เมื่อค้อนดาวตกกระแทกเข้าหาตนอีกครั้ง เจียงเฉิงเยว่ยกดาบขึ้นสกัดกั้น เดิมทีอีกฝ่ายจงใจโจมตีหลอกล่อ ค้อนดาวตกแว้งกัดมือซ้ายของเขาเหมือนงูิญญาที่มีชีวิต หัวใจของเจียงเฉิงเยว่จมดิ่งลง ทำได้เพียงยกมือไปสกัดกั้น ้าใช้แขนรับการโจมตีเพื่อป้องกันจุดสำคัญบนหน้าอกไม่ให้าเ็
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่ค้อนดาวตกจะแว้งกัดเขา จู่ๆ กลับมีแสงสีเงินสว่างวาบ หลังจากเสียงคำรามดังสนั่น ที่แขนเสื้อของเขามีบางอย่างพุ่งขึ้นมาด้วยเงาร่างราวกับัเกรี้ยวเหวี่ยงค้อนดาวตกออกไป มันพุ่งไปหาจ้าวเฮยอย่างโเี้
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง
จ้าวเฮยร้องะโและพลิกตัวหลบหนี
หลังจากวิกฤตคลี่คลาย แสงสีเงินนั้นบินกลับมาที่ข้างมือของเจียงเฉิงเยว่ ควบแน่นเป็ร่างที่แท้จริง เจียงเฉิงเยว่จึงเข้าใจขึ้นมา เขายื่นมือออกไปรับมัน แสงสีเงินควบแน่นเป็ดาบอ่อนเล่มหนึ่งพร้อมเปล่งแสงประกายเย็นะเื
ตัวเขาเองนิ่งค้างไปเป็เวลานานก่อนระบายยิ้มออกมา เขาโยนดาบิญญาธรรมดาทิ้งไป ถือดาบอ่อนเล่มนี้ ช่างเปรียบเสมือนความช่วยเหลือจาก ‘เทพ’ เสียจริง จัดการทุบตีจ้าวเฮยจนยับเยิน
‘ปัง’
เจียงเฉิงเยว่ยืนอยู่บนยอดหลังคาสูง จากนั้นเตะจ้าวเฮยลงไปพลางกวัดแกว่งดาบอ่อนในมือ ปลายดาบสั่นแ่เบาราวกับระฆังเงิน ช่างไพเราะยิ่งนัก เขายืนอย่างภาคภูมิมองไปที่กลุ่มคนด้วยรอยยิ้ม นับได้ว่าเป็การระบายความแค้น เขาเลิกคิ้วกล่าว “มีใครอยากจะขึ้นมาอีกหรือไม่?”
ไม่จำเป็ต้องแบ่งปันพลังิญญา อาวุธวิเศษที่ถูกฝากไว้โดยเซียนจวินแห่ง์มีพลังิญญาในตนเอง มรรคาเต๋าของมันไม่ได้ตื้นเขิน กล่าวในแง่ของประสบการณ์การต่อสู้ ความคล่องแคล่วและการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลาย ฉิงชางจวินก็มีชื่อเสียงมานาน เผชิญกับิญญาชั่วร้ายเล็กๆ ตนหนึ่งจึงอยู่ในระดับที่บดขยี้ได้โดยธรรมชาติ ที่เสียเปรียบก่อนหน้านี้เพียงเพราะพลังิญญาที่บ่มเพาะล้วนถูกตี้จวินริบไป ทำให้พลังิญญาไม่เพียงพอ หากมีดาบเซียนเล่มนี้ในมือจึงชดเชยความอ่อนแอนี้ได้พอดี นับได้ว่าเป็การเวนคืนที่ดินบางส่วน[1]
กลุ่มคนเงียบงันไปสักพักหนึ่ง เหล่าภูตผี ผู้ฝึกฝนมนุษย์และปีศาจต่างมองไปรอบด้านของตนเอง ไม่ส่งเสียงเป็เวลานาน
ทันใดนั้น เสียงหวานใสและไพเราะเสียงหนึ่งกล่าวขึ้น “ข้าเอง”
เจียงเฉิงเยว่มองตามเสียงไปกลับเห็นเงาร่างราวกับน้ำพริ้วไหวบินขึ้นจากกลุ่มคน ชายเสื้อปลิวไสวคล้ายกับเซียน เป็หลิ่ววั่งซู คุณชายอวี้หลิวที่เคยพบก่อนหน้านี้
