กองทัพเสวี่ยเยว่ตกอยู่ในความเงียบ ขณะมองไปที่เหล่าผู้คุ้มกันทมิฬด้วยสายตาประหลาดใจ
ผู้คุ้มกันทมิฬทั้ง 36 คนนี้แข็งแกร่งอย่างมาก การขว้างหอกเมื่อครู่ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ ขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยการเหยียดหยาม ในสายตาพวกเขาแล้วทหารแห่งเสวี่ยเยว่ไม่เคยอยู่ในสายตามาั้แ่แรก
เมื่อได้ยินเสียงท้ารบดังก้องไปทั่ว แต่เหล่าทหารเสวี่ยเยว่ก็ยังคงสงบนิ่ง
“การตายในาถือเป็เกียรติอย่างยิ่ง ศิษย์สำนักเทียนอี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะขี้ขลาดไม่กล้าต่อสู้” ต้วนเทียนหลางพึมพำ แต่ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความหวาดกลัว “เหล่าอัจฉริยะของสำนักเทียนอี้ ใครยินดีออกไปแก้แค้นเพื่อศิษย์ร่วมสำนักบ้าง”
“ขี้ขลาดไม่กล้าสู้?” แน่นอนว่าหลินเฟิงและทุกคนต่างเข้าใจว่าต้วนเทียนหลางกำลังเอ่ยถึงใคร
“ท่านอ๋อง เมื่อครู่นี้ท่านได้พูดว่า ในสนามรบไม่มีการแบ่งพวกไม่ว่าจะเป็สำนักเทียนอี้หรือลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็ตาม ข้าได้ยินมาว่าต้วนหานมีพร์ยอดเยี่ยม ถ้าอย่างนั้นเพื่อชัยชนะและกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ข้าอยากจะเชื้อเชิญให้ต้วนหานออกไปสู้รบ”
“โปรดเชิญต้วนหานออกไปต่อสู้ เพื่อชัยชนะและกอบกู้ศักดิ์ศรี”
คนที่อยู่ด้านหลังหลินเฟิงกล่าวเสียงดังโดยพร้อมเพรียง
“โปรดเชิญต้วนหานออกไปต่อสู้ เพื่อชัยชนะและกอบกู้ศักดิ์ศรี”
กองกำลังทหารม้าโลหิตะโออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว ทันใดนั้นเสียงการเชื้อเชิญก็ได้เข้าสู่โสตประสาทของต้วนหาน
ต้วนเทียนหลางหรี่ตาลงและจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงพลางคิดว่า เ้าหมอนี่ช่างมีใจเหี้ยมโหดนัก แต่พวกเขากลับลืมไปว่าพวกตนก็มีจิตใจอำมหิตไม่ต่างกัน
“ต้วนหานยังอ่อนหัดนัก ศึกครั้งนี้สำหรับเขาแล้วถือว่าฝีมือยังไม่ถึงขั้น แล้วยังมีคนรุ่นเยาว์อัจฉริยะมากมายที่น่าจะออกไปต่อสู้ได้ดีกว่านี้” แววตาของต้วนเทียนหลางยิ่งดุร้ายขณะจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิงขณะยิ้มและส่ายหน้า
“เมื่อครู่ท่านอ๋องยังพูดว่าการตายในาถือเป็เกียรติอย่างยิ่ง และท่านอ๋องน้อยก็มีพร์ยอดเยี่ยมและแข็งแกร่งมาก เขาไม่ใช่คนขี้ขลาดไม่สู้คน ตราบใดที่ได้ต่อสู้ ไม่ว่าผลที่ออกมาจะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ล้วนเป็ความภาคภูมิใจทั้งสิ้น ดังนั้นหลินเฟิงจึงอยากขอร้องให้ท่านอ๋องน้อยออกไปสู้รบอีกครั้ง”
น้ำเสียงของหลินเฟิงสงบนิ่ง ทว่าทุกคำพูดล้วนฉะฉาน
“ต้วนหานออกไปสู้ซะ”
เสียงคนอื่นๆ เริ่มดังขึ้น ทำให้ต้วนเทียนหลางพลันแข็งทื่อและจ้องหลินเฟิงเขม็งด้วยสายตาเยือกเย็น ไอ้สารเลวนี่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“หากข้า้าจะสู้ข้าก็จะตัดสินใจสู้ด้วยตัวเอง เ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่ง”
ต้วนหานะโใส่หลินเฟิงอย่างเกรี้ยวกราด
“หุบปาก”
เมื่อต้วนหานกล่าวจบ หลินเฟิงก็ะโแทรกขึ้นมาว่า “ต้วนหาน เ้าและพ่อของเ้าช่างไร้ยางอายจริงๆ ข้าให้พวกเ้าไปสู้ แต่พวกเ้ากลับไม่กล้าต่อสู้ พวกเ้าส่งแต่ศิษย์ของสำนักเทียนอี้ไปต่อสู้เท่านั้น เพราะพวกเ้า้าให้พวกเขาทั้งหมดตาย”
ทุกคนล้วนประหลาดใจ ศิษย์ของสำนักเทียนอี้ที่ในตอนแรกไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ม่านตาของพวกเขาพลันหดแคบลงและเริ่มตระหนักได้ถึงความชั่วร้ายของต้วนเทียนหลาง
“หลินเฟิง เ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร?”
