“ปัง!!!” เสียงะเิดังสนั่น กลองแตกกระจุย ก่อนจะกลายเป็ผุยผง พร้อมกับมีคลื่นพลังทำลายล้างแพร่กระจายพุ่งไปหาตู๋กูหลง หมายกลืนกินทุกสิ่ง
“แกร่งมาก!” ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างใจเต้นระรัว กระบวนท่านี้ของนี่จ้านเทียนทรงพลังเป็อย่างมาก จนกลองใบนั้นต้องแตกสลายทันที หากหมัดนี้โดนผู้ฝึกยุทธ์ ผลที่ตามมาคงน่าสะพรึงกลัวเป็แน่
บนอัฒจันทร์หลัก ชายชราที่ไว้หนวดเคราเล็ก ๆ น้อย ๆ เผยรอยยิ้มพึงพอใจ คนผู้นี้ก็คืออาจารย์ของนี่จ้านเทียน แต่นอกจากจะสนใจนี่จ้านเทียนแล้ว เขายังสนใจเย่เฟิงอีกด้วย ตอนนั้นที่พรรคเทียนจีจัดงานประลองยุทธ์ เย่เฟิงผู้นี้เมินคำพูดของเขา สังหารเฟิงเฉียนผู้เป็ศิษย์สายตรงของเขา ทำให้เขาขายหน้า เื่นี้เขาจำได้ไม่ลืม ดังนั้นเขาจึงอยากเห็นว่าเย่เฟิงจะไปได้สักกี่น้ำ
“หือ?” ตู๋กูหลงชะงักเล็กน้อย แม้เผชิญหน้ากับคลื่นพลังทำลายล้างนั่นที่กลายเป็สัตว์อสูร แต่เขาก็อัดพลังหยวนใส่ฝ่ามือก่อนจะซัดโจมตีกลองโดยที่ไม่คิดอะไร ตามมาด้วยเสียงะเิดังกึกก้อง ห้วงอากาศสั่นไหว กลองแตกะเิ พร้อมกับมีคลื่นพลังปะทุออกมา แล้วกลายเป็ัั์สีดำพุ่งจู่โจมสัตว์อสูรของนี่จ้านเทียนทันที
“โฮก!” ัั์สีดำแผดเสียงคำราม พร้อมปลดปล่อยปราณั
“ตูม!” นาทีต่อมาผู้คนเห็นสัตว์อสูรทั้งสองเข้าปะทะกัน ทำให้เสียงะเิดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน คลื่นพลังทำลายล้างแพร่กระจาย ก่อนจะกลายเป็พายุพินาศแล้วม้วนตัวออกไป
“นี่...” ผู้คนต่างต้องตกตะลึง การปะทะของอัจฉริยะสองคน พวกเขาต้องพลอยโดนลูกหลงไปด้วยอย่างนั้นหรือ?
พายุพินาศม้วนตัวมาด้วยความเร็ว ทั้งยังมีผู้คนไม่น้อยถูกดูดเข้าไปในพายุ เสียงกรีดร้องดังไม่หยุด ส่วนคนอื่น ๆ ต่างสำแดงพลังป้องกันของตนที่แกร่งที่สุดเข้าต่อต้านพายุพินาศ
เฉินอ้าวเทียน เว่ยจี้ จงเทา เซี่ยโหวิ ลู่เจียง และจ้าวเฉินตัวสั่นสะท้าน ลมปราณในกายพลุ่งพล่าน ขณะต่อต้านการกัดกร่อนของพายุพินาศนั่น
ทว่าพายุพินาศยังเคลื่อนตัวลงไปอย่างต่อเนื่อง จนค่อย ๆ ปกคลุมร่างเย่เฟิงและฉินเยียนหราน ทำให้ฉินเยียนหรานมีสีหน้าไม่ค่อยดี ในตอนที่นางเตรียมจะปล่อยพลังเข้าต่อต้าน กลับเห็นคิ้วของเย่เฟิงขยับเล็กน้อย นาทีต่อมามีพลังพวยพุ่งออกจากร่างเย่เฟิง พร้อมกับชุดเกราะที่อัดแน่นด้วยพลังป้องกันเข้าห่อหุ้มร่างเย่เฟิงและฉินเยียนหราน ทั้งยังมีอักขระโคจรที่เรืองรองอยู่บนนั้น
เมื่อเกราะเทพาปรากฏ การโจมตีทุกอย่าง รวมถึงพายุพินาศก็ถูกกั้นไว้ที่ด้านนอก มันมิอาจทำร้ายเย่เฟิงและฉินเยียนหรานได้แม้นิดเดียว
“นี่มันพลังป้องกันอะไรกัน?”