เป็ไปดังคาด เขาถือพัดคลี่กระดูกหยก ยกกำปั้นทำความเคารพ “เหยียนชิว หลิ่ววั่งซูมาขอคำแนะนำ ขอปรมาจารย์โปรดชี้แนะ” ไอปีศาจของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งจนไม่อาจปกปิดได้ ซึ่งทำให้ผู้ฝึกฝนธรรมดาในที่แห่งนี้ต่างตกตะลึง พากันลิ้นจุกปาก
เจียงเฉิงเยว่ยกมุมปาก เผชิญหน้ากับ ‘คุณชายอวี้หลิว’ ผู้มีชื่อเสียง เพียงชั่วขณะก็ปลดปล่อยความลุ่มหลงในการต่อสู้ อดไม่ได้ที่จะคว้าโอกาสนี้แล้วถือดาบพุ่งเข้าไป คนทั้งสองต่อสู้จากหลังคาหนึ่งไปยังอีกหลังคาหนึ่ง ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่าติดกันยังยากที่จะแยกออกว่าใครเหนือกว่า และทุกคนที่อยู่ใต้ระเบียงต่างเฝ้าดูอย่างใจจดใจจ่อ
แม้ว่าพลังิญญาของอาวุธวิเศษที่หลี่อวิ๋นหังทิ้งไว้นั้นลึกล้ำอย่างไม่อาจหยั่งถึง ทว่าสุดท้ายแล้วเจียงเฉิงเยว่ไม่ใช่เ้าของ จึงไม่มีทางใช้งานอย่างการเรียกก็มา สะบัดก็หายไปเช่นนั้นอย่างที่ทำกับโม่หลง ความจริงแล้วเขาไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยมือ เพราะรู้ว่าความสามารถปัจจุบันของตนเองจะไม่กลับมาอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงใช้เพียงกระบวนท่าธรรมดาในการต่อสู้กับคุณชายอวี้หลิวผู้นั้น
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าคุณชายอวี้หลิวผู้นั้นแตกต่างจากจ้าวเฮยนัก เช่นเดียวกับเจียงเฉิงเยว่ที่กระบวนท่ามาถึงจุดสำคัญ แม้แต่แรงกดดันไอปีศาจที่แข็งกร้าวของตนเองยังไม่ได้ใช้
เพราะอย่างนั้น แม้ว่าการต่อสู้ของทั้งสองคนจะดูน่าตื่นเต้นและงดงาม ทว่าความจริงแล้วหากมีผู้ที่สามารถเข้าใจได้สักนิดย่อมรู้ว่าความจริงแล้วสองคนนี้เพียงเล่นกลอุบาย
ขณะต่อสู้ คุณชายอวี้หลิวผู้นั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นักพรตน้อย...ดาบเล่มนี้ไม่ใช่อาวุธวิเศษของท่านใช่หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่กำลังบินไปลงที่สันหลังคาด้านข้าง เขาตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะ “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?”
คุณชายอวี้หลิวไล่ตามมาแล้วบอก “นักพรตน้อย...ได้รับอาวุธวิเศษนี้จากที่ใดกัน?”
เจียงเฉิงเยว่ยกดาบขึ้นสกัดการโจมตี จากนั้นถอยหลังหนึ่งก้าว “เกี่ยวข้องอะไรกับคุณชายอวี้หลิวด้วย?”
หลิ่ววั่งซูหัวเราะเสียงดัง “นักพรตน้อยรู้ว่าข้าเป็ใคร แต่ข้าน้อยกลับไม่ทราบนามของนักพรตน้อย ไม่ยุติธรรมเท่าไรกระมัง?”
