ไปหาโจวเฉิงที่ปักกิ่งหรือ?
หาก็หา งานของโจวเฉิงมีความจำเพาะ จำเป็ต้องให้เซี่ยเสี่ยวหลานรุกเองบ้าง เซี่ยเสี่ยวหลานมีการเตรียมพร้อมทางจิตใจเช่นนี้ไว้แล้ว
ตอนแรกหลิวหย่งค่อนข้างหวั่นต่อการไปตกแต่งภายในบ้านให้คังเหว่ย พอตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าจะไปปักกิ่งพร้อมกัน เขาก็มีความมั่นใจมากขึ้น เขา้าพาคนงานที่ทำงานครั้งก่อนเ่าั้ไปปักกิ่งด้วย แม้จะมีค่าเดินทางและค่ากินอยู่ ทว่าเคยร่วมงานกันมาก่อน อีกทั้งหลิวหย่งเองยังไม่เข้าใจทุกอย่างด้วยซ้ำ เขาไม่อยากสอนงานคนอื่นใหม่อีกรอบจริงๆ
การรับตกแต่งภายในย่อมต้องมีคนงานชำนาญของตนเอง เซี่ยเสี่ยวหลานสนับสนุนที่หลิวหย่งทำเช่นนี้
“ไม่ต้องกังวลเื่ค่าเดินทางกับค่ากินอยู่ ของพวกนี้ล้วนรวมอยู่ในบัญชีต้นทุน งานของคังเหว่ยนี่ต่อให้ลุงได้กำไรไม่มาก ก็ไม่เข้าเนื้อเสียเงินช่วยคังเหว่ยตกแต่งบ้านอยู่ดี”
ธุรกิจก็คือธุรกิจ คำสั่งงานของคนใกล้ชิดอาจไม่มีกำไรมากมาย แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องออกเงินเอง ต้นทุนเวลาของหลิวหย่งคือเงินเหมือนกัน เซี่ยเสี่ยวหลานเคยใจหายใจคว่ำเพราะลุงของเธอมาแล้ว การตกแต่งหน้าร้านของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ หลิวหย่งลงเงินเข้าไปถึงสองพันหยวน ถ้าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ตรวจสอบและคำนวณต้นทุน ก็คงจะไม่รู้เื่ที่หลิวหย่งสงเคราะห์เงินให้กับเธอ
หากหลิวหย่งคิด ‘ทดแทนบุญคุณ’ อะไรบางอย่างอยู่ สามารถยินยอมอุดหนุนเงินตกแต่งบ้านแก่คังเหว่ยแน่นอน แต่คังเหว่ยไม่ได้ขัดสนเสียหน่อย การตอบแทนบุญคุณไม่จำเป็ต้องทำแบบนี้ เซี่ยเสี่ยวหลานจดจำมิตรภาพของคังเหว่ยไว้ในใจเสมอ มิเช่นนั้นคงไม่คิดจะร่วมหุ้นทำธุรกิจวัสดุตกแต่งภายในกับคังเหว่ย
ทุกวันนี้การค้าขายของ ‘หลานเฟิ่งหวง’ ก็ไม่เลว สภาพอากาศยังไม่ได้อบอุ่นโดยสมบูรณ์ ผลประกอบการรวมแปดเก้าร้อยหยวนต่อวันถือว่าไม่ย่ำแย่ เซี่ยเสี่ยวหลาน้าส่งเสริมการขาย และเพิ่งนึกออกในภายหลังว่าเมื่อถึงเดือนกรกฎาคม นอกจากเธอต้องนำเงิน 5 หมื่นหยวนมาทำธุรกิจวัสดุตกแต่งภายใน เธอยังรับปากมารดาว่าจะปลูกบ้านในหมู่บ้านชีจิ่งอีกด้วย
ในเมื่อจะสร้างบ้าน อย่างน้อยต้องเตรียมเงินให้พร้อมสักสองสามหมื่นหยวน สร้างอาคารอิฐแดงสักหลัง
หากพิจารณาด้านการลงทุน จ่ายเงินสองสามหมื่นหยวนสร้างบ้านในหมู่บ้านชีจิ่งนั้นไม่คุ้มค่าเลยสักนิดเดียว ไม่ว่าผ่านไปอีกกี่ปี บ้านเรือนในหมู่บ้านก็ไม่ได้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอยู่ดี อย่างมากใน 30 ปีให้หลังราคาสินค้าจะสูงขึ้น วัสดุก่อสร้างและค่าแรงต่างแพงขึ้น สร้างอาคารสำหรับอาศัยด้วยจำนวนสองสามหมื่นหยวนในตอนนี้ อนาคตต้องจ่ายสองสามแสนกว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์
ถ้าคิดเช่นนี้แปลว่าบ้านเรือนในหมู่บ้านก็กำลังเพิ่มมูลค่าเหมือนกันไม่ใช่หรือ?
