จ้าวซื่อเคยเผชิญกับโรคระบาดมาก่อน ตายเก้ามีชีวิตรอดมาหนึ่ง จึงมองเื่ต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่งกว่าสตรีธรรมดาทั่วไปหลายคน นางเอ่ยอย่างเนิบช้าว่า “เอาเป็ว่าได้คนดีๆ แต่งเข้ามาเป็พอ”
“ท่านแม่เ้าคะ ท่านช่างดีเหลือเกิน วันหน้าข้าจะบอกกับพี่เยี่ยน นางจะต้องรู้สึกว่าโชคดีที่มีแม่สามีเช่นท่านเ้าค่ะ”
“เ้าเด็กคนนี้จงใจหลอกถามแม่รึ”
“มิใช่เ้าค่ะ ข้าแค่ยืนอยู่สูงมองได้ไกล หากสินติดตัวของพี่เยี่ยนมีน้อยและถูกคนในหมู่บ้านเยาะเอา แล้วทำให้ท่านแม่โกรธก็จะไม่ดีเ้าค่ะ”
จ้าวซื่อจึงว่า “จะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ ตนเองเท่านั้นที่รู้ ผู้อื่นก้าวก่ายไม่ได้และพูดอันใดก็ไม่ได้ด้วย”
“คำของท่านแม่ ทำให้ข้าได้เรียนรู้เ้าค่ะ”
เพียงพริบตาก็มาถึงเทศกาลโคมไฟแล้ว ตามธรรมเนียมของแคว้นต้าโจว ในวันนี้ไม่ว่าจะเป็คนมั่งมีหรือยากจนล้วนต้องกินบัวลอยลูกโต ตกกลางคืนก็ต้องไปชมโคมไฟสวยงามบนท้องถนน
ปีก่อนๆ บ้านสกุลหลี่ยากจนกระทั่งตะเกียบเคาะถ้วยดังติงตัง แต่คนทั้งบ้านก็ยังไปชมโคมไฟกันที่ตำบลจินจี ปีนี้มีฐานะดีขึ้นแล้วยิ่งต้องไปดู
แต่ในบ้านมีเด็กทารกอยู่สองคน จะต้องมีคนอยู่คอยดูแลพวกเขา คนเป็แม่เช่นจ้าวซื่อจึงอยู่เรือนตามหน้าที่อย่างปฏิเสธไม่ได้และหลี่ซานก็อยู่ด้วยเพื่อจะได้คอยเป็เพื่อนนาง
สองสามีภรรยารู้สึกว่าคนบ้านอู่ทำงานได้อย่างดี จึงให้พวกเขาพักผ่อนและไปชมโคมด้วย
อู่อวี๋เหนียนและนางจางต่างก็เป็คนที่รักษาหน้าที่อย่างยิ่ง แล้วจะไปชมโคมโดยทิ้งเ้านายเอาไว้ได้อย่างไร จึงเป็ฝ่ายบอกเองว่าจะอยู่ที่เรือน ให้บุตรชายสองคนตามพี่น้องชายหญิงบ้านหลี่ทั้งห้าคนไปด้วย
หลี่เจี้ยนอันรั้งตัวอู่ต้าที่กำลังเตรียมเกวียนลาแล้วบอกว่า “มีคนไปชมโคมมากมายเกินไป อย่าเอาเกวียนลาไปเลย เดินไปเป็พอ”
ดังนี้เองเด็กหนุ่มเด็กหญิงทั้งเจ็ดคนจึงเข้าไปในกลุ่มคนของหมู่บ้านหลี่ที่เดินทางไปชมโคมที่ตำบลจินจีด้วยความตื่นเต้นดีใจเกินจะเอ่ย
หลี่หรูอี้ถูกซานโก่วจื่อและอู่โก่วจื่อดึงตัวไปแล้ว
ซานโก่วจื่อหายป่วยนานแล้วและยังทำงานยุ่งมากในวันงานแต่งงานของเอ้อร์โก่วจื่อด้วย
นางขยันขันแข็งยิ่งกว่าอู่โก่วจื่อเสียอีก เพราะเคยเป็บ่าวไพร่มาก่อน ต้องทำงานท่ามกลางความกดดัน จึงทำงานได้รวดเร็วนัก