ต้วนเทียนหลางกล่าวด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย เขาเป็ถึงแม่ทัพใหญ่ของกองกำลังทหารเสวี่ยเยว่ คาดไม่ถึงว่าเขาจะถูกหลินเฟิงดูิ่เช่นนี้
“ข้าไม่ได้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของท่าน” หลินเฟิงกล่าวอย่างเ็า
ต้วนเทียนหลาง้าพูดบางอย่าง แต่กลับมีเสียงเ็าเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ต้วนเทียนหลาง ข้าให้เ้าเข้าในมาเมืองเพื่อช่วยเหลือพวกเราในการสู้รบ ไม่ใช่ให้เ้ามาทำตัวเช่นนี้”
เ้าของเสียงที่กล่าวแทรกขึ้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิ่วชั่งหลัน หลังจากกล่าวจบก็มองหลินเฟิงและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “หลินเฟิง เ้าโต้เถียงกับท่านแม่ทัพต้วนถือเป็การกระทำที่ผิด เพราะฉะนั้นเ้าต้องออกไปต่อสู้และแก้ไขความผิดของเ้า”
“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”
หลินเฟิงหยักหน้าอย่างใจเย็น ทันใดนั้นเขาก็มองไปด้านหน้าและควบม้าัออกไปด้วยความเร็วสูง ด้านหลังเขามีทหารสวมเกราะสีเืกว่า 30 นายติดตามอย่างใกล้ชิด ทุกฝีเท้าที่ม้าเหยียบย่ำได้ทิ้งฝุ่นตลบไว้เื้ั
เมื่อเหล่าผู้คุ้มกันทมิฬเห็นหลินเฟิงและคนอื่นกำลังมา พวกเขาก็ขว้างหอกออกไปด้วยความเร็วสูง
“โจมตี!!!”
หลินเฟิงคำรามออกมาโดยไม่สนสิ่งใด ทันใดนั้นทหารรอบตัวเขาก็หยิบอาวุธออกมาฟาดฟันหอกที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“ฟับ… ฟับ…”
มีเสียงแหลมดังออกมา ทำให้ผู้คนใกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในตอนนี้ทุกคนต่างเห็นว่าหอกเ่าั้พุ่งตรงมายังหลินเฟิงและคนอื่นๆ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ม่านตาของทุกคนต่างหดลง เป็ไปได้อย่างไร? แม้หลินเฟิงและคนของเขาจะแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย แต่สำหรับหอกจำนวนมากที่พุ่งเข้ามานั้น การทำลายมันทั้งหมดก็คงเป็เื่ยาก
“ช่างเป็อาวุธที่แหลมคมยิ่งนัก!”
ฝูงชนต่างมองไปที่อาวุธของหลินเฟิงและคนอื่นๆ อาวุธเหล่านี้ช่างแหลมคมเป็อย่างมาก
“บุก!”
สิ้นสุดเสียงของหลินเฟิง ทันใดนั้นม้าศึกของพวกเขาก็พุ่งไปหาอีกฝ่ายขณะที่คนบนหลังม้าต่างปลดปล่อยจิตสังหารออกมา พวกเขาต่างเข้าปะทะกับฝ่ายตรงข้ามจนเืสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณตามมาด้วยเสียงม้าร้องดังระงม
ใบมีดของป้าเตาเคลื่อนผ่านอากาศ เขาปลดปล่อยเจตจำนงมีดที่เหี้ยมโหดออกมา แม้แต่ผู้คุ้มกันที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 หากััก็ตายลงทันที
ส่วนหลินเฟิงก็เข้าโจมตีหัวหน้าผู้คุ้มกันทมิฬ ซึ่งมีการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7
ดาบของหลินเฟิงฟันผ่านห้วงอากาศ พร้อมปลดปล่อยลมปราณการทำลายล้างออกมา
เพียงพริบตาเดียวผู้คุ้มกันทมิฬที่แข็งแกร่งกว่าครึ่งต้องตายไป และมีจำนวนไม่น้อยที่ได้รับาเ็
“ป้องกัน!”
