“ท่านพ่อ หากท่านไม่พูด ข้าเองก็คิดไม่ถึง เช่นนี้ก็ดี คุณชายซูนั้นมีบุญคุณต่อพ่อแม่อย่างใหญ่หลวง หากไม่ใช่ว่าหมอจ้าวที่เขาพามานั้นมีความสามารถเก่งกาจ ไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ตอนนี้... น้องสามยังเล็ก เราจะลาจากกับพ่อแม่ได้อย่างไร”
คําพูดของหลิวเต้าเซียงทำให้หัวใจของหลิวซานกุ้ยเหมือนมีฝนโปรยปรายลงมา หากสองสามีภรรยาเกิดมีอันเป็ไป บุตรสาวทั้งสามคงราวกับไม่มีรากที่คอยยึดเกาะไว้ จะล่องลอยไปอยู่แห่งหนใดก็ไม่อาจรู้ได้!
ตอนนี้คือฤดูใบไม้ผลิของเดือนมีนาคม แต่เหตุใดแสงแดดถึงได้แรงแสบตาเช่นนี้!
หลิวซานกุ้ยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม ในดวงตาของเขามีบางอย่างที่เค็ม สิ่งนั้นคือ น้ำตา!
ว่ากันว่า ไม่ง่ายที่บุรุษจะหลั่งน้ำตา
แต่ไม่รู้ว่า ความเ็ปนี้เกิดจากสิ่งใด!
หัวใจที่จริงใจของหลิวซานกุ้ยนั้น เพราะการกระทำอันชั่วร้ายของหลิวฉีซื่อจึงทำให้มีาแในใจมากมาย เขาเอื้อมมือออกมาลูบหน้าอก ตามด้วยเสียงพ่นลมหายใจอุ่นๆ ออกมาด้วย!
เขาทอดถอนใจที่ชะตาชีวิตไม่ยุติธรรม หรือว่าเขาควรจะเคียดแค้นชิงชังความเหี้ยมโหดของผู้เป็มารดา?
หลิวซานกุ้ยกำลังกล่าวโทษตัวเอง หากว่าเขาเข้าใจและคิดได้เร็วกว่านี้ อ่านนิสัยของคนเหล่านี้ออก บุตรสาวของเขาคงไม่มีทางเป็คนแก่ในคราบเด็กเช่นนี้
เมื่อคิดได้ หัวใจของเขาก็เ็ปรุนแรงกว่าเดิม
บุตรสาวของเขาเดิมทีควรจะชอบเล่นสนุกสนาน ยามที่เขาอยู่ในบ้านก็ควรจะมีเสียงหัวเราะเริงร่าของบุตรสาวดังขึ้นทั่ว...
“ท่านพ่อ!” หลิวเต้าเซียงที่กำลังอ่อนไหวรู้สึกว่าอารมณ์ของบิดาผิดปกติไป จึงเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของเขา
“พ่อไม่เป็ไร เพียงแค่เหนื่อยจากการเทียวไปเทียวมาด้านนอก จึงเวียนศีรษะเล็กน้อย เ้ารีบไปรินน้ำชามาให้พ่อ ได้หรือไม่?” หลิวซานกุ้ยเองก็ไม่ทันสังเกตว่าท่าทีที่ปฏิบัติต่อบุตรสาวนั้นอ่อนโยนกว่าเดิม
หลิวเต้าเซียงเอียงศีรษะเพื่อมองสำรวจเขาอย่างละเอียด เมื่อแน่ใจว่าบิดาไม่ได้โกหก จึงวิ่งเข้าไปรินน้ำชาในห้องครัว
“ท่านพ่อ รีบมานั่งเร็ว” เดิมทีหลิวชิวเซียงที่กำลังเด็ดดอกหยางไหว เมื่อได้ยินบิดาบอกว่าเวียนศีรษะจึงยกเก้าอี้ออกมาวางนอกระเบียงให้เขา
หลิวซานกุ้ยหายใจเข้าลึกๆ ปลายจมูกของเขามีกลิ่นหอมจางๆ โชยเข้ามา รู้สึกเพียงว่าความจุกในอกนั้นหายไปและได้ผ่อนคลายไม่น้อย
ถูกต้อง เขาแยกครอบครัวออกมาแล้ว ชีวิตต่อจากนี้จะค่อยๆ ดีขึ้น เขาจะต้องทำให้บุตรสาวอยากหัวเราะก็หัวเราะ อยากกินก็กิน อยากซื้อก็ซื้อ
ซึ่งจำเป็ต้องใช้เงินมากมาย!