งานบ้านในเรือนสกุลสวี่มีน้อยกว่าที่บ้านเ้านายมาก ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่มีคนก่นด่านาง ไม่มีคนดูแคลนนาง พอสบายใจสภาพจิตใจก็ดีขึ้นมาก กลับมาครึ่งเดือนอ้วนขึ้นอีกสองชั่ง สีหน้าก็แดงระเรื่อและดูดีขึ้นมากด้วย
นางมาถึงวัยที่จะเอ่ยเื่หมั้นหมายแล้ว และฐานะของบ้านสวี่ดีกว่าแต่ก่อน จึงมีเด็กหนุ่มหลายคนในหมู่บ้านหลี่คอยเหลียวมองนางอยู่ตลอดเวลา
เด็กหนุ่มคนใดที่คอยหันมองซานโก่วจื่อ หากไม่ผ่านความเห็นชอบจากอู่โก่วจื่อ นางก็จะถลึงตาใส่ไปทุกคน
เด็กหนุ่มจากสกุลหวังคนหนึ่งนึกไม่ถึงว่าจะถูกอู่โก่วจื่อซึ่งเป็น้องสาวของซานโก่วจื่อรังเกียจ ด้วยความใจลอยจึงไปสะดุดก้อนหินจนหกล้ม เสื้อผ้าครูดกับหินจนขาด ว่าแล้วก็คับแค้นใจจนอยากร้องไห้
อู่โก่วจื่อกลับหัวเราะลั่นอย่างได้ใจ
ซานโก่วจื่อไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี กล่าวว่า “อู่โก่วจื่อเ้าทำสิ่งใดนี่”
อู่โก่วจื่อกำชับว่า “พี่สาว ท่านต้องเลือกคนจากบ้านเรือนดีๆ ห้ามแต่งงานส่งเดชเด็ดขาด”
หลี่หรูอี้เตือนสติว่า “เื่แต่งงานของพี่สาวเ้าคล้ายว่าจะตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องให้ท่านพ่อท่านแม่เ้าตัดสินใจกระมัง”
อู่โก่วจื่อจึงบอกว่า “ข้าบอกกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว” บอกไปั้แ่หลายวันก่อน แต่ดูจากสีหน้าของบิดามารดากลับมิได้ให้ความสำคัญใดกับคำพูดของนาง คนต่ำต้อยถ้อยคำไร้น้ำหนัก หนำซ้ำนางยังเป็เพียงเด็กผู้หญิง ยามอยู่ต่อหน้าบิดามารดาจึงไม่มีอำนาจจะพูดเื่ใดๆ หากนางเป็เหมือนหลี่หรูอี้ที่สามารถตัดสินใจเื่ใหญ่โตตั้งหลายเื่ของบ้านสกุลหลี่ได้ก็คงดี
หลี่หรูอี้บอกว่า “ข้าว่ามิสู้เ้าลองไปพูดต่อหน้าท่านแม่ของเ้ากับท่านแม่ของข้าดู” พลางคิดในใจว่า ไม่ใช่แค่ต้องเลือกคนจากบ้านเรือนดีๆ เท่านั้น ยังต้องมอบสินติดตัวให้มากสักหน่อย ใช่ว่าแม่สามีทุกคนจะมีเหตุมีผลและใจกว้างทั้งเข้าใจโลกเช่นท่านแม่ข้า
อู่โก่วจื่อเอ่ยราวกับคนตาสว่างว่า “ใช่แล้ว ท่านแม่ข้าจะต้องยอมฟังคำของท่านน้าอย่างแน่นอน”
บางครั้งมีคนพากันหันหน้ามามอง อู่โก่วจื่อยังนึกว่าคนเ่าั้กำลังมองซานโก่วจื่อเสียอีก
“นั่นคือแม่นางหรูอี้แห่งสกุลหลี่ นางเป็หมอเทวดาน้อย”
“ได้ยินว่าเต้าหู้ตระกูลหลี่เป็แม่นางสกุลหลี่ที่คิดค้นขึ้นมา”
“ตาเฒ่าจางในหมู่บ้านเราป่วยเจียนตายอยู่แล้ว เป็หมอเทวดาน้อยช่วยชีวิตเขาเอาไว้”
“หมอเทวดาน้อยในหมู่บ้านเ้าคือคนใด รีบชี้ให้ข้าดูหน่อย”
