ที่แท้ นี่ก็คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของแคว้นหลัวเหมิน เกรงว่าจะเป็เพราะอยากได้ดินแดน คนที่พวกเขาคัดออกมานั้นน่าจะเป็ผู้กล้าในหมู่ผู้กล้า การแข่งขันครั้งนี้ มีความเป็ไปได้อย่างมากว่าแคว้นจีนจะเป็ฝ่ายพ่ายแพ้
“แคว้นหลัวเหมินนั้นเป็แขก เ้าบ้านย่อมต้องแล้วแต่แขก ในเมื่อผู้เป็แขกสนใจจะท้าดวล เช่นนั้นแคว้นจีนของเราจึงได้แต่ตอบรับตามมารยาทแล้ว” กู้จวิ้นเฉินลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าทูตของแคว้นหลัวเหมิน
เด็กหนุ่มสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเิเ กับหนุ่มใหญ่สูงสองร้อยเิเ การเปรียบเทียบเช่นนี้ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย ทว่ายังดีที่ฉีอ๋องนั้นมีบุคลิกท่าทางที่สูงส่งไม่ธรรมดาสามัญ เมื่อทั้งสองคนยืนอยู่ด้วยกันจึงไม่ได้ถูกข่มให้ดูด้อยกว่า
ทูตของแคว้นหลัวเหมินนั้นรู้ว่ากู้จวิ้นเฉินเป็ใคร ต่อให้เป็ผู้ที่ไม่รู้จักเขา ก็รู้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ เขาเป็ผู้ที่สูงส่งที่สุดในบรรดาองค์ชายของแคว้นจีน ไม่เพียงเพราะบิดาของเขาคือไท่จื่อเยี่ยน แต่ด้วยคนที่อยู่เื้ัของคนผู้นี้ คนผู้นี้ ต้นตระกูลของเขานับขึ้นไปสี่รุ่นล้วนถือกำเนิดจากสายภรรยาเอกทั้งสิ้น
อย่างเช่นองค์ชายใหญ่ แม้ว่าเขาจะเป็บุตรชายแท้ๆ ของจ้าวหนิงฮ่องเต้ แต่มารดาผู้ให้กำเนิดเขาถือกำเนิดเป็บุตรีอนุภรรยา ทั้งยังเป็เพียงกุ้ยเฟยคนหนึ่ง ตำแหน่งกุ้ยเฟยนี้ ก็ยังคงถือว่าเป็การถือกำเนิดจากอนุภรรยาอยู่ดี ต่อให้เืที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขาเป็เืของเชื้อพระวงศ์ ก็เปลี่ยนแปลงเือันต่ำต้อยอีกครึ่งหนึ่งในกายเขาไม่ได้ อนุภรรยา ก็เทียบเท่าได้กับสาวใช้นั่นแหละ อย่างเช่นองค์ชายรอง เขาเป็บุตรชายของจ้าวหนิงฮ่องเต้กับภรรยาเอกก็จริง แต่องค์ฮองเฮาก็มิใช่บุตรีที่กำเนิดมาจากสายเืตรงอยู่ดี กระทั่งการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ยังเป็ไปอย่างยากลำบากและเสี่ยงอันตรายยิ่ง
ส่วนด้านองค์ชายสามยิ่งไม่ต้องพูดถึง บุตรชายของเจาอี๋
ทว่ากู้จวิ้นเฉินนั้นต่างกับพวกเขา บิดาคือไท่จื่อเยี่ยน มารดาคือคุณหนูใหญ่แห่งสกุลอวี๋ คนหนึ่งเป็บุตรชายในภรรยาเอกคนโต คนหนึ่งเป็บุตรีในภรรยาเอกคนโต ท่านตาของเขาแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋และท่านยายอวี๋เหล่าไท่ไท่ทั้งสองท่านก็เป็บุตรธิดาในภรรยาเอก เสด็จปู่และเสด็จย่าของเขาก็เป็บุตรธิดาในภรรยาเอกเช่นเดียวกัน ฮองเฮาในประวัติศาสตร์ล้วนคัดเลือกมาจากบุตรีในภรรยาเอกทั้งสิ้น
ภูมิหลังเช่นนี้ เป็ลูกหลานที่เกิดจากสายภรรยาเอกในเมืองหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย
ดังนั้นทูตที่มาเยือนแคว้นจีนจึงต่างจับตามองฉีอ๋องผู้ซึ่งไม่ได้เป็พระโอรสในจ้าวหนิงฮ่องเต้
“ฉีอ๋องพูดจามีเหตุผล หลังจากที่เ้าบ้านตามใจแขกแล้ว แขกย่อมตามใจเ้าภาพ ไม่ทราบว่าฉีอ๋องคิดจะเดิมพันด้วยสิ่งใด?” ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินเอ่ยถาม
