“ว่าอย่างไรนะ ผลึกอสูรระดับหนิงกัง!”
เหล่าบัณฑิตใหม่ที่อยู่รอบๆ ต่างก็อุทานออกมาเสียงดังก่อนจะล้อมวงเข้ามาดู
บนโต๊ะมีผลึกอสูรชิ้นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เป็สองเท่าของผลึกอสูรปกติ พลังชีวิตที่แผ่ออกมาจากตัวผลึกมีความเข้มข้นเป็พิเศษต่างจากผลึกอสูรทั่วไปที่จะมีเพียงพลังปราณแผ่ออกมาเท่านั้น สิ่งนี้สามารถบ่งบอกได้ว่านี่คือผลึกอสูรระดับหนิงกังอย่างแท้จริง
“จริงหรือ คิดไม่ถึงเลยว่าคนของจวนเป่ยอ๋องจะสามารถสังหารอสูรร้ายระดับหนิงกังได้!”
“เป็ไปไม่ได้ พวกเขาจะมีความแข็งแกร่งขนาดนั้นได้อย่างไร จะมีการโกงเกิดขึ้นหรือไม่ หรืออาจจะมีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว”
“เื่นี้ก็มีความเป็ไปได้”
บัณฑิตที่อยู่โดยรอบพากันอุทานออกมา แน่นอนว่าเื่นี้ย่อมดึงดูดความสนใจของลู่โหย๋วเยี่ยและหลี่ว์หยางให้เข้ามาดูด้วยตัวเอง พวกเขามองไปยังผลึกอสูรที่วางกองอยู่บนโต๊ะอย่างไม่เชื่อสายตา จากนั้นก็เงยหน้ามองเฉินเซิ่งด้วยความสงสัย
“จะเป็ไปได้อย่างไร เหตุใดคนของจวนเป่ยอ๋องจึงมีผลึกอสูรระดับหนิงกังได้? พวกเ้าโกง!”
สีหน้าของหลี่ว์หยางเปลี่ยนเป็ไม่น่ามอง เขาชี้นิ้วไปทางเฉินเซิ่งก่อนจะตวาดออกมา เขาไม่เชื่อว่าพวกเฉินเซิ่งจะมีพละกำลังมากพอที่จะสังหารอสูรร้ายระดับหนิงกังได้
“ถูกต้อง พวกเ้าได้ผลึกอสูรนี้มาได้อย่างไร ข้าสงสัยว่าพวกเ้ากำลังโกง”
ลู่โหย๋วเยี่ยกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าไม่น่าดูเช่นกัน
“ขี้โกง! ขี้โกง! คนของจวนเป่ยอ๋องจะมีกำลังมากพอที่จะสังหารอสูรร้ายระดับหนิงกังได้อย่างไร?”
“ถูกต้อง ข้าคิดว่าพวกเขาคงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ผลึกอสูรระดับหนิงกังชิ้นนี้พวกเขาไม่ได้รับมาจากเทือกเขาเทียนอวิ่นแน่”
ศิษย์ตระกูลหลี่ว์และตระกูลลู่โต้แย้งผลลัพธ์นี้ทันที
“โกง! ตาข้างไหนของพวกเ้าเห็นว่าเราโกง เราได้รับผลึกอสูรนี้บนเทือกเขาเทียนอวิ่นต่างหาก”
เฉินเซิ่งตอกกลับอย่างเ็า
“ถูกต้อง เราได้รับผลึกอสูรนี้มาจากเทือกเขาเทียนอวิ่น”
ศิษย์ผู้หนึ่งของจวนเป่ยอ๋องก็โต้กลับเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นข้าของถามเ้า ลำพังเพียงแค่พวกเ้าน่ะหรือจะสามารถสังหารอสูรร้ายระดับหนิงกังได้ เฉินเซิ่งเ้ามีกำลังขนาดนั้นเชียวหรือ?”