สิ่งที่เปลี่ยนเป็เงินได้ถึงเรียกว่ามูลค่าเพิ่มขึ้น หากปัจจุบันสามารถจ่ายเงินสองสามหมื่นซื้อบ้านสวัสดิการในเมือง อนาคตย่อมขายทำเงินหรือรอค่าชดเชยรื้อถอนได้ ทว่าต่อให้สร้างบ้านในหมู่บ้านชีจิ่งไว้สวยงามขนาดไหน ก็ไม่มีคนซื้อบ้านที่นั่น แม้ตัวเมืองจะขยายออกไปเพียงใด ก็ขยายไปไม่ถึงเขตแดนอย่างหมู่บ้านชีจิ่ง... ดังนั้นการใช้เงินสร้างบ้านในหมู่บ้านไร้ซึ่งช่องทางของการเพิ่มมูลค่า
ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเข้าใจอย่างถ่องแท้ตั้งนานแล้ว เงินทุกก้อนต้องจ่ายโดยเห็นผลตอบแทนเท่านั้นหรือ?
เธอเคยพูดว่าจะทำให้หลิวเฟินได้ใช้ชีวิตอันเป็สุข จ่ายเงินสร้างบ้านในหมู่บ้านสองสามหมื่นสามารถทำให้หลิวเฟินเบิกบานได้ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าคุ้มค่ายิ่งนัก!
อย่ากลัวที่จะใช้เงิน ต้องใช้เงินก่อนถึงจะมีแรงผลักดันในการหาเงินอีกครั้ง เซี่ยเสี่ยวหลาน้าสะสมเงินให้เพียงพอสำหรับการก่อตั้งร้านวัสดุตกแต่งภายในที่เผิงเฉิงและสร้างบ้านใหม่ตอนเดือนกรกฎาคม แต่ทว่าเนื่องจากโดนการสอบเกาเข่าจำกัดความสนใจไว้ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงไม่สามารถแตะธุรกิจอื่นได้ชั่วคราว ทำได้เพียงคิดหาหนทางที่ร้านเสื้อผ้า และกระตุ้นการค้าขายให้ดีขึ้นบ้าง
ผลประกอบการรวมแปดเก้าร้อยหยวนต่อวันถือว่าไม่น้อย
อย่างไรเสียหนึ่งเดือนก็น่าจะได้เงินสักสองหมื่นกว่าหยวน หักลบต้นทุนในการรับสินค้า ได้กำไรหนึ่งหมื่นกว่าหยวน เมื่อแบ่งเป็สองส่วน เซี่ยเสี่ยวหลานจะได้เงินราวเจ็ดแปดพันต่อหนึ่งเดือน นี่คือปี 1984 หนึ่งเดือนมีผลกำไรหลายพันหยวน พนักงานและคนงานในเมืองธรรมดาคนไหนจะกล้าคิดฝันถึง? แต่ตอนนี้ในมือเซี่ยเสี่ยวหลานมีเงินเพียงประมาณสองหมื่นหยวน หาก้าทำธุรกิจใหม่และปลูกบ้านพร้อมกันในเดือนกรกฎาคม ในมือเธอควรมีเงินอย่างต่ำเจ็ดแปดหมื่นหยวน
เหลือเวลาอีกห้าเดือน เธอต้องแน่ใจว่าทุกเดือนจะได้ปันผลเฉลี่ยมากกว่า 1 หมื่นหยวนจาก ‘หลานเฟิ่งหวง’
ดังนั้นแม้ธุรกิจตอนนี้จะไม่เลว แต่เซี่ยเสี่ยวหลานยัง้าทำให้ดีขึ้นอีกเล็กน้อย