หลิวซานกุ้ยแอบกํามือ เขาต้องพยายามเพื่อให้คนในครอบครัวมีชีวิตที่ดี
จางกุ้ยฮัวกลับมาจากแปลงผักหลังบ้าน เมื่อเห็นพ่อลูกทั้งสามนั่งเด็ดดอกหยางไหวอยู่ตรงนั้น ดอกหยางไหวในกะละมังใหญ่จึงเหลือเพียงเล็กน้อย
“เ้ากลับมาเมื่อไร?”
“่กลางยามเว่ย!” ยามเว่ยที่หลิวซานกุ้ยพูดถึงคือ เวลาประมาณบ่ายสองของโลกปัจจุบัน
“กินข้าวแล้วหรือ?”
“กินแล้ว เ้าไปพรวนดินแปลงผักด้านหลังหรือ? บอกแล้วว่าจะรอข้ากลับมาทำไม่ใช่หรือ? รีบมานั่งพักเร็ว”
หลิวซานกุ้ยกวักมือเรียกนางให้นั่งลงข้างๆ เขา
หลิวเต้าเซียงแทบรอไม่ไหวที่จะถามว่า “ท่านพ่อ เื่เป็อย่างไรบ้าง?”
หลิวซานกุ้ยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าเหตุใดเ้าจึงอดทนได้นานเช่นนี้ ที่แท้ก็กำลังรออยู่นี่เอง”
เขาหันไปหาจางกุ้ยฮัวอีกครั้งและพูดว่า “ทุกอย่างจัดการเรียบร้อย ดีที่ได้ลูกรองเตือนก่อน พอข้าไป พ่อบ้านท่านนั้นก็กัดฟันขอหกสิบห้าตำลึง ต่อมาข้าบอกว่ามีไม่ถึง เงินที่พกไปไม่พอ อีกทั้งนายหน้าจางยังช่วยโน้มน้าวด้วย คนผู้นั้นจึงถามข้าว่าพกเงินไปเท่าไร ข้าจึงแอบบอกปัดไปเล็กน้อยว่ามีเพียงห้าสิบตำลึง”
“อ่า เหตุใดจึงบอกว่าเอาไปเพียงห้าสิบตำลึง เช่นนั้นหากเขาไม่ตกลงจะทำอย่างไร?” จางกุ้ยฮัวร้อนใจ
หลิวชิวเซียงที่อยู่ด้านข้างยิ้ม “ท่านแม่ อย่าเพิ่งร้อนใจ ท่านพ่อบอกว่าจัดการเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรือ?”