เจียงเฉิงเยว่หมุนตัวแล้วเปลี่ยนสถานที่ หลิ่ววั่งซูไล่ตามมา ขณะที่ทั้งสองคนแลกกระบวนท่าต่างพูดคุยอย่างเฉยเมยไปพลาง
เจียงเฉิงเยว่กล่าว “นามของข้าน้อยช่างต่ำต้อย ไม่อาจตีตนเสมอคุณชายอวี้หลิว...คุณชายอวี้หลิวมีคำกำชับใดก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาเถิด” เขาดูออกว่าคนผู้นี้ไม่ได้้าจะต่อสู้กับเขาจริง
หลิ่ววั่งซูเอ่ย “เดิมทีมาหานักพรตน้อยด้วยเื่อื่น...แต่ตอนนี้ข้าลืมไปแล้ว นักพรตน้อยลองขายดาบในมือให้ข้าเถิด”
เจียงเฉิงเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มเ็า “ฝันไปเถอะ!”
หลิ่ววั่งซูไม่โกรธ กลับยกยิ้ม “ข้าน้อยเพียงคิดเผื่อท่านเท่านั้น...”
เจียงเฉิงเยว่ “โอ้ เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณท่านหรือไม่?”
หลิ่ววั่งซูเตือนอย่างจิตใจดี “อาวุธวิเศษนี้มีสติปัญญา จิตสำนึกและพลังิญญาในตัวมันเอง ไม่ได้เป็อาวุธิญญาประเภทที่มีชีวิตร่วมกัน แต่เป็อาวุธิญญาเลือกเ้าของ...ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตน้อยจะควบคุมได้ เวลาผ่านไปนานเช่นนี้แล้ว เกรงว่ามันจะแว้งกัดนักพรตน้อย”
เจียงเฉิงเยว่กัดฟัน เขาััความรู้สึกในจิตใจได้ครู่หนึ่ง จากนั้นแอบด่าหลิ่ววั่งซูอย่างลับๆ ก่อนโต้กลับ “แม้ว่าข้าน้อยจะควบคุมมันไม่ได้...ขออภัยที่ข้าน้อยต้องพูดตามตรง คุณชายอวี้หลิวเองก็ไม่สามารถควบคุมมันได้เช่นกัน! แล้วคุณชาย้าจะใช้มันอย่างไร?”
ทำไมเขาจะไม่เข้าใจอาวุธวิเศษนี้ยามที่ตนเองพบเจออันตรายและมันพุ่งไปหาจ้าวเฮยในชั่วพริบตาเมื่อครู่ อาวุธวิเศษนี้เป็ประเภทเลือกเ้าของ หลี่อวิ๋นหังซึ่งอยู่ไกลออกไปที่แดน์ไม่ได้อยู่รอบกาย กล่าวได้ว่าเ้าของของมันไม่สามารถมอบพลังิญญาให้ได้ ทว่ามันกลับมีพลังิญญาของตนเอง นอกจากนี้ พลังิญญายังอุดมสมบูรณ์และบริสุทธิ์เป็อย่างยิ่ง มันกลายร่างเป็ดาบอ่อนเล่มนี้เพื่อให้เจียงเฉิงเยว่ใช้มันชั่วคราวย่อมเป็ความสมัครใจของตัวมันเอง ไม่ได้มาจากความปรารถนาของเจียงเฉิงเยว่ เพราะฉิงชางจวินไม่อาจควบคุมมันได้เลย! เขาจึงไม่กล้าปล่อยมือแม้แต่นิดเดียว ใครจะรู้ว่ามันจะยินยอมบินกลับมาให้เขาใช้งานต่อหรือไม่
อาวุธวิเศษที่เลือกเ้าของได้เอง...ฉะนั้นเ้าของที่ถูกเลือก อย่างไรก็คือหลี่อวิ๋นหัง
เจียงเฉิงเยว่กำดาบเล่มนั้นไปยังหลิ่ววั่งซูด้วยการโจมตีที่แข็งแกร่งและรุนแรง ราวกับระบายความโกรธแค้น จะไม่มีความแค้นเลยได้อย่างไร? หากคิดอย่างละเอียดแล้ว ถั่วน้อยที่เขาเคยคิดว่าสามารถปกป้องไปชั่วชีวิตได้ ณ ตอนนี้การบ่มเพาะมากถึงเช่นนี้อย่างคาดไม่ถึง! ไม่ทิ้งห่างจากตนเองเกินไปหน่อยหรือ?
เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วตนเองควรภูมิใจและตื่นเต้นในฐานะ ‘เสด็จพี่’ ควรอิจฉาและหดหู่ใจ หรือว่าควรหวาดผวาและสูญเสีย แม้ว่ายามที่เขาแสร้งเป็องค์รัชทายาทผู้อ่อนแอ เขาเคยถูกหลี่อวิ๋นหัง ‘ปกป้อง’ มาก่อน ทว่าในยามนั้นเขาไม่ใช่องค์รัชทายาทผู้อ่อนแอตัวจริง และยามนี้...เขาเหลือเพียงความรู้สึกต่ำต้อยอยู่เต็มหัวใจเท่านั้น
ฉิงชางจวินหน้าแดงด้วยความอับอายและขุ่นเคือง หลิ่ววั่งซูที่ไม่มีตาผู้นี้ยังจงใจแทงใจดำเขาอีก!
“โอ้...” หลิ่ววั่งซูเองก็ไม่รู้ว่าถ้อยคำไหนของตนเองที่แหย่รังแตนเข้า คนที่อยู่ตรงข้ามเปลี่ยนจากการต่อสู้หลอกๆ เป็ของจริงเสียแล้ว ทั้งกวัดแกว่งเย็นะเืเป็ขั้นเป็ตอน ราวกับว่า้ายืนยันอะไรบางอย่าง เขาทำได้เพียงเก็บความคิดล้อเล่นเข้าไป จากนั้นพัดคลี่กระดูกหยกจึงบินร่ายรำ แรงกดดันของไอปีศาจถูกปลดปล่อยออกมา ในกลุ่มผู้ชมด้านล่าง ผู้ฝึกฝนธรรมดาที่มีการบ่มเพาะต่ำต้อยถึงกับถูกระงับจนไม่อาจเคลื่อนไหวภายใต้แรงกดดันนี้
แม้ว่าเวลานี้พลังิญญาของเจียงเฉิงเยว่จะต่ำ ทว่าิญญาได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ สุดท้ายแล้วอย่างไรก็เป็าาผี แน่นอนว่าไม่ได้รับความตื่นตระหนกจากแรงกดดันของฝ่ายตรงข้าม เขายกดาบของหลี่อวิ๋นหังขึ้น ต่อสู้กับอีกฝ่ายจนเกิดประกายไฟปลิวว่อนไปทั่วทุกแห่ง แสงรัศมีเปล่งประกาย ตอนนี้ในใจเขากำลังกระวนกระวายที่เผลอให้อีกฝ่ายเข้ามาประชิดตัวยกดาบในมือของเขาขึ้นแล้วกดร่างเข้าหา เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึง กลิ้งตัวหลบอย่างยากลำบาก จากนั้นยื่นมือออกไปเรียก เป็ดังที่คาด ดาบอ่อนเล่มนั้นไม่ตอบสนอง ย่อมไร้ซึ่งวิธีอื่นแล้ว เขาจึงทำได้เพียงหันไปเรียกดาบิญญาธรรมดาซึ่งสำนักป้าเทียนมอบให้ที่เพิ่งถูกโยนทิ้งไป ทว่าอีกฝ่ายจะให้เวลาและโอกาสนี้กับเขาได้อย่างไร จึงพุ่งมาข้างหน้าเพื่อกักขังเขาไว้ คมมีดของพัดกระดูกที่อยู่บนพัดคลี่กระดูกหยกถูกยื่นออกมาปะทะตรงหน้าเขา
เจียงเฉิงเยว่หอบหายใจเล็กน้อย ทว่าหลิ่ววั่งซูกลับนิ่งค้างไปชั่วครู่ในวินาทีสุดท้าย ทั่วทั้งร่างแข็งทื่อ พัดคลี่ในมืออยู่ห่างจากหว่างคิ้วประมาณไม่เกินหนึ่งนิ้วแข็งค้างอยู่กลางอากาศ
เวลานี้ ดาบเซียนเล่มนั้นที่หลี่อวิ๋นหังทิ้งไว้บินกลับมาอย่างเชื่องช้า ควบแน่นอยู่ข้างกายของเจียงเฉิงเยว่ ราวกับกลุ่มคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกำลังดูการแสดงอันงดงาม
เจียงเฉิงเยว่เอียงศีรษะพลางยื่นมือไปทางนั้น มันแข็งตัวอยู่กลางอากาศไม่เคลื่อนไหว เขาไม่มีทางเลือกอื่นจึงถือโอกาสที่หลิ่ววั่งซูผ่อนคลายลงกับการกักขังที่มีต่อเขาเอียงตัวไปด้านข้างเล็กน้อย บังคับเอามันกลับเข้ามาในมือ ทว่าดาบเล่มนั้นมีความคิดเป็ของตนเอง อาจััได้ว่าบนร่างของหลิ่ววั่งซูไม่มีจิตสังหาร แสงสีเงินกระพริบกลับมาที่แขนเสื้อของเจียงเฉิงเยว่ กลายร่างเป็ลายปักัเมฆาที่ประณีตและงดงามอย่างน่าหวาดหวั่น
หลิ่ววั่งซูส่งเสียงไม่พอใจ เขามองไปที่ลายปักแวบหนึ่ง กล่าวด้วยความอิจฉา “อาวุธเทพเช่นนี้...ไม่เข้าใจเลยจริงเชียวว่าเหตุใดจึงเลือกอยู่กับนักพรตน้อยชั่วคราว”
โอ้ ที่แท้เขายังคงคิดว่าอาวุธวิเศษนี้ยังไม่พบเ้าของ เพียงอยู่กับเจียงเฉิงเยว่ชั่วคราวหรอกหรือ...ความจริงแล้ว ความเข้าใจเช่นนี้ค่อนข้างมีเหตุผล
หลิ่ววั่งซูลุกขึ้น ถือโอกาสยื่นมือจะดึงเจียงเฉิงเยว่ขึ้นมา ทว่าเจียงเฉิงเยว่กลอกตาแล้วลุกขึ้นด้วยตนเอง จากนั้นคุณชายอวี้หลิวประสานมือเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ออมมือแล้ว”
เจียงเฉิงเยว่ส่งเสียงเบา “เพ้ย”
หลิ่ววั่งซู “ฮ่าๆๆๆ นักพรตน้อยอย่าได้แพ้ไม่เป็เช่นนี้”
เจียงเฉิงเยว่กลอกตาจนแทบไปถึงท้ายทอย
หลิ่ววั่งซูเอ่ยต่อ “การพบกันคือวาสนา...หากวันใดนักพรตตัวน้อยคิดจนทะลุปรุโปร่งแล้ว ยินดีต้อนรับสู่เหยียนชิวเพื่อมาพบข้า ทำการค้ากับัครามเหยียนชิวนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ราคายุติธรรมและไม่มีการหลอกลวง”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มอย่างมีมารยาท พลางประสานมือตอบ “คุณชายหลิ่วคิดมากแล้ว...ผู้ต่ำต้อยตีเสมอผู้สูงศักดิ์ เกรงว่าข้าน้อยจะไม่คู่ควร ไม่บังอาจรบกวนหรอก”
หลิ่ววั่งซูเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่มีความหมายลึกซึ้ง “นักพรตน้อย...พวกเราจะได้พบกันอีก”
เจียงเฉิงเยว่ยิ้มเยาะที่มุมปาก
หลังจากหลิ่ววั่งซูลงมาจากหลังคาก็พาผู้ติดตามออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ภายหลังทุกคนเห็นว่าผู้ฝึกฝนธรรมดผู้นี้พ่ายแพ้แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะพูดคุยกัน เจียงเฉิงเยว่ะโขึ้นไปบนระเบียงชมกวางเพื่อนำเสี่ยวหูจื่อบินลงมา เพิ่งลงมาถึงข้างกายพวกสำนักป้าเทียนกับอี้จื่ออี ยังไม่ทันได้พูดสักสองประโยค ผู้คุมิญญากลุ่มนั้นซึ่งมาจับพ่อค้าที่ค้าขายมนุษย์จนเสร็จสิ้น เดินมาที่ตรงหน้าทุกคนด้วยความลำบากใจอยู่หลายส่วน หลังจากนั้นประสานมือให้แก่เจียงเฉิงเยว่พร้อมกล่าว “นักพรตเต๋าท่านนี้...ท่านเ้าเมืองมีรับเชิญ”
ทุกคนตกตะลึง