ฉินเยียนหรานกะพริบตาปริบ ๆ พร้อมเผยสีหน้าใ พลางพึมพำในใจว่า “เ้าหมอนี่มีพลังขนาดนี้ั้แ่เมื่อไรกัน สัตว์ประหลาดชัด ๆ!”
นอกจากฉินเยียนหรานแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ที่ดูอยู่บนอัฒจันทร์ก็สังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเย่เฟิง
เมื่อผู้าุโของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเห็น ดวงตาของพวกเขาก็เผยประกายคมกริบ “เกราะนี่ไม่ใช่อาวุธป้องกันธรรมดา เผลอ ๆ อาวุธป้องกันธรรมดามิอาจเทียบเคียงได้เลยด้วยซ้ำ เด็กคนนี้เพิ่งอยู่ขั้นรวมชี่ระดับต้น ไม่นึกเลยว่าจะฝึกวิชาป้องกันที่ทรงพลังแบบนี้ได้ ร้ายกาจมาก!”
ผู้าุโคนอื่น ๆ ที่นั่งดูอยู่บนอัฒจันทร์หลักได้ยินก็เริ่มสนใจเย่เฟิง พวกเขาหรี่ตาลงเล็กน้อย เหมือนกับเดาว่าเย่เฟิงใช้เคล็ดวิชาอะไรกันแน่ จนกระทั่งมีผู้าุโคนหนึ่งฉุกคิดบางอย่างได้ฉับพลัน จึงพูดขึ้นว่า “คัมภีร์หล่อกายาเทพา เด็กคนนี้ฝึกคัมภีร์หล่อกายาเทพา ทั้งยังสร้างเกราะเทพาได้แล้ว!”
“คัมภีร์หล่อกายาเทพางั้นเหรอ จะเป็ไปได้อย่างไร?” ผู้าุโคนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนั้นก็อุทานด้วยความใปนไม่อยากเชื่อ นั่นเป็เพราะทุกคนทราบดีว่าคัมภีร์หล่อกายาเทพาเป็เคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกายที่ฝึกได้ยากมาก หาก้าฝึกก็จำต้องรับความเ็ปที่ทุกข์ทรมาน ครั้งหนึ่งมีหลายคนอยากฝึกเคล็ดวิชานี้ เพื่อให้ตนมีร่างกายที่แข็งแรงทนทาน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวไปไม่รอด
ในอดีตเคยมีอัจฉริยะของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนต้องตกตายเพราะฝึกเคล็ดวิชานี้ จึงทิ้งบทเรียนไว้ให้กับชนรุ่นหลัง ทำให้คัมภีร์หล่อกายาเทพากลายเป็เคล็ดวิชาต้องห้ามสำหรับศิษย์สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ดังนั้นมันจึงถูกทอดทิ้งให้อยู่ในหอวิชาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทว่าบัดนี้ชายหนุ่มขั้นรวมชี่ระดับต้น กลับสำแดงเคล็ดวิชาที่สาบสูญไปกว่าร้อยปี แล้วจะไม่ทำให้ใได้อย่างไร?
เหล่าผู้าุโบนอัฒจันทร์หลักต่างพากันกระซิบกระซาบ เพราะใกับความสามารถของเย่เฟิง
“เ้าเด็กนี่ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ เวลาไม่ถึงหนึ่งปีก็ก้าวหน้าได้ขนาดนี้ สมกับเป็อัจฉริยะผู้ปลุกิญญาาขั้นเขียว” เยว่กู่กล่าวด้วยสีหน้าดีใจ หลายเดือนที่ผ่านมาเขาไม่ได้ละเลยหรือไม่สนใจเย่เฟิง แต่เขาอยากให้เย่เฟิงเผชิญหน้ากับทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง บัดนี้เย่เฟิงเติบโตจนเหนือความคาดหมายของเยว่กู่ไปมาก แล้วจะไม่ทำให้เยว่กู่ดีใจได้อย่างไรเล่า เพียงแต่เขามิทราบความจริง ว่าจริง ๆ แล้วเย่เฟิงในเวลานี้มีิญญาาคู่ นั่นคือขั้นครามและขั้นฟ้า ซึ่งหาได้ยากยิ่งในอาณาจักรจ้าว
เฉินเซี่ยงเทียนย่อมดูออกเช่นเดียวกัน สีหน้าเขาจึงไม่ค่อยดีเท่าไร
พายุพินาศเคลื่อนตัวไม่หยุด จนมีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากต้านทานการกัดกร่อนของมันไม่ได้ จึงถูกพัดออกจากการแข่งขันและตกรอบไป ทั้งยังอาเจียนสำลักก้อนลิ่มเืออกมา