“ข้าไม่ต้องเสียกำลังทหารอันใด ในการแข่งขันอีกสักครู่ แคว้นหลัวเหมินชนะแคว้นจีนของเราไปกี่เมือง ข้าจะคว้าเอาเมืองคืนมาจำนวนเท่านั้น ท่านทูตเชื่อหรือไม่?” กู้จวิ้นเฉินถาม
ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินหรี่ตาลง เ้าเด็กหนุ่มคนนี้พูดจาวางโตนัก “ได้ หากเ้ามีปัญญาเอาคืนไป ข้ายื่นให้ก็เป็พอ”
“ท่านทูตพูดเช่นนี้ไม่มีหลักฐาน หากฮ่องเต้แคว้นหลัวเหมินไม่เห็นด้วยเล่า?” กู้จวิ้นเฉินย้อนถาม
ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินหัวเราะเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง “ตราประทับของฮ่องเต้แคว้นหลัวเหมินอยู่ที่นี่แล้ว ก่อนออกเดินทางจากแคว้นหลัวเหมิน ฮ่องเต้ได้กำชับให้ข้ามีอำนาจรับผิดชอบเต็มที่ในการมาครั้งนี้ ข้าคิดว่าถ้าข้ากลับคำ ข้าย่อมหนีออกไปจากวังหลวงที่มีทหารรักษาการณ์แ่าเช่นนี้ไม่รอดเป็แน่”
“เช่นนั้น เราจัดทัพกันเป็เช่นไรเล่า?” กู้จวิ้นเฉินกล่าวขึ้นอีก “ขออัญเชิญตราประทับแผ่นดินของฝ่าาแคว้นเราและฝ่าาแคว้นท่านมาเป็ประธาน ท่านและข้าต่างจัดทัพ หากข้าไม่ต้องเสียทหารแม้แต่คนเดียว ข้าสามารถหยิบเอาเมืองที่ข้า้าได้ หากท่านไม่ยอมรับ เช่นนั้นก็ต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่ และแคว้นของท่านไม่มีสิทธิ์มาทวงคืน”
ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความชั่วร้าย ดวงตาทั้งของเขาที่จ้องมองกู้จวิ้นเฉินเต็มไปด้วยความโเี้
เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบที่ต้องผ่านเื่ราวความเป็ความตายและการจากลาชั่วชีวิต ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายยิ่งกว่านั้นก็ไม่มีความรู้สึกอันใด “หากข้าทำไม่ได้ ข้าจะยกชีวิตให้ท่าน”
“จวิ้นเฉิน” จ้าวหนิงฮ่องเต้ตกตะลึง
“ฮ่าๆๆ...” ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินหัวเราะเยาะเย้ย “ข้าจะ้าชีวิตของหนุ่มน้อยเช่นเ้าไปเพื่อประโยชน์อันใด? หากเ้าทำไม่ได้ ข้าจะยึดดินแดนอีกห้าเมือง ฝ่าาทรงเห็นว่าเป็เช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ช่าง ช่างเป็คำพูดที่กำเริบเสิบสานยิ่งนัก
มือทั้งคู่ของจ้าวหนิงฮ่องเต้กำแน่นส่งเสียงกร๊อบดังสนั่น “ได้” เขาเชื่อมั่นในตัวของกู้จวิ้นเฉินว่าไม่ได้เป็คนไม่รับผิดชอบ และ เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองทั้งห้าเมืองแล้ว เกียรติของแคว้นจีนและชีวิตของฉีอ๋องสำคัญกว่า
จากนั้น ทุกคนจึงไปที่สนามแข่งขัน
ทว่าก่อนหน้าที่จะไปสนามแข่งขัน กู้จวิ้นเฉินได้พูดกับพ่อบ้านกู่ที่อยู่ข้างกายหลายประโยค ต่อมาพ่อบ้านกู่จึงได้ออกไปจากที่นั่น ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินจ้องมองกู้จวิ้นเฉินตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่ากู้จวิ้นเฉินมีดีอะไร แต่ตัวเขามั่นใจในตนเองเต็มร้อยเช่นกัน
สนามแข่งขันในวังหลวงเดิมทีกว้างใหญ่อยู่แล้ว แต่ยามนี้ ขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปและครอบครัวต่างอยู่ที่นี่ ทำให้สนามแข่งขันถูกเบียดเสียดจนเล็กไปถนัดตา และเพราะการจัดงานครั้งนี้ทั้งสนามแข่งขันจึงถูกประดับประดาด้วยโคมไฟจนสว่างไสวราวกับเป็เวลากลางวัน
