บทที่ 9:การร่ำลาครั้งสุดท้าย
“ว่าไงพ่อคนดัง! ลมอะไรพัดนายมานั่งรอฉันที่โรงอาหารได้เนี่ย?” หลันฮวาทักทายเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงกวนประสาทตามสไตล์ทันทีที่เดินมาถึงโต๊ะ
“ก็ว่างนิดหน่อย... แต่อีกไม่นานก็คงไม่ว่างไปอีกหลายปีเลยล่ะ” กงเฉินจื่อตอบพร้อมรอยยิ้มปริศนา
“แหม ทำเป็พูดไป... ตกลงได้ข้อเสนอจากโรงพยาบาลไหนล่ะ หรือจะหนีกลับเข้าป่าไปเป็หมอเทวดารักษาชาวเขาเหมือนเดิม?”เขายิ้มสีหน้าดูไม่เหมือนเดิม “เฉินจือนายเป็อะไรไปดูท่าทางแปลกๆ”
“ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกันดีกว่า วันนี้ฉันเลี้ยง!” เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน
“เดี๋ยวๆ! จะเลี้ยงฉันแล้วทำไมต้องไปที่อื่นด้วย โรงอาหารนี่แหละประหยัดดี ฉันโอเค”
กงเฉินจื่อหันกลับมา ยิ้มมุมปากอย่างเ้าเล่ห์ “ไม่ได้หรอกเพื่อน... พอดีว่าตอนนี้ฉันรวยแล้ว และเธอคือคนแรกที่ฉันจะเลี้ยง ไปกันได้แล้ว อย่าถามมาก เดี๋ยวเปลี่ยนใจนะ” ว่าแล้วเขาก็คว้าแขนเธอลากออกจากโรงอาหารไปทันที ทิ้งให้เธองุนงงปนตื่นเต้น
ณ ภัตตาคารสุดหรูใจกลางเซี่ยงไฮ้...
“เชิญโต๊ะนี้เลยครับ เป็มุมที่ดีที่สุดในร้านของเรา” บริกรในชุดทักซิโด้ผายมือไปยังโต๊ะริมหน้าต่างที่มองเห็นวิวเมืองเซี่ยงไฮ้ยามค่ำคืน
หลันฮวาถึงกับตาโตอ้าปากค้าง “กงเฉินจื่อ... นี่นายไปปล้นธนาคารมาเหรอ!?” เธอรีบกระซิบ “ฉันบอกก่อนนะ ฉันจะไม่ยอมไปกินข้าวแดงในคุกเป็เพื่อนข้อหาชักดาบเด็ดขาด!”
“ใจเย็นน่าหลันฮวา... ที่ฉันพาเธอมาที่นี่ ก็เพราะอีกไม่กี่วันฉันจะต้องเดินทางไกลแล้ว เลยอยากจะเลี้ยงส่งเธอก่อนไป”
บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไปทันที หลันฮวาขมวดคิ้ว “นายจะไปไหน? อย่าบอกนะว่ามีแมวมองจากต่างประเทศมาซื้อตัวไปแล้ว? อเมริกา? อังกฤษ? เขาจ่ายนายเท่าไหร่!?”
“สั่งอาหารก่อนดีกว่าน่า” เขายิ้ม “เอาเลยเพื่อนรัก... วันนี้เต็มที่! อยากกินอะไรที่แพงที่สุดในร้านก็สั่งเลย!”
สิ้นคำนั้น สวิตช์ในตัวหลันฮวาก็ถูกสับทันที! แววตาของเธอเปลี่ยนจากความสงสัยเป็ประกายวาววับราวกับนักล่าเจอเหยื่อ เธอกำหมัดทั้งสองข้างแน่น...
“นายพูดเองนะ... กงเฉินจื่อ!” เธอยกนิ้วชี้หน้าเขา “ถ้างั้น... ฉันจะไม่เกรงใจแล้วนะ! น้องคะ!!!” เธอหันไปเรียกบริกร “เอาสเต็กเนื้อวากิวที่แพงที่สุด! ล็อบสเตอร์ตัวใหญ่ที่สุด! แล้วก็...ไวน์แดงที่ราคาโหดที่สุดในร้านนี้มาหนึ่งขวด!” หลันฮวาชำเหลืองมองเพื่อนสนิท
เขายักไหล่แล้วผายมือ “ตามสบายเลยเพื่อน... น้องครับ! เอาที่คุณผู้หญิงสั่งมา... สองชุดเลยครับ!”