เที่ยงวันต่อมากงหยางก็มาส่งโปสเตอร์ให้ เขาใช้สีสันฉูดฉาด จัดภาพประกอบเรียบง่ายแต่มีพลัง ติดไว้บนผนังต้องดึงดูดความสนใจได้ั้แ่แรกเห็นแน่นอน เซี่ยเสี่ยวหลานพึงพอใจมาก ชำระเงินส่วนที่เหลือแก่กงหยาง
“นักศึกษากง ถ้าคราวหน้ามีงานแบบนี้ ฉันอาจรบกวนคุณอีก”
สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานให้ความสำคัญมิใช่ทักษะพื้นฐานในการวาดภาพของกงหยาง นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์คนไหนก็มีฝีมือที่ไม่เลวร้ายทั้งนั้น เธอให้ความสำคัญต่อสุนทรียภาพของกงหยางต่างหาก เข้าใจสิ่งที่เธอพูด วาดได้ทันสมัย... กงหยางวาดโปสเตอร์ได้ ย่อมวาดอย่างอื่นได้เหมือนกัน อย่างเช่นภาพจำลองผลการออกแบบภายใน ตอนนี้ยังไม่มีคอมพิวเตอร์แสดงภาพจำลองผลเสียด้วย มิใช่ว่าต้องอาศัยการวาดหรือ?
ถ้าไม่หาตัวนักศึกษาคณะศิลปกรรม เซี่ยเสี่ยวหลานก็หาตัวเลือกอื่นที่เหมาะสมไม่ได้แล้ว และปัจจุบันในประเทศไม่มีสาขาวิชาเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบภายในด้วยซ้ำ!
กงหยางยืนอยู่ในร้านเสื้อผ้า กระเบื้องไมโครคริสตัลสะอาดเอี่ยมอ่องจนส่องประกายแสง การเลือกใช้โคมไฟระย้าแก้วและกระจกจำนวนมากทำให้ที่นี่ดูหรูหราเป็พิเศษ ดูเหมือนเขาจะมีลูกค้าที่ร่ำรวยมากสินะ? เซี่ยเสี่ยวหลานไม่อัตคัดเงินทอง กงหยางจึงเก็บความคิดที่จะเชิญเซี่ยเสี่ยวหลานเป็นางแบบไว้เสีย ในสายตาคนทั่วไปเซี่ยเสี่ยวหลานช่างงดงาม ส่วนในสายตานักศึกษาศิลปะเช่นกงหยางผู้นี้ เธอทำให้เขาเกิดแรงกระตุ้นในการสรรค์สร้างผลงานอย่างมาก—ไม่วาดตามแบบก็ยังสร้างผลงานได้ เซี่ยเสี่ยวหลานสวยเหลือเกิน และเธอได้มอบแรงบันดาลใจไม่น้อยแก่กงหยางโดยไม่รู้ตัว
ฟังจากความนัยของเซี่ยเสี่ยวหลาน น่าจะมีงานคล้ายคลึงกันอีก กงหยางอดซักถามเพิ่มเติมไม่ได้
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงชี้ร้านเสื้อผ้าพลางอธิบาย “ก็เหมือนการตกแต่งภายในแบบนี้ เธอวาดมันออกมาได้ไหม? ฉันพอวาดพวกองค์ประกอบโดยรวมกับรูปแบบเครื่องเรือนได้ แต่จะลงสีอย่างไรเพื่อทำให้คนอื่นเห็นล่วงหน้าว่าห้องหนึ่งห้องหลังผ่านการตกแต่งภายในจะมีลักษณะเช่นใดนั้น คาดว่าต้องขอให้เธอช่วยแล้ว!”