หัวหน้าผู้คุ้มกันทมิฬป้องกันดาบของหลินเฟิงได้ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็ซีดเผือด ทหารม้าโลหิตแข็งแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไร
เพียงเวลาไม่นานขณะปะทะกัน จู่ๆ เหล่าผู้คุ้มกันทมิฬที่แข็งแกร่งต่างล่าถอยกันออกไปอย่างบ้าคลั่ง จึงทำให้กองทัพทั้งสองฝ่ายต่างตกตะลึง
“ฆ่ามัน!”
หลินเฟิงที่อยู่บนหลังม้าัออกคำสั่งอีกครั้ง ทันใดนั้นทุกคนก็เริ่มไล่ล่าเหล่าผู้คุ้มกันทมิฬที่กำลังหลบหนี
ในขณะนั้นร่างเงาที่แข็งแกร่งได้ะโลงมาจากหลังม้าโลหิตพร้อมกับเสียงคำราม จากนั้นพื้นดินใต้เท้าของเหล่าผู้คุ้มกันทมิฬพลันสั่นะเืและก่อตัวสูงขึ้นจนคล้ายกับปล่องูเาไฟ ขังพวกเขาไว้ในนั้นและไม่อาจหลบหนีไปได้
“ทำลาย!”
หัวหน้าผู้คุ้มกันทมิฬหยิบหอกขึ้นมากระหน่ำแทงกำแพงดินที่ก่อตัวสูงเสียงดังสนั่น จนเกิดรูขนาดพอดีตัวคนอยู่บนกำแพง หัวหน้าผู้คุ้มกันทมิฬ้าที่จะหลบหนีผ่านรูนี้
“อยู่ในนั่นไปเถอะ!” สิ้นเสียงะโของบุคคลปริศนา ทันใดนั้นเถาวัลย์ก็ปรากฏขึ้นและพันรอบตัวเหล่าผู้คุ้มกันทมิฬ ทำให้พวกเขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
“คมมีดเผด็จการ”
มีดมายาปรากฏขึ้นในอากาศ จากนั้นมันก็ลดต่ำลงและเข้าโจมตีเหล่าผู้คุ้มกันทมิฬอย่างเหี้ยมโหด
พริบตาเดียวผู้คุ้มกันทมิฬที่แข็งแกร่งทั้ง 36 คนก็เหลืออยู่เพียงคนเดียว นั่นคือหัวหน้าผู้คุ้มกันทมิฬที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 7
ั้แ่เริ่มการต่อสู้จนถึงตอนนี้ เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
“ย๊าก!!!…”
หัวหน้าผู้คุ้มกันทมิฬคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อหอกทั้งหมดถูกทำลายไปเขาก็ทิ้งม้า แล้วทะยานขึ้นไปในอากาศเพื่อหลบหนี
สีหน้าของหลินเฟิงยังดูเคร่งขรึมเช่นเดิม หลังจากที่เขาให้หมวกเหล็กกับต้วนซินเยี่ยไปแล้ว เขาก็ไม่ได้สวมใส่หมวกอันอื่นอีก จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาได้อย่างชัดเจน สายลมหอบหนึ่งได้พัดเส้นผมของเขาปลิวไสว
ร่างของหลินเฟิงสั่นสะท้านเล็กน้อยก่อนะโขึ้นไปในอากาศ เขาปลดปล่อยเจตจำนงการต่อสู้อันรุนแรงโหมกระหน่ำรอบตัว กลางอากาศพลันปรากฏดาบมายาสีดำเล่มหนึ่ง ซึ่งตรงกลางได้ปรากฏดาบสีดำเล่มหนึ่งตรงนั้น มันเป็ดาบมรณะ
“เ้าบังอาจโจมตีสหายของข้า เ้าต้องตาย!”
น้ำเสียงที่ออกมาจากปากของหลินเฟิงยังคงไว้ซึ่งความเยือกเย็น ขณะที่ร่างของเขายังอยู่ในอากาศ จากนั้นดาบมรณะสีดำเล่มนั้นก็ทะลวงผ่านอากาศและปรากฏภาพลวงตาสีดำขนาดใหญ่ออกมา
“ฉัวะ!”
