเข้าสู่ห้วงนิทราในทุ่งหญ้าบนหลุมศพของบิดามารดานั้นเอง งานเลี้ยงกลุ่มเล็กๆ เฉลิมฉลองกันด้วยการกินก็เกิดขึ้นในเขต ‘แดนเทพประทับ’ ของศิษย์ปีสี่สำนักกวางขาว
‘แดนเทพประทับ!’
คฤหาสน์ที่มองภายนอกเป็คฤหาสน์หลังเดี่ยวเก่าแก่ คือสถานที่ส่วนบุคคลที่โดดเด่นและสูงส่งที่สุดของเขตปีสี่
มันถูกอภินันทนาการสร้างจากบรรดาชนชั้นสูงสมัยก่อน เพื่อดึงดูดและสั่งสอนเหล่าศิษย์ชั้นสูงที่ฉายแววที่สุด และยังเป็อีกทางเพื่อสร้างเส้นสายและขยายขนาดวงสังคมตัวเอง
ต่อมาเหล่าศิษย์ตระกูลชั้นสูงทั้งหลายเรียนจบ ‘แดนเทพประทับ’ ก็ถูกสืบทอดยาวนานมาจนปัจจุบัน มีเพียงคนชั้นสูงโดยสายเื และอัจฉริยะขั้นเยี่ยมยุทธ์ มีผลงานเข้าตาเท่านั้นจึงจะมีภาษีพอเข้ามาที่นี่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้