ค่ำคืนนั้นจึงกลายเป็การเฉลิมฉลองมื้อสุดท้ายของพวกเขาทั้งสอง หลันฮวากินทุกอย่างราวกับว่านี่คือวันสิ้นโลก ก่อนจะปิดท้ายด้วยข้าวเหนียวทุเรียนถ้วยโปรดของเธอ
“เอาล่ะ... ทีนี้ก็พูดมาได้แล้ว ว่านายจะไปไหน” เธอถามพลางลูบท้องที่ป่องออกมา
เขาจึงเล่าเื่ ‘สัญญาจ้าง’ ไปเรียนต่อปริญญาโทควบเอกที่ต่างประเทศเป็เวลาหลายปีให้ฟัง สีหน้าของหลันฮวาเปลี่ยนจากอิ่มสุขเป็สลดลงทันที... แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้น!
“เดี๋ยวนะ... นี่หมายความว่านายจะได้ทุนไปเรียนฟรีจนจบ ดร. เลยเหรอ!?” แววตาของเธอกลับมาลุกวาวอีกครั้ง “ว้าว! นายนี่มันโคตรอัจฉริยะเลยจริงๆ! ดีใจด้วยนะเพื่อน!” เขายิ้มให้เธออย่างเปิดเผย
“ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายทั้งนั้นแหละหลันฮวา” เขากล่าวเสียงเรียบ “ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ หรอก”
“แล้วที่ไหนล่ะที่กล้าลงทุนกับนายขนาดนี้”
“มูลนิธิบ้านตระกูลหยาง”
“หา! ที่นั่นน่ะเหรอ” เธอใ “ใครก็รู้ตระกูลหยางร่ำรวยมากแค่ไหน ฉันไม่แปลกใจหรอกที่เขาให้ทุนนาย ดูโรงพยามบาลในเครือของพวกเขาสิน่าจะมีอยู่ทั่วแผ่นดินจีนเลยมั้ง!?”
“แล้ว... นายจะเดินทางวันไหน”
“อีกเจ็ดวัน” เขาตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเื่ “แล้วเธอ... เรียนจบแล้วจะไปทำงานที่ไหน”
“ก็... คิดว่าอยากไปหาประสบการณ์ที่ต่างจังหวัดสักสองสามปี แต่พ่อกับแม่อยากให้อยู่ในเมืองมากกว่า”
“เอาอย่างนี้สิ” เขาเสนอ “เธอไปเก็บประสบการณ์ให้เต็มที่เลย... อีกสองปี ถ้าอยากกลับเข้าเมือง ให้ไปที่มูลนิธิบ้านตระกูลหยาง บอกชื่อฉัน... แล้วพวกเขาจะหาตำแหน่งแพทย์ิัในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดให้เธอเอง”
“เฮ้ย! เอาจริงดิ! นายไปสนิทกับใครที่นั่นตอนไหนเนี่ย!?”
“ฉันรู้จักที่นั่น... ดีเป็พิเศษเลยล่ะ” เขายิ้มอย่างมีนัย
หลังจากส่งหลันฮวากลับบ้าน กงเฉินจื่อก็กลับมาถึงบ้านของตัวเอง ทันทีที่ประตูเปิดออก ทั้งแม่และน้องสาวก็วิ่งเข้ามากอดเขาแน่น
“แม่โทรไปทำไมไม่รับ! แต่เมื่อกี้หลันฮวาโทรมาบอกแล้วว่าลูกไปกินข้าวกับเธอ... ไปร่ำลากันแล้วสินะดีแล้วเป็เพื่อนกันจะเดินทางไกลก็ต้องบอกลา” ผู้เป็แม่ถามอย่างอบอุ่น
“ครับแม่”
“แหม... พอได้เจอคุณหนูทายาทตระกูลหยางปุ๊บ พี่หลันฮวาก็ตกกระป๋องกลายเป็แค่เพื่อนสนิทเลยนะแม่นะ!” ชิงชิงแซว “ทีเมื่อวานยังเชียร์กันอยู่เลย!”
โป๊ก!
“โอ๊ย! แม่! เขกหัวหนูทำไม!” “ก็ปากดีนักไงลูกสาวคนนี้!” เสียงหัวเราะครื้นเครงดังขึ้นในบ้านหลังเล็กที่อบอุ่นของพวกเขา
เหลือเวลาอีกสองวัน...