ผู้เข้าแข่งขันทั้งห้าของแคว้นหลัวเหมินปรากฏกายขึ้น ทำให้ดวงตาของทุกคนต่างเบิกกว้าง ไม่ใช่เพราะพวกเขานั้นเป็ที่ดึงดูดสายตา แต่เป็เพราะพวกเขาเป็คนรูปร่างสูงใหญ่ราวกับั์สี่คนและคนแคระหนึ่งคน ดังนั้นจึงทำให้เป็ที่น่าจับตามองจากทุกคน
หากจะพูดว่าในยามนี้ท่ามกลางผู้คนมากมายในวังหลวงของแคว้นมียอดฝีมือที่มีวรยุทธ์สูงที่สุดอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือจ้าวหนิงฮ่องเต้เอง เขาออกมาจากกองทัพ อยู่ในกองทัพมายาวนานยี่สิบกว่าปี วรยุทธ์ของเขานั้นสูงส่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สู้ตัวเขาในวัยหนุ่มไม่ได้ อีกทั้งเมื่อถอนตัวจากกองทัพแล้วมีโรคภัยไข้เจ็บติดตัวมาไม่น้อย แน่นอนว่าฮ่องเต้เข้าร่วมการแข่งขันไม่ได้ เช่นนั้นยังมีอีกคนหนึ่ง ศิษย์ของยอดฝีมืออันดับหนึ่งในกาลก่อน จวิ้นอี
“ไปเถิด ไปเล่นกับพวกเขาสักตั้ง แพ้ชนะไม่สำคัญ แต่การได้ััถึงวรยุทธ์ของพวกเขาต่างหากที่สำคัญที่สุด” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ” จวิ้นอีเหินข้ามไปบนเวที
ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินเลิกคิ้ว “ได้ยินว่าฉีอ๋องมีองครักษ์ติดตามเป็เงาตามตัว มีอาจารย์เป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้น เป็ผู้นี้ใช่หรือไม่?”
“พวกเราแคว้นจีนมีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า บุ๋นไม่มีที่หนึ่ง บู๊ไม่มีที่สอง แต่คำพูดที่ว่าบู๊ไม่มีที่สองนั้นต้องผ่านการเปรียบเทียบจึงจะรู้ได้ และยอดฝีมืออันดับหนึ่งที่ท่านกล่าวได้ตายไปแล้ว ดังนั้นจะเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งหรือไม่ คงเป็ปริศนาไปตลอดกาลแล้ว” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
“ฉีอ๋องถ่อมตนเกินไปแล้ว” ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินเข้ามากระซิบข้างหูกู้จวิ้นเฉินแล้วกล่าวอีกว่า “ท่านอ๋อง เคยคิดหรือไม่ที่จะชิงบัลลังก์คืนมา เป็ฮ่องเต้แคว้นจีน?”
กู้จวิ้นเฉินหรี่ตา อาจจะเป็เพราะไม่เคยมีเคยมาถามเขาต่อหน้าว่า ‘อยากเป็ฮ่องเต้หรือไม่?’ แต่การแสดงออกของคนจำนวนมากก็คือใช่ ฉีอ๋องอยากเป็ฮ่องเต้หรือไม่น่ะหรือ? กู้จวิ้นเฉินไม่เคยคิดว่าจะเป็ฮ่องเต้หรือไม่ แต่กู้จวิ้นเฉินรู้ว่า เขาจำเป็จะต้องเป็ฮ่องเต้ เพราะเื้ัเขาเกี่ยวพันกับชีวิตของคนมากมายเกินไป
แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอยากเป็หรือไม่คิด เขาย่อมไม่มีวันแสดงท่าทีออกมา
ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินถามเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หยั่งเชิงหรือ? มีคนให้เขามาหยั่งดูท่าทีหรือ? ในเมื่อเป็เช่นนี้ กู้จวิ้นเฉินจึงพยักหน้าเสียเลย “แน่นอน ท่านทูตอยากช่วยเหลือรึ?”
ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินคาดไม่ถึงว่ากู้จวิ้นเฉินจะตอบอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ น้ำเสียงที่พวกเขาใช้พูดคุยกันนั้นเบายิ่ง แต่ต่อให้เสียงเบามาก กู้จวิ้นเฉินไม่เกรงกลัวว่าเขาจะพูดเื่นี้ออกไปหรือไร?