ระหว่างที่เดินทางไป หลิวซานกุ้ยได้พูดคุยกับนายหน้าจางนานสักพักใหญ่ เริ่มแรกบอกว่าเขาชอบที่ดินผืนนั้น ไม่ว่านายหน้าจางมีความคิดเช่นไร ต้องช่วยเขาซื้อที่ดินให้ได้ นายหน้าจางเป็คนที่อ่านสีหน้าคนเป็ เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ไฉนเลยจะไม่รู้ว่าเงินของหลิวซานกุ้ยมีไม่พอ แต่ก็คิดว่าคงไม่ต่างกันมาก
เขามีแผนอยากทำการเจรจาครั้งนี้ให้สำเร็จ หลิวซานกุ้ยเห็นเขานิ่งเงียบไม่พูดจา จึงบอกว่านอกจากค่าใช้จ่ายที่ต้องให้นายหน้าจาง จะมอบซองแดงให้เขาอีกหนึ่งตำลึง
นายหน้าจางคิดดู หากได้เงินทั้งสองก้อนย่อมเป็เื่ดี จึงตบหน้าอกรับปากไว้ เขาจึงพยายามช่วยโน้มน้าวพ่อบ้านท่านนั้นให้อีกแรง
ถึงอย่างไรเขาก็ทำการค้าเจรจาอยู่ตลอดทุกเมื่อ สำหรับนิสัยของเหล่าพ่อบ้าน เขาจึงจับทางได้อย่างชัดเจน จึงส่งสัญญาณให้หลิวซานกุ้ยว่าสามารถให้ซองแดงไม่กี่ตำลึงแก่คนผู้นั้น
แน่นอนว่าเมื่อพ่อบ้านท่านนั้นรู้ว่าหลิวซานกุ้ยนำเงินมาเพียงห้าสิบตำลึง ใบหน้าก็หมองคล้ำลงราวกับหมึกทันใด นายหน้าจางกลัวว่าเื่ราวจะไม่เป็ไปตามแผนที่วางไว้ จึงแอบส่งสัญญาณให้หลิวซานกุ้ยรีบเอาซองแดงที่เตรียมไว้ออกมา
เมื่อพ่อบ้านเห็นว่าเป็ซองแดงห้าตำลึง จึงดีใจ จากนั้นบอกกับหลิวซานกุ้ยว่าที่ดินนี้ไม่ได้ดีนัก จึงคิดให้ในราคาห้าสิบตำลึง
จางกุ้ยฮัวไม่เข้าใจ จึงถามว่า “เ้าบอกว่าที่นาตรงนั้นไม่เลวไม่ใช่หรือ มิฉะนั้นเ้าก็คงไม่มีทางไปที่อำเภอและซื้อที่ดิน แล้วเหตุใดพ่อบ้านจึงบอกว่าที่ดินนั้นไม่ดีนัก?”
“เ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว พ่อบ้านก็พูดไปอย่างนั้น เขาเพียงแค่คิดคำพูดที่จะไปบอกกับเ้านาย ใครจะสนใจว่าที่ดินของเ้านายดีหรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็ได้ผลประโยชน์”
เมื่อน้ำใสจักไม่มีปลาได้อย่างไร!
หลิวซานกุ้ยไม่สามารถอธิบายให้จางกุ้ยฮัวเข้าใจอย่างชัดเจนในเื่นี้
หลิวเต้าเซียงแอบคิดในใจ หนทางสู่การข้ามมิติ กับดักได้ใจคน!
มนุษย์ย่อมมีความจริงใจ และมนุษย์ก็ต้องมีกับดักที่ล้ำลึกด้วยเช่นกัน!
ช่างเหมือนหลิวเต้าเซียงจริงๆ นางมีหัวใจที่อยากก้าวหน้าขึ้นอีก เงินตราจ๋า นางต้องอ้าแขนไว้ไขว่คว้ามัน
จางกุ้ยฮัวได้ฟังและพูดว่า “พ่อบ้านคนนี้ไม่ใช่คนดีอะไรนัก”
เวลานี้จางกุ้ยฮัวยังไม่คิดว่าครอบครัวของนางจะมีวันที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง หรือการที่ในบ้านจำต้องมีพ่อบ้าน ท่าทางลังเลของนางนั้นทำให้คนทั้งบ้านหัวเราะ
หลิวเต้าเซียงหัวเราะขบขันอยู่ด้านข้าง “ไม่ว่าพ่อบ้านคนนั้นจะดีหรือไม่ดีครอบครัวของเราก็ได้รับประโยชน์”
ข้าวสารยังมีความสั้นยาวไม่เท่ากัน คนเราก็มีแบ่งแยกดีชั่ว!
เกิดเป็คนก็ต้องมองไปทางข้างหน้า
“ใช่แล้ว กุ้ยฮัว หลังจากหักค่าใช้จ่ายที่นาดีห้าไร่กับที่ดินรกร้างห้าไร่ เดิมทีควรจะเป็ราคาหกสิบตำลึง กลายเป็ห้าสิบตำลึง แล้วให้พ่อบ้านห้าตำลึงกับนายหน้าจางสองตำลึง และค่าธรรมเนียมโฉนดหนึ่งตำลึง ทั้งหมดเพียงห้าสิบแปดตำลึง เราประหยัดให้ท่านแม่ได้ตั้งเจ็ดตำลึง”
เงินเจ็ดตำลึงสำหรับคนรวยคงไม่มากอะไร แต่สำหรับครอบครัวหลิวนี้สามารถใช้ทำอะไรได้มากมาย
หลิวเต้าเซียงยังเกลี้ยกล่อม “ท่านแม่ ท่านพ่อประหยัดค่าเช่าให้ท่านยายได้ตั้งเจ็ดปีเชียวนะ! อย่างที่ข้าบอก ให้พ่อบ้านนั้นห้าตำลึง นับว่าคุ้มค่า!”