กงเฉินจื่อนัดพบหยางหลิงฟางเป็ครั้งสุดท้าย วันนี้เธออยู่ในชุดสบายๆ แค่กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดสีขาว แต่กลับยิ่งขับเน้นให้ผิวขาวผ่องและเสน่ห์ของเธอเปล่งประกายออกมาจนเขาแอบเขิน
“เตรียมตัวพร้อมรึยังคะ” เธอถามขณะที่ทั้งคู่เดินเคียงกันไปในห้างสรรพสินค้า
“ผมเตรียมแค่ใจน่ะครับ... ของอย่างอื่นคงไม่ต้อง” เขายิ้ม “แล้วคุณล่ะ”
“ฉันรอวันนี้มาทั้งชีวิตแล้วค่ะ” เธอยิ้มอย่างสบายใจ เป็รอยยิ้มที่มาจากใจจริงครั้งแรกที่เขาเคยเห็น “ตอนนี้ฉันพร้อมจะไปตะลุยโลกพันปีแล้วล่ะค่ะ... ทานร้านนี้กันดีไหมคะ อยากกลับมาซึมซับรสชาติของมันอีกสักครั้งก่อนเดินทาง”
อาหารมื้อนั้นเต็มไปด้วยการพูดคุยและเสียงหัวเราะ พวกเขาสร้างความคุ้นเคยและให้กำลังใจซึ่งกันและกันในฐานะ ‘เพื่อนร่วมชะตากรรม’
“ฉันดีใจนะคะ... ที่คนที่จะไปผจญภัยกับฉันคือคุณหมอ”
“ผมก็ดีใจครับ... ที่อย่างน้อยผมก็ได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีที่สุดก่อนไปแล้ว” เขากล่าวอย่างจริงใจ ตอนนี้แม่และน้องสาวของเขามีชีวิตที่มั่นคง... เขาไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว
บ่ายของวันที่ ๘ เดือน ๘... วันเดินทาง
เมฆฝนตั้งเค้ามาั้แ่บ่าย และเริ่มโปรยเม็ดลงมาปรอยๆ รถคันหรูจากตระกูลหยางมาจอดรออยู่หน้าบ้านแล้ว
กงเฉินจื่อสะพายกระเป๋าเป้ใบเล็กๆ ที่มีของใช้ส่วนตัวเพียงไม่กี่ชิ้น เขาเชื่อในคำสัญญาของหยางเฟยหลง... ทุกสิ่งที่จำเป็รอเขาอยู่ที่นั่นแล้ว
“แม่ครับ... ผมไปแล้วนะ” เขาเข้าไปกอดผู้เป็แม่แน่น “ชิงชิง... ดูแลแม่ดีๆ นะ”
“เดินทางปลอดภัยนะลูก” ผู้เป็แม่กล่าวเสียงสั่นเครือ “ถ้ามันหนักเกินไปก็กลับมานะลูก... เราไม่ต้องรวยก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ด้วยกัน”
“ใช่พี่! ไม่ต้องรวยก็ได้! ขอแค่พี่มีความสุข... ฮึก...” น้ำตาของชิงชิงเริ่มไหลอาบแก้ม
หลันฮวาก็อยู่ที่นั่นด้วย เธอยืนร้องไห้เงียบๆ อยู่ข้างๆ
“หลันฮวา... ฝากดูแลแม่ฉันด้วยนะ แล้วก็... อย่าลืมเื่ที่ฉันฝากไว้ล่ะ”
“โชคดีนะ... กงเฉินจื่อ”
แล้วกำแพงที่กั้นไว้ก็พังทลาย... ทั้งสี่คนร้องไห้ออกมาราวกับนี่คือการจากลาครั้งสุดท้ายของชีวิต น้ำตาของพวกเขาหลั่งไหลปะปนไปกับสายฝนที่เริ่มเทกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
“ได้เวลาแล้วครับคุณหมอ” คนขับรถกางร่มมารับเขา
กงเฉินจื่อก้าวขึ้นรถไป... ขณะที่ล้อรถเริ่มหมุน เขาหันมองกลับไปผ่านกระจกที่พร่ามัวด้วยหยาดฝน... ภาพของแม่ น้องสาว และเพื่อนรัก... ภาพของบ้านที่เขาเติบโตมาทั้งชีวิต... ค่อยๆ เลือนลางและห่างออกไปทุกที... น้ำตาของเขาไหลออกมาไม่รู้ตัว ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกกลืนหายไปกับม่านฝนสีขาว... ปิดฉากชีวิตเก่า เพื่อเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะจินตนาการได้.!