หลี่ว์หยางเย้ยหยัน เขาทราบดีว่าวรยุทธ์ของเฉินเซิ่งผู้นี้อยู่เพียงระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ดเท่านั้น
เฉินเซิ่งกล่าวอย่างเ็าว่า “พวกเราพบอสูรร้ายระดับหนิงกังที่าเ็สาหัส และกำลังจะตายบนเทือกเขาเทียนอวิ่น ดังนั้นพวกเราจึงสังหารมัน ก่อนจะรับเอาผลึกอสูรเหล่านี้มา ทำไมรึ พวกเ้ามีความเห็นอันใดในเื่นี้อย่างนั้นหรือ?”
“เ้า…”
หลี่ว์หยางและลู่โหย๋วเยี่ยต่างก็กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ แน่นอนว่าพวกเขาไม่เชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย
“เอาละ เงียบได้แล้ว!”
ทันใดนั้นผู้ดูแลก็ะโบอกให้ทุกคนเงียบเสียงลง
ผู้ดูแลถือผลึกอสูรชิ้นนั้นขึ้นมาและกล่าวว่า “ข้าทำการประเมินเวลาของผลึกอสูรชิ้นนี้แล้ว มันเป็ผลึกจากร่างของอสูรร้ายที่เพิ่งตายภายในสิบวัน ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับมันมาอย่างไร หากพวกเ้าไม่มีหลักฐานก็ไม่อาจกล่าวหาว่าพวกเขาโกงได้”
ลู่โหย๋วเยี่ยและหลี่ว์หยางต่างก็ไม่พอใจในคำตัดสินนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถหาอะไรมาโต้แย้งได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์
“เฉินเซิ่งจากจวนเป่ยอ๋องได้รับสามหมื่นเจ็ดพันเหรียญตำลึงทอง ถือว่าการประเมินครั้งนี้ได้รับคะแนนสามหมื่นเจ็ดพันคะแนน”
ผู้ดูแลประกาศเสียงดัง
สามหมื่นเจ็ดพันคะแนน คะแนนนี้สามารถเอาชนะตระกูลลู่และตระกูลหลี่ว์ได้
สีหน้าของลู่โหย๋วเยี่ยพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียด เดิมทีเขาคิดว่าตนจะสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาครองได้ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีผลึกอสูรระดับหนิงกังเช่นนี้
ผลึกอสูรระดับหนิงกังนั้นมีมูลค่าเกือบหนึ่งหมื่นเหรียญตำลึงทอง
“สามหมื่นเจ็ดพันคะแนน ข้าว่านี่คงจะเป็คะแนนสูงสุดแล้ว ดูเหมือนว่าอันดับหนึ่งในการประเมินครั้งนี้คงตกเป็ของจวนเป่ยอ๋องแล้ว”
“ถูกต้อง ผลึกอสูรระดับหนิงกัง นี่เป็ผลึกอสูรระดับหนิงกังเพียงชิ้นเดียวในการประเมินครั้งนี้เลยนะ แบบนี้ยังจะมีใครสามารถทำคะแนนได้สูงกว่าจวนเป่ยอ๋องอีกหรือ”
“พวกเขาช่างโชคดีนัก ได้พบกับอสูรร้ายระดับหนิงกังที่กำลังาเ็ใกล้ตาย เหตุใดพวกเราถึงไม่โชคดีเช่นนี้บ้าง”
บัณฑิตกลุ่มหนึ่งเอาแต่ทอดถอนใจในโชคชะตาของตนเอง ทุกคนต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าอันดับหนึ่งของการประเมินในครั้งนี้ได้ถูกตัดสินแล้ว
เฉินเซิ่งนำถุงหนังออกมาเก็บผลึกอสูรด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
เมื่อหลี่ว์หยางเห็นเฉินเซิ่งที่กำลังยิ้มอย่างได้ใจ ภายในใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกขุ่นเคือง เดิมทีเขาคิดว่าตนจะสามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ แต่ตอนนี้เขากลับตกลงไปอยู่ในอันดับที่สามเสียแล้ว
เฉินเซิ่งเดินลอยหน้าลอยตามาทางศิษย์ของตระกูลมู่ จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างเย้ยหยันว่า “อะไรกัน มู่เฟิงยังไม่กลับมาอีกอย่างนั้นหรือ? เขาเก่งนักไม่ใช่หรืออย่างไร? นักสลักลายเส้นยอดอัจฉริยะผู้มีพร์ระดับกระดูกิญญา แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่นี่สิ”
หลังจากเฉินเซิ่งกล่าวจบ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีชัย จากนั้นก็เดินกลับไปหากลุ่มคนของตัวเองที่กำลังรออยู่
“เ้าสารเลว…”
มู่ขวงกำหมัดแน่น ความเดือดดาลแผดเผาขึ้นมาจนจุกอก ในที่สุดเขาก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีกต่อไป เด็กหนุ่มปล่อยหมัดต่อยไปยังเฉินเซิ่งเต็มแรง
เปรี้ยง...!