พอนางชี้แจงเช่นนี้ จางกุ้ยฮัวก็ฟังเข้าใจและรู้สึกว่าคุ้มค่าจริงๆ
“ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็เป็พ่อบ้านของคนอื่น ไม่แน่ว่าเ้านายอาจจะรู้ว่าเขามือเท้าไม่สะอาดั้แ่แรก”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและพูดว่า “จะให้คนเขาเดินทางมาตั้งไกล ถึงอย่างไรก็ควรจะให้ค่าเดินทางสักหน่อย”
เช่นเดียวกับพนักงานขายในโลกยุคปัจจุบัน การออกเดินทางประจำ ทางบริษัทก็ต้องมีค่าเดินทางและที่พักสนับสนุนให้ไม่ใช่หรือ?
ไม่แน่ว่าคนเป็นายอาจจะคิดไว้อยู่แล้ว เพียงแต่เลือกที่จะหลับตาข้างหนึ่งไว้แทน
“วันหลัง ข้าจะหาเวลาว่างส่งข่าวกลับไปให้ท่านแม่”
หลิวซานกุ้ยคิดและพูดว่า “ตกลง วันมะรืนข้าจะไปส่งข่าวให้ท่านแม่ แล้วนำเกี๊ยวดอกหยางไหวไปให้ท่านแม่ด้วย”
จางกุ้ยฮัวกลัวว่าเกี๊ยวต้มสุกแล้วจะติดกัน “ข้าว่าควรจะแยกไส้กับแป้งไว้ ให้แม่ข้าห่อกินเอง จะได้ไม่ผสมกัน”
“เ้าว่าอย่างไรก็ตามนั้น โฉนดที่ดินกับหนังสือเช่าบ้าน ข้าวางไว้ใต้หมอนบนเตียงของเรา เ้าเก็บไว้ด้วย รอท่านแม่เก็บของเสร็จ เราก็ไปช่วยนางย้ายบ้าน แล้วค่อยนำของเหล่านี้ให้นาง”
จางกุ้ยฮัวกังวลเล็กน้อย เื่เช่นนี้ปิดบังได้ยาก ช้าเร็วก็ต้องมีคนรู้ “ข้าจะช่วยแม่เก็บไว้ก่อน หากไว้ที่นางข้าไม่วางใจ เพราะนางยังอยู่ลำพังคนเดียว”
“ท่านแม่เราไม่บอก แล้วใครจะรู้ ก่อนหน้านี้ยังมีคนถามท่านว่าท่านพ่อไปที่ใด เราก็แค่บอกว่าท่านพ่อปวดท้องอีกแล้ว คราวนี้จึงไปหาหมอที่อำเภอ” หลิวเต้าเซียงเอ่ย
ข้อแก้ตัวเป็สิ่งที่ยืนยันได้ หลิวซานกุ้ยเคยอาหารเป็พิษ หากจะมีครั้งต่อไป คนอื่นก็คงไม่คิดมาก
“ลูกรองพูดถูก หากเราไม่พูดออกไป แม่เ้าก็ไม่ได้มาที่หมู่บ้านเรา หมู่บ้านสามสิบลี้จะรู้จักได้อย่างไร แม้ว่าคนในหมู่บ้านห้าสิบลี้เห็นที่ตลาดนัด นางก็ไม่ได้พักที่บ้านเอ้อร์จิ้นย่วน แต่พักที่บ้านเล็กๆ ทั่วไป อาจจะบอกว่าอวี้เต๋อไหว้วานคนมาช่วยเช่าให้นางก็ได้ จะได้ทำให้เราดูแลท่านแม่ได้โดยง่าย”
หลิวซานกุ้ยได้คิดไตร่ตรองไว้แล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครรู้เื่เงินห้าสิบตำลึงของเฉินซื่อ ส่วนเงินของจางกุ้ยฮัว เขาเองก็แอบบอกกล่าวกับหลี่เจิ้งไว้แล้ว