“คนในร้านขายยาที่ตำบลจินจีไม่ยอมตรวจรักษาคนในหมู่บ้านข้า คนที่หมู่บ้านเราจึงไปหาหมอเทวดาน้อย หมอเทวดาน้อยไม่เก็บเงินพวกเรา และยังรักษาอาการเจ็บป่วยของพวกเราจนหายด้วย”
“ข้าได้ยินว่า จวนเยี่ยนอ๋องยังเคยปูนบำเหน็จรางวัลให้หมอเทวดาน้อยด้วย”
“ที่แท้จวนเยี่ยนอ๋องก็ยังรู้จักหมอเทวดาน้อย ในหุบเขาห่างไกลกำเนิดหงส์ทอง สกุลหลี่มีวาสนาจริงๆ จึงให้กำเนิดหงส์ทองตัวหนึ่ง ทำให้หมู่บ้านหลี่ของเราพลอยมีหน้ามีตาไปกับสกุลหลี่ด้วย”
นอกจากชาวบ้านของหมู่บ้านหลี่แล้ว ก็ยังมีชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นที่กำลังมุ่งหน้าไปยังตำบลจินจีด้วย ระหว่างทางมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเอ่ยถึงหลี่หรูอี้ที่เริ่มมีชื่อเสียงโดดเด่นขึ้นมา
พวกเขาสงสัยกันเสียยิ่งว่าหลี่หรูอี้หน้าตาเป็อย่างไร และยิ่งใคร่รู้ว่าสุสานบรรพชนสกุลหลี่มีควันเขียว[1]ออกมาหรือไร จึงได้มีบุตรสาวที่ดีงามเช่นนี้
เด็กหนุ่มบ้านหลี่สี่คน เด็กหนุ่มบ้านอู่ และคนบ้านสวี่ ได้ยินทุกคนวิพากษ์วิจารณ์กัน จึงรีบเข้ามาห้อมล้อมพวกของหลี่หรูอี้ซึ่งเป็หญิงทั้งสามคนเอาไว้
ทั้งหน้าหลังและซ้ายขวาของหลี่หรูอี้ล้วนเป็คนของตนทั้งสิ้น คนที่อยากรู้อยากเห็นและคิดจะเข้ามาสนทนาตีสนิท จึงไม่มีทางเข้ามาใกล้ได้
กระทั่งเกือบถึงตำบลจินจี คนสกุลหลี่ก็ได้พบกับจางจินไห่สามพี่น้องชายหญิงที่มารออยู่ที่นี่พักหนึ่งแล้ว
จางอิ๋นฟางม้วนผมสามมวยปักปิ่นดีบุกรูปดอกบ๊วยด้ามหนึ่ง สวมเสื้อนวมสีแดง กางเกงสีดำ ดูทะมัดทะแมงไม่เบา ทว่านางมองเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่เพียงครั้งหนึ่ง ก็กลับวิ่งตรงเข้ามาหาหลี่หรูอี้ “น้องหรูอี้”
หลี่หรูอี้ดึงสองมือแสนเย็นเฉียบของจางอิ๋นฟางเข้ามาถามว่า “อากาศเหน็บหนาวนัก พวกเ้ายืนอยู่ที่นี่หนาวมากหรือไม่”
จางอิ๋นฟางยิ้มพลางว่า “ท่านปู่ข้าบอกว่า คืนนี้พวกเ้าจะมา ให้พวกเราพี่น้องมารอรับพวกเ้า”
หลี่ฝูคังคิดในใจว่า บ้านเราปฏิเสธบ้านสกุลจางแล้ว เหตุใดบ้านสกุลจางจึงยังคงมีไมตรีต่อบ้านเราเช่นนี้
จางจินไห่เอ่ยกับเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่ว่า “ข้าได้ยินว่า พวกเ้าจะสอบเข้าสำนักศึกษา จึงไปขอข้อสอบเพื่อสอบเข้าสำนักศึกษาในสองสามปีนี้มาจากสหายของท่านอาจารย์ ข้าเองก็เพิ่งได้มาวันนี้ มอบให้พวกเ้าก็แล้วกัน” จบความก็หยิบซองจดหมายออกมาจากสาบเสื้อแล้วมอบให้หลี่เจี้ยนอัน
เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่ทั้งตื่นเต้นและยินดี พากันพูดเป็เสียงเดียวว่า “ข้อสอบของสำนักศึกษาชิงซง”
แววตาของจางจินไห่เปี่ยมด้วยความจริงใจ ขณะเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ใช่แล้ว ในนี้ยังมีข้อสอบที่เคยสอบในปีนั้นด้วย ข้าได้ยินว่า พวกเ้ามีอาจารย์ที่เป็จวี่เหริน ผู้หนึ่ง เมื่อพวกเ้าลองทำข้อสอบเหล่านี้และให้อาจารย์จวี่เหรินชี้แนะ พอไปสอบก็จะทำได้”
ครอบครัวเขาแค่ขายเนื้อหมู ไร้อำนาจไร้บารมี แต่เขากลับเรียนหนังสือเก่ง แต่ทั้งการปฏิบัติตนและการจัดการเื่นานาก็ดีทำให้มีสหายหลายคน แม้แต่อาจารย์ก็ยังเอาใจใส่เขาอย่างยิ่ง
สำนักศึกษาชิงซงปิดเรียนแล้ว เขาก็ยังมีความสามารถเอาข้อสอบของสำนักศึกษาของสามปีก่อนมาได้
ส่วนเื่ที่สกุลหลี่ปฏิเสธสกุลจาง แต่เขายังคงให้ความช่วยเหลือเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่คน ก็เพราะตาเฒ่าจางท่านปู่ของเขาคิดว่า ขอเพียงหลี่ฝูคังยังไม่ได้หมั้นหมายกับจางอวิ๋น จางอิ๋นฟางก็ยังมีโอกาส อีกประการยังมีหลี่อิงฮว๋ากับหลี่ิ่หานอีกสองคน
สรุปก็คือ ตาเฒ่าจางอยากให้หลานสาวของตนแต่งเข้าสกุลหลี่ให้ได้
เด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่คนพากันกล่าวคำขอบคุณ
จางจินไห่เอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “ขอบคุณอันใด หมอเทวดาน้อยยังเคยช่วยชีวิตท่านปู่ของข้าเอาไว้เลย”
ส่วนหลี่หรูอี้แนะนำกับจางอิ๋นฟางว่า “นี่คือสหายสนิทของข้าชื่ออู่โก่วจื่อ และพี่สาวของนางคือซานโก่วจื่อ”
จางอิ๋นฟางเป็คนมีนิสัยร่าเริง มีมารยาทรู้จักวางตัว ทั้งไม่ดูแคลนคนจากในหมู่บ้าน จึงสนทนากับซานโก่วจื่อและอู่โก่วจื่อได้อย่างรวดเร็ว
จางถงเจียงอายุเก้าขวบคอยตามหลังจางจินไห่เหมือนหางอันน้อยๆ เขาคุยกับเด็กหนุ่มสกุลหลี่ทั้งสี่สองสามคำและยังคุยกับอู่ต้าพี่น้องด้วย
ถนนหลักและถนนย่านการค้าของตำบลจินจีล้วนแขวนโคมหลากสีไว้เต็มไปหมด และยังวาดภาพไว้บนโคมหลากหลายรูปแบบด้วย แสงโคมหลากสีสันส่องให้ทั้งตำบลสว่างไสวดั่งกลางวัน
เวลานี้ทั้งชายหญิง เด็ก และคนชรา ต่างหลั่งไหลกันมาอย่างคับคั่ง ผู้คนในรัศมีสิบลี้จากหลายหมู่บ้านล้วนมารวมตัวกัน ดูครึกครื้นไม่ธรรมดาเลย
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] สุสานบรรพชนมีควันเขียว ชาวจีนเชื่อว่าเป็ลางดี จะมีเื่มงคลเกิดขึ้นในครอบครัว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้