หมัดนั้นกระแทกเข้าที่ใบหน้าของเฉินเซิ่งอย่างแรงจนเขาหวีดเสียงร้องออกมาด้วยความเ็ป ฟันของเขาหลุดกระเด็นไปสองซี่ ในขณะที่ร่างก็ปลิวกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร ก่อนจะกระแทกลงบนพื้น
ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างอุก็ทานออกมาอย่างคาดไม่ถึงว่ามู่ขวงจะลงมือโจมตีกะทันหันเช่นนี้ รวมถึงเฉินเซิ่งด้วยเช่นกัน
เมื่อถูกยั่วยุครั้งแล้วครั้งเล่า ศิษย์ตระกูลมู่จะสามารถอดทนอยู่ได้อย่างไร?
มู่ขวงขึ้นคร่อมร่างของเฉินเซิ่งก่อนจะปล่อยหมัดออกมาต่อยใบหน้าของเฉินเซิ่งไม่ยั้ง จนทำให้เฉินเซิ่งน้ำตาไหลพรากด้วยความเจ็บ
“พี่เซิ่ง! รีบไปช่วยคนเร็วเข้า!”
กองกำลังของจวนเป่ยอ๋องร้องขึ้นก่อนจะรีบวิ่งออกมาช่วยเฉินเซิ่ง
“ช่วยตัวของพวกเ้าเองเถอะ ลุย!”
ไป๋จื่อเยว่แผดเสียงออกมาอย่างดุดัน เขาและกลุ่มศิษย์ตระกูลมู่เข้าไปเสริมกำลังให้กับมู่ขวงในทันที ส่งผลให้สถานการณ์ในตอนนี้เกิดความโกลาหลจนยุ่งเหยิงไปหมด
“หยุด!”
ทันใดนั้นเสียงอันทรงพลังเสียงหนึ่งก็ะโลงมาจากบนท้องฟ้า ร่างของผู้าุโกำลังลอยอยู่กลางอากาศ พวกเขาส่งคลื่นพลังออกมาบีบให้กองกำลังทั้งสองหยุดการเคลื่อนไหวทันที
“ห้ามก่อความวุ่นวายในระหว่างการประเมิน พวกเ้าไม่เข้าใจกฎหรืออย่างไร หยุดมือได้แล้ว”
ผู้าุโเจิ้งตวาดออกมาอย่างเ็า ทุกคนพลันหยุดมือและแยกออกจากกันทันที มีเพียงมู่ขวงเท่านั้นที่ยังลงมือทุบตีเฉินเซิ่งอย่างรุนแรงอยู่
เมื่อเห็นภาพนี้ดวงตาของจ้าวเหิงก็พลันเปลี่ยนเป็เ็า เขาสะบัดฝ่ามือปล่อยคลื่นพลังออกไปตบมู่ขวงอย่างแรง
เปรี้ยง...!