หากมีคนพูดถึงเื่นี้จริง อันที่จริงหมายถึงผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้าน หากว่ากลายเป็ข่าวขึ้นมา ก็บอกว่าจางกุ้ยฮัวนำเงินสินเ้าสาวไปซื้อที่กับเลี้ยงไก่กับหมูแล้ว กระทั่งเงินที่ทำเครื่องไม้ในบ้านก็ต้องติดค้างไว้ก่อน
ทั้งครอบครัวนั่งเด็ดดอกหยางไหวไปพลางและปรึกษาหารือแผนการรองรับเพื่อไม่ให้เป็ที่สังเกตของผู้คน
ความระมัดระวังนำไปสู่การสร้างเรือหมื่นปีได้
หลิวเต้าเซียงชื่นชมแิของครอบครัวแสนดีอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
“กุ้ยฮัว ข้าจะพาลูกๆ ไปเก็บดอกหยางไหวเพิ่มสักหน่อย”
หลังจากเด็ดดอกไม้เสร็จสิ้น หลิวซานกุ้ยปรบมือและลุกขึ้นยืน
จางกุ้ยฮัวมองไปที่ดอกหยางไหวในกะละมังไม้ขนาดใหญ่อีกใบอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดยังต้องเก็บเพิ่ม?
“เราต้องเอาไปให้ท่านแม่ส่วนหนึ่ง และส่งไปให้คุณชายซูส่วนหนึ่ง แล้วก็พ่อแม่เรา...”
ในใจของหลิวซานกุ้ย เขาไม่ได้อยากส่งอาหารให้หลิวฉีซื่อ
แต่ทุกคนต่างก็เป็คนหมู่บ้านเดียวกัน หากบ้านตนเองได้กินของดี แล้วไม่ส่งไปให้บิดามารดาสักหน่อย เกรงว่าคนในหมู่บ้านจะค่อยๆ ห่างเหินกับพวกเขา
จางกุ้ยฮัวนิ่งเงียบไปสักพักกว่าจะเค้นเสียงออกมาได้ “เ้าอยากเอาไปก็เอาไปเถิด ข้ากับลูกสาวคงไม่ไป”
“ข้าไปเอง! เ้าอย่าเพิ่งโกรธ ทุกคนต่างก็เห็น อีกอย่าง วันรุ่งขึ้นเ้ายังจะทำเกี๊ยวดอกหยางไหวให้คนกลุ่มใหญ่ด้วย!”
ความหมายของหลิวซานกุ้ยนั้นชัดเจนมาก แม้ว่าเขาจะไม่้าทำเช่นนี้ แต่เขาก็ต้องทำ
“ช่างเถิด ท่านแม่ ถือว่าเราเสียเปรียบให้บ้านเดิมสักหน” หลิวเต้าเซียงเองก็ไม่ได้ชอบคนในบ้านเดิม
จางกุ้ยฮัวรู้สึกสบายใจ ไม่เสียแรงที่รักใคร่บุตรสาว ขอเพียงนางบอกว่าไม่้า บุตรสาวของนางก็จะเข้าข้างตนเองทันที
“ได้ๆๆ เ้าว่าอย่างไร แม่ก็ตามใจเ้า”
หลิวซานกุ้ยเอื้อมมือไปแตะจมูก ผลลัพธ์คือทุกคนไม่สนใจเขา เขารู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความสนใจจึงแบกตะกร้าขึ้นหลัง หิ้วตะกร้าใบเล็กแล้วเดินออกมา
“ลูกๆ ไปกับพ่อ!”
เบื้องหน้าของหลิวเต้าเซียงมีเส้นสีดำพาดผ่าน ความรู้สึกนี้ราวกับหัวหน้าโจรูเากำลังบอกว่า พี่น้อง ไปกับข้า รับรองว่ามีเนื้อให้กิน!
-----