ภาพออกแบบการตกแต่งภายในเช่นนั้น กงหยางไม่เคยคลุกคลีมาก่อนเลย
ทว่าหากมีองค์กระกอบและรูปแบบ เขาแค่ลงสีสัน กงหยางคิดว่าคงไม่ยากเกินความสามารถของเขา
เขาต้องมองร้านเสื้อผ้าอีกทีจริงๆ องค์ประกอบและการจับคู่สีล้วนน่ามองทีเดียว ขณะเซี่ยเสี่ยวหลานกำลังสนทนากับกงหยาง ทุกคนก็ไม่เข้าไปรบกวน ทว่าพอเขาจากไป หลิวหย่งถึงได้เอ่ยปากถาม “เสี่ยวหลาน หลานอยากให้เขาเป็นักออกแบบภายในอะไรนั่นหรือ?”
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าการตกแต่งภายในต้องมีนักออกแบบโดยเฉพาะ นักออกแบบสร้างภาพออกมา คนงานก็สามารถดำเนินงานตามต้นแบบได้ง่ายดายขึ้น
‘นักออกแบบ’ ในตอนนี้คือเซี่ยเสี่ยวหลานและหลิวหย่งปรึกษาหารือร่วมกัน ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานไม่อาจวาดภาพให้ตลอดไปได้ เธอก็มีธุระของตนเองที่ต้องทำ เซี่ยเสี่ยวหลานเลยคิดที่จะบ่มเพาะ ‘นักออกแบบ’ ซึ่งสามารถวาดภาพจำลองผลลัพธ์ของการออกแบบได้สักสองคน ถ้าให้นักศึกษาจบจากมหาวิทยาลัยซางตูติดตามหลิวหย่งที่ทำธุรกิจอิสระเช่นนี้ คนเขาคงไม่ยอมเป็แน่
ไม่ว่าเรียนศิลปะหรือไม่ พอกงหยางจบการศึกษารัฐก็ต้องจัดสรรอาชีพให้อยู่แล้ว
ในยุคสมัยแบบนี้ อาชีพเป็กิจจะลักษณะสำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น แม้หลิวหย่งจะให้เงินเดือนมากกว่าหลายเท่าต่อเดือน ก็ยังดึงนักศึกษาสักคนตามเขามาทำงานไม่ได้ ใครคาดเดาได้ว่าเงินเดือนเอกชนของคุณนี้จะยั่งยืนนานแค่ไหน ทุกคนคิดว่าอาชีพที่รัฐจัดสรรให้น่าวางใจกว่า เงินเดือนมากหรือน้อยก็ไม่เป็ไร หน่วยงานของรัฐไม่มีทางล้มละลาย ‘การเลิกจ้าง’ คือคำศัพท์ที่เพิ่งเกิดในยุค 90 ในปี 84 นี้งานของรัฐก็คือชามข้าวเหล็ก!
เพราะฉะนั้นกระทั่งจั๋วน่าก็คิดดูแคลนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานคือคนทำธุรกิจอิสระที่แสนต่ำต้อยนั่นเอง
เมื่อให้นักศึกษาศิลปกรรมศาสตร์มาทำหน้าที่นักออกแบบเต็มเวลาไม่ได้ เช่นนั้นหากนับว่าเป็งานพิเศษก็หมดปัญหาแล้วหรือเปล่า?
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า “ลองร่วมงานกันก่อน พิจารณาว่าเขาทำได้ดีหรือไม่”
กงหยางทำได้ไม่ดีก็ไม่เป็ไร มหาวิทยาลับซางตูมีคณะศิลปกรรมศาสตร์ ในประเทศยังมีวิทยาลัยศิลปะโดยเฉพาะ ต้องมีนักศึกษาผู้จำเป็ต้องขายศิลปะเพื่อหล่อเลี้ยงศิลปะเหมือนกงหยางคนนี้อีกแน่นอน เซี่ยเสี่ยวหลานมีทางเลือกอยู่อีกถมเถไป
หลี่เฟิ่งเหมยเพิ่งอ่านเนื้อหาบนโปสเตอร์เข้าใจ
เื่ภาพวาดเธอไม่รู้จักการเชยชมคุณค่า ทว่าเธอรู้จักอักษรตัวโตนั้น
“กิจกรรมลดราคาประจำฤดูใบไม้ผลิ ซื้อสินค้าทั้งร้านครั้งเดียวครบ 168 หยวน มอบถุงน่องหนึ่งคู่...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้