ฝ่ามือสีเหลืองตบลงบนร่างของมู่ขวงอย่างรุนแรง ทำให้เด็กหนุ่มกระอักเืออกมาพร้อมกับถูกเหวี่ยงออกไปไกลกว่ายี่สิบเมตร ไม่รู้ว่ากระดูกภายในร่างกายของเขาแตกหักไปมากน้อยเพียงใด
“ผู้าุโเจิ้งบอกให้หยุด เ้าไม่ได้ยินรึ?”
จ้าวเหิงตวาดออกมาอย่างเ็า ทำราวกับว่าเขาให้ร่วมมือกับผู้าุโเจิ้งเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย
ผู้าุโเจิ้งขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาชำเลืองมองจ้าวเหิงโดยไม่ได้กล่าวอะไร
“พี่ขวง”
“มู่ขวง!”
ศิษย์ตระกูลมู่รวมถึงไป๋จื่อเยว่ต่างก็หน้าซีดด้วยความใ พวกเขารีบวิ่งเข้าไปพยุงร่างของมู่ขวงทันที
มู่ขวงกระอักเืออกมาอีกครั้ง แม้ว่าฝ่ามือเมื่อครู่ของจ้าวเหิงจะไม่ถึงขั้นสังหารเขา แต่มันก็ทำให้เขาได้รับาเ็สาหัส พลังฝ่ามือของอีกฝ่ายยังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเด็กหนุ่ม ซ้ำเติมอาการาเ็ของเขาให้สาหัสขึ้น
“ให้ตายเถอะ! จ้าวเหิง เ้าเป็ผู้าุโอย่างไร เหตุใดจึงลงมือกับรุ่นเยาว์หนักเช่นนี้”
ดวงตาของไป๋จื่อเยว่แดงก่ำ เขามองไปยังจ้าวเหิงก่อนแผดเสียงคำรามออกมา เขารู้จักชายผู้นี้ดี เหล่าศิษย์ตระกูลมู่คนอื่นก็เช่นกัน
“เ้าหนู พวกเ้าไม่เข้าใจกฎระเบียบ ฝ่ามือนั้นเขาสมควรโดนแล้ว ส่วนเ้าบังอาจพูดจาล่วงเกินข้า ตามกฎของสำนักศึกษา เ้าเองก็สมควรถูกลงโทษอย่างหนักเช่นกัน”
สีหน้าของจ้าวเหิงพลันมืดครึ้ม ดวงตาที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร เขายกฝ่ามือขึ้นหมายจะโจมตีไปที่ไป๋จื่อเยว่อีกคน
“พอได้แล้ว อย่าลืมว่าการประเมินยังดำเนินอยู่”
ทันใดนั้นผู้าุโเจิ้งก็กล่าวเสียงเข้มออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวเหิงก็เพียงหรี่ตามองไป๋จื่อเยว่อย่างเ็า แต่ไม่ได้ลงมือทำอะไรอีก
“ตอนนี้เหลือเพียงศิษย์ตระกูลมู่ที่ยังไม่ได้รับการประเมิน แสดงสิ่งที่พวกเ้าได้รับในสิบวันนี้ออกมา”
ผู้าุโเจิ้งกล่าวเสียงเรียบ
หลังจากได้ยินดังนั้น ไป๋จื่อเยว่ มู่ฝาน รวมถึงคนอื่นๆ ในตระกูลมู่ต่างก็เงียบเสียงลง พวกเขาพูดอะไรไม่ออกแล้ว
“มีอะไร ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ? ผลการประเมินของพวกเ้าล่ะ”
ผู้าุโเจิ้งขมวดคิ้วก่อนจะะโขึ้นอีกครั้ง
“ขออภัยผู้าุโ พวกเราไม่มีผลการประเมินขอรับ...”
ในที่สุดไป๋จื่อเยว่ก็ขยับปากกล่าวออกมาอย่างขมขื่น
“ว่าอย่างไรนะ ไม่มี? ไม่มีสักชิ้นเลยหรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้