เจียงเฉิงเยว่กับอี้จื่ออีสบตากันแวบหนึ่ง ยกยิ้มเล็กน้อย ริมฝีปากกล่าว “ข้าเพียงไปชั่วครู่ก็กลับมา” จากนั้นหันไปหาผู้คุมิญญากลุ่มนั้น “เชิญ”
เมื่อเดินทางตามกลุ่มผู้คุมิญญาเป็ระยะทางไกลพอประมาณแล้วปีนขึ้นไปบนหอปราสาทเข้าสู่โถงรับแขกของเ้าเมืองปี่อั้น เจียงเฉิงเยว่ถูกพาเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง ภายใต้ม่านไม้ไผ่ มีคนผู้หนึ่งอยู่หลังม่านราวกับรอคอยการมาถึงของเขาเป็เวลานาน
ผู้คุมิญญาที่มาพร้อมกันแง้มม่านไม้ไผ่ให้เขา ซวีอวี่กำลังนั่งคุกเข่าตัวตรงบนเตียงแคร่ไม้ไผ่ ตรงหน้ามีโต๊ะเล็กตัวหนึ่ง บนโต๊ะกำลังใช้เตาโคลนแดงขนาดเล็กอย่างเชื่องช้าเพื่อต้มชาเขียวในกาน้ำชาที่อบอวลไปด้วยไอน้ำ
ซวีอวี่เงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง สบตากับเจียงเฉิงเยว่ มีความน่าเกรงขามและเฉยเมยด้วยฐานะที่เป็เ้าเมืองอยู่ในดวงตาของอีกฝ่าย
“นั่งสิ” เขาส่งสัญญาณไปที่ตำแหน่งที่ว่างข้างโต๊ะเล็ก
เจียงเฉิงเยว่เดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไปนั่งขัดสมาธิตามที่เขาพูด
แม้จะไร้มารยาทเช่นนี้ ทว่าซวีอวี่กลับไม่ได้ขุ่นเคือง อีกฝ่ายถือกาดินเผารินชาเขียวให้เขากับตนเอง นิ่งเงียบไปจึงวางกาน้ำชาลง ยกถ้วยขึ้นจิบน้ำชารสหวานอึกหนึ่งแล้วถามอย่างเชื่องช้า “ใต้เท้า...เป็เทพเซียนจากแห่งหนใด? เมื่อมาแล้วไม่ทราบว่าจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้ม จากนั้นศีรษะมองออกไปนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ของที่นี่ช่างยอดเยี่ยมนัก มองจากนอกหน้าต่างจะหันหน้าไปทางระเบียงชมกวางพอดี คาดว่าความครึกครื้นเมื่อครู่เ้าเมืองผู้นี้คงเห็นรายละเอียดทั้งหมดแล้ว
เจียงเฉิงเยว่มาที่นี่ในครั้งนี้ก็เพื่อ่เวลาสำคัญนี้ จะเสียเวลาอีกต่อไปได้อย่างไร เขาหันศีรษะกลับไปมองผู้คุมิญญาที่อยู่ด้านหลังตนเอง จากนั้นมองไปที่ซวีอวี่ ซวีอวี่เข้าใจความหมายจึงเชิดคางขึ้นเล็กน้อยไปทางผู้คุมิญญากลุ่มนั้นที่อยู่ด้านหลัง กระทั่งเหล่าผู้คุมิญญาถอยออกไปตามคำสั่ง ซวีอวี่จึงร่ายเขตอาคมตรงหน้าเจียงเฉิงเยว่ หันศีรษะมามองแล้วกล่าว “ใต้เท้าวางใจเถิด จะไม่มีใครได้ยินการสนทนาลับนี้ของพวกเรา”
เจียงเฉิงเยว่ยกยิ้ม พลางหยิบถ้วยชาบนโต๊ะเล็กขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง “จากกันหลายปี บุคลิกของเ้าเมืองปี่อั้นนี้กลับยิ่งใหญ่ขึ้นเสียจริง”
ซวีอวี่ถามด้วยความตกตะลึง “สหายเก่าหรือ?”
------------------------
[1] เวนคืนที่ดินบางส่วน เป็การอุปมา หมายถึง ได้รับภาพลักษณ์หรือเกียรติยศคืน