“ท่านจะพูดออกไปหรือไม่ สำหรับเปิ่นหวางแล้วนั้นไม่สำคัญแม้แต่นิดเดียว” กู้จวิ้นเฉินกล่าว
ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินขมวดคิ้ว
“ท่านก็เข้าใจสถานการณ์ของราชสำนักแคว้นจีนในเวลานี้ดี ไม่ว่าข้าจะยอมรับหรือไม่ทุกคนต่างก็คิดเช่นนั้น?” กู้จวิ้นเฉินถาม
ทูตแห่งแคว้นหลัวเหมินสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ เด็กหนุ่มผู้นี้ เขากลับมองเขาไม่ออก ไม่เสียแรงที่เป็บุตรชายของไท่จื่อเยี่ยน องค์รัชทายาทผู้ปรีชาสามารถไร้เทียมทาน วีรบุรุษแห่งแคว้นจีนที่จากไปในวัยหนุ่ม
บนเวที ผู้เข้าแข่งขันของแคว้นหลัวเหมินคนที่หนึ่งเป็ผู้เข้าแข่งขันที่มีกำลังมหาศาล เรี่ยวแรงมหาศาล หากถูกเขาต่อยสักหมัด คาดว่ากระดูกน่าจะหัก แม้จวิ้นอีจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ประเภทมีกำลังมหาศาลนั้น ยังต้องวิตกกังวลยิ่ง เพราะหมัดเดียวของเขา อีกฝ่ายบอกแล้วว่าเพียงคันๆ ไม่รู้สึกเจ็บ ดังนั้นหากจะโจมตีเขาก็ต้องหาจุดอ่อนของเขาให้เจอ อยู่ที่ไหนเล่า?
คนบริเวณด้านล่างเวทีมองมาด้วยใจสั่นสะท้านและตกตะลึง ในสายตาของพวกเขาคือจวิ้นอีไม่สามารถรับมือวีรบุรุษจากแคว้นหลัวเหมินได้เป็แน่ จวิ้นอีอ่อนแอเกินไปหรือ หรือฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งเกินไป? จวิ้นอีไม่ใช่ศิษย์ของยอดฝีมืออันดับหนึ่งแล้วหรือไร จวิ้นอีไม่ใช่ศิษย์ของยอดฝีมืออันดับหนึ่งแล้วใช่หรือไม่? หากศิษย์ของยอดฝีมืออันดับหนึ่งยังไม่สามารถต้านทานได้แล้วละก็ เช่นนั้นฝ่าายังมีพระประสงค์จะส่งผู้เข้าแข่งขันท่านใดเพื่อเอาชนะแคว้นหลัวเหมินได้อีก
ต้องรู้เสียก่อนว่าการแข่งขันในครั้งนี้รวมทั้งหมดมีห้าครั้งด้วยกัน หากแพ้ทั้งห้ารอบ ฝ่ายรงข้ามจะยึดเมืองของแคว้นจีนจำนวนห้าเมือง ถึงเวลานั้นจะทำเช่นใดดีเล่า?
จวิ้นอีพบว่า แม้ผู้เข้าแข่งขันท่านนี้จะมีพละกำลังมาก แต่ด้วยความที่เขาตัวใหญ่ทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก เช่น การทำกิจกรรมใดๆ คนตัวสูงไม่สะดวกเท่าคนตัวเล็ก คนรูปร่างสูงไม่สะดวกเหมือนคนเตี้ย เขารูปร่างสูงขึ้น ร่างกายของเขามีเนื้อขึ้นเล็กน้อย ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมีผลกับการเคลื่อนไหวของเขา
ดังนั้น หากจวิ้นอี้าเป็ฝ่ายได้ปเรียบ เช่นนั้นต้องเป็เื่ของการเคลื่อนไหวแล้ว
เมื่อคิดถึงจุดนี้ จวิ้นอีจึงใช้วิชาตัวเบาเปรียบเทียบความรวดเร็วกับฝ่ายตรงข้าม แต่จวิ้นอีไม่ต่อสู้ประมือ เขาประเดี๋ยวขึ้นหน้า ประเดี๋ยวไปด้านหลัง ประเดี๋ยวไปด้านซ้าย ประเดี๋ยวไปด้านขวา ้าให้อีกฝ่ายนั้นเดินวนเป็วงกลม เวลาผ่านไปเนิ่นนาน กำลังของอีกฝ่ายถดถอยลง เหงื่อไหลเป็ทางไม่หยุดไม่ว่า ทว่าตาของเขาเริ่มลายไปหมดแล้ว มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเอาเสียเลย เวียนศีรษะยิ่งนัก