บนบันไดขั้นที่สิบ ตู๋กูหลงและนี่จ้านเทียนอยู่ใจกลางพายุพินาศ เสื้อผ้าปลิวสะบัด ผมยาวพลิ้วไหว พร้อมกับมีแสงเรืองรองรอบกาย พวกเขากำลังต่อต้านพลังทำลายล้างที่จู่โจมมาไม่หยุด
“อีกรอบ!” นี่จ้านเทียนแผดเสียงะโ จากนั้นเห็นเขากะพริบร่างไปปรากฏตัวที่ด้านหน้ากลองอีกใบ พร้อมกับเหวี่ยงหมัดโจมตีอย่างไม่ลังเล
“ปัง!” เสียงะเิดังสนั่น กลองสลายเป็ผุยผงในพริบตา ซ้ำยังมีคลื่นพลังทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ก่อนจะกลายเป็สัตว์อสูรโบราณ แล้วเข้าจู่โจมตู๋กูหลง กรงเล็บของมันยังสามารถฉีกกระชากทุกสิ่ง
“นี่จ้านเทียนคนนี้โหดมาก เดิมทีทำลายกลองก็ขึ้นไปต่อได้แล้ว แต่เขาอยากแข่งกับตู๋กูหลง จึงลงมืออีกครั้ง!” ผู้คนต่างใ งานประลองสำนักยุทธ์ครั้งนี้น่าตื่นเต้นกว่าที่คิดไว้มาก มีอัจฉริยะปรากฏมากมาย กระทั่งมากกว่างานประลองที่ผ่าน ๆ มาเสียอีก
“รนหาที่ตาย!” แววตาของตู๋กูหลงเผยประกายเยือกเย็น และแฝงด้วยความโอหัง เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับประติมากรรมที่ผู้คนสรรเสริญ
จากนั้นตู๋กูหลงเหวี่ยงหมัดโจมตี พร้อมกับมีเสียงัคำราม รังสีหมัดยังไม่ถึง กลองก็แตกสลาย พลังช่างแข็งแกร่งจนน่าทึ่ง นาทีนี้พลังทำลายล้างพวยพุ่งออกจากกลอง ก่อนจะกลายเป็ั์ที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล
“โฮก!” ั์แผดเสียงคำราม สั่นะเืแก้วหูของเหล่าผู้คน ทำให้พวกเขาใจเต้นระรัว เมื่อคลื่นเสียงที่เกรงขามนั่นเคลื่อนผ่านที่ใด ที่นั่นต้องหยุดชะงัก มีเพียงสัตว์อสูรสองตนที่เปิดศึกปะทะกัน จนคลื่นพลังก็ะเิออกมา ก่อนสัตว์อสูรทั้งสองจะสลายหายไป ปราณัไร้ที่สิ้นสุดนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็ค้อนและโจมตีนี่จ้านเทียน ทำให้นี่จ้านเทียนส่งเสียงโอดครวญจนสีหน้าบูดเบี้ยวและมีเืไหลออกตรงมุมปาก
“เ้าไม่มีวันเอาชนะข้าได้!” ตู๋กูหลงกล่าวขณะเหลือบมองนี่จ้านเทียนด้วยสายตาเย็นเยียบ จากนั้นเห็นเขาสะบัดเสื้อคลุม ก่อนจะเดินขึ้นไปยังบันไดขั้นที่ 11
“กร๊อบ!” นี่จ้านเทียนกำหมัดแน่น ตลอดหนึ่งปีมานี้เขาฝึกฝนอย่างลำบากยากเข็ญ ก็เพื่อพิสูจน์ตัวเองในงานประลองครั้งนี้ ทว่าก็ยังคงเอาชนะตู๋กูหลงไม่ได้ เขาไม่สามารถยอมรับในจุดนี้ได้ ทว่าคำพูดของตู๋กูหลงกระตุ้นความอยากชนะของเขา จากนั้นนี่จ้านเทียนจึงเดินขึ้นบันไดต่อ
ในขณะเดียวกันผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ที่ไม่โดนพายุพินาศกัดกร่อนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก จากนั้นเดินขึ้นบันไดไปต่อ แต่ระยะห่างของพวกเขากับบันไดขั้นที่สิบถือว่าไม่ไกลมากแล้ว
บนบันไดขั้นที่สี่ เย่เฟิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พร้อมกับมีแสงปะทุออกจากดวงตา ลมปราณก็ดูเหมือนเปลี่ยนไป
“เ้าตื่นแล้ว” เสียงของฉินเยียนหรานดังมาจากข้าง ๆ แต่น้ำเสียงนั้นกลับฟังดูขุ่นเคือง
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และกล่าวต่อว่า “ยังมิแต่งเข้าจวน