ดาบมายาสีดำตัดผ่านร่างของหัวหน้าผู้คุ้มกันทมิฬและแยกเขาออกเป็สองส่วน โดยไม่มีโอกาสให้เขาได้กรีดร้อง
“ตึก… ตึก…”
ผู้คนที่เห็นการโจมตีที่น่าหวาดกลัวครั้งนี้ ต่างก็รู้สึกได้ถึงหัวใจของตนที่เต้นแรงด้วยความระทึก
เพียงแค่ดาบเดียวก็สามารถสังหารศัตรูที่แข็งแกร่งได้แล้ว
ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
ซึ่งการกระทำทั้งหมดนี้ มาจากคนรุ่นเยาว์ที่อายุยังไม่ถึง 18 ปีเท่านั้น ทุกคนในบริเวณนั้นล้วนจับจ้องไปที่ร่างเงาอันสง่างามปีนขึ้นหลังม้าและกลับมาสมทบกับกองทัพอย่างสงบ ทางด้านกองทัพของศัตรูจ้องมองไปที่เขาด้วยสายตาหวาดกลัวและเริ่มประเมินเขา
“เฮ!!!”
เหล่าทหารต่างส่งเสียงกู่ร้องจนละเทือนผืนดิน โดยเฉพาะหัวใจของเหล่าทหารม้าโลหิตต่างต้องเต้นระรัว
นานแล้วที่พวกเขาไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นจนเืสูบฉีดเช่นนี้ พวกเขาไม่คิดเลยว่าคนรุ่นเยาว์จะทำให้พวกเขาตื่นเต้นได้ขนาดนี้
มุมปากของจิวชื่อเซวี่ยเผยรอยยิ้มออกมา เขาเหลือบมองหลิ่วชั่งหลันที่ยังคงนิ่งสงบและกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าเห็นตัวท่าน ซ่อนทับอยู่ในตัวของเขา”
หลิ่วชั่งหลันยิ้มขณะมองมาที่จิวชื่อเซวี่ย
“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นเ้ายิ้ม” หลิ่วชั่งหลันกล่าวตอบขณะหันไปมองกองทัพของอาณาจักรโม่เยว่ที่กำลังถอยทัพ พวกเขามาเพื่ออำนาจและศักดิ์ศรี แต่ก็ต้องถอยกลับไปเพราะหลินเฟิง
“ข้าไม่อาจเทียบกับเขาได้” หลิ่วชั่งหลันกล่าว ทำให้จิวชื่อเซวี่ยต้องสั่นสะท้าน จากนั้นเขาก็ยิ้มอีกครั้ง หลินเฟิงแข็งแกร่งกว่าหลิ่วชั่งหลันมาก นอกจากนี้ยังมีพร์ที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
หลินเฟิงกลับมาอยู่ข้างกายต้วนซินเยี่ยอย่างนิ่งเงียบ และเห็นนางกำลังถอดหมวกเหล็กออก นิ้วเรียวยาวของนางสางเส้นผมที่ยุ่งเล็กน้อยขณะมองหลินเฟิงทั้งรอยยิ้ม หลินเฟิงคิดว่ารอยยิ้มของนางน่าหลงใหลมาก
สีหน้าของต้วนเทียนหลางบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด ทางด้านต้วนหานกำลังเจ็บใจที่ตอนนี้หลินเฟิงก้าวหน้ายิ่งกว่าสมัยที่อยู่นิกายหยุนไห่เสียอีก
การบ่มเพาะของเขาในวันนี้เทียบไม่ได้กับหลินเฟิง มันต่างชั้นกันเกินไป
“หลินเฟิง”
ขณะนั้นหลิ่วชั่งหลันมองมาทางนี้และเรียกเขาเสียงดัง
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
หลินเฟิงกล่าวตอบ
“ข้าจะมอบตำแหน่งผู้บังคับกองพันให้กับเ้า พวกเ้าจะอยู่ภายใต้หน่วยที่ชื่อว่าหน่วยดาบนภาโลหิต และอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของจิวชื่อเซวี่ย”
ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแย้งใดๆ ขึ้นมา เนื่องจากความแข็งแกร่งที่หลินเฟิงได้แสดงออกมาเมื่อครู่นี้ จึงไม่มีใครคิดว่าไม่เหมาะสม ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับหลิ่งชั่งหลันในตอนนี้
“หลินเฟิงรับคำสั่ง!”