เสียง ‘ตุบ’ ดังขึ้น รู้สึกราวกับเวทีถูกตีจนทะลุไปแล้ว ฝ่ายตรงข้ามล้มลง
“รอบที่หนึ่ง แคว้นจีนชนะ”
แปะๆๆ... เสียงปรบมือดังสนั่นลั่นหู ยามนี้ไม่สนใจแล้วว่าจะมีความแค้นแต่หนหลังกับฉีอ๋องหรือไม่ ชัยชนะของแคว้นจีน สำหรับทุกคนในแคว้นจีนไม่ว่าผู้ใดแล้วนั้น ต่างก็ร่วมปรบมือแซ่ซ้องยินดี
“ดี ดีจริงๆ” จ้าวหนิงฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน สีพระพักตร์ปลื้มปิตินัก แค่คิดดูก็รู้
“คนข้างกายจวิ้นเฉินช่างร้ายกาจนัก” ฮองเฮารินสุราให้ฮ่องเต้หนึ่งจอก “ในเมื่อรอบที่หนึ่งได้ชัยชนะนำเป็การเปิดฤกษ์แล้ว หม่อมฉันขอยืมดอกไม้ไหว้พระ เชิญฝ่าาดื่มหนึ่งจอกเพคะ”
“ดื่ม” จ้าวหนิงฮ่องเต้ดื่มรวดเดียวหมด
“พี่สาวกล่าวถูกต้องเหลือเกินเพคะ รอบที่หนึ่งได้คะแนนนำไปแล้ว อีกสี่รอบหลังก็คงได้ชัยชนะแน่นอนเพคะ พี่สาวว่าใช่หรือไม่เพคะ”
ฮองเฮาหัวเราะเบาๆ ครั้งหนึ่ง คำพูดของฉินเฟยนี้เท่ากับเป็การขุดหลุมให้ตนชัดๆ หากนางตอบว่าใช่ ถึงเวลาไม่ชนะขึ้นมา แล้วจะทำเช่นใดเล่า? หากนางตอบว่าไม่ใช่ นั่นไม่เท่ากับเป็การตบหน้าฮ่องเต้หรอกหรือ? พวกนางต่อสู้กันมาั้แ่อยุ่ที่จวนฉีอ๋องจนมาถึงวังหลวง ฉินกุ้ยเฟยอยากจะได้เปรียบฮองเอา นั่นเป็ไปไม่ได้ ครั้งนั้นเมื่อจ้าวหนิงฮ่องเต้เป็ฉีอ๋อง ในจวนอ๋องคำพูดของพระชายาเอกถือเป็สิ้นสุด ยามนี้นางเป็ถึงฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ กุ้ยเฟย...ก็เป็เพียงแค่อนุเท่านั้น “พระพุทธเ้าบอกว่าพูดไม่ได้ น้องสาวใจร้อนเช่นนี้ จะกินเต้าหู้ร้อนไม่ได้”
ฮึ ฉินกุ้ยเฟยร้องดูถูกอยู่ในใจ สกุลถังไม่เหลือใครแล้ว ถังฮองเฮายังลำพองใจอันใดกัน? เพียงแค่ยังมีหน้าตาที่ฝ่าายังต้องเกรงใจอยู่ หากผู้เข้าชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทไม่มีความสามารถจริงๆ แล้วละก็ ความเกรงใจจะมีประโยชน์อันใดเล่า? องค์ชายรองตามติดองค์ชายใหญ่ราวกับเป็เงาตามตัว องค์ชายใหญ่พูดอะไร เขาก็ว่าอย่างนั้น สิ่งของไร้ประโยชน์เช่นนี้ฉินกุ้ยเฟยไม่เห็นอยู่ในสายตา นางถือกำเนิดเป็บุตรีในอนุ จนกระทั่งมาเป็อนุในจวนฉีอ๋องแล้วก็ยังต้องดูสีหน้าของผู้อื่นอยู่ดี ไม่ง่ายดายเลยที่จะตั้งครรภ์ แต่ครั้งนั้นจ้าวหนิงฮ่องเต้เป็คนดื้อรั้นถือทิฐิ ผ่านไปสองปีถังฮองเฮาก็ตั้งครรภ์เช่นกัน ยามนั้นนางกลับมาถูกผู้อื่นเหยียบหยามอีกเช่นเคย แต่ฉินกุ้ยเฟยมีความอดทนสูงเป็เลิศ ซู่หนี่ว์คนหนึ่ง หากไม่มีความอดทนเพียงพอ จะมีชีวิตอยู่ต่อหน้ามารดาใหญ่ได้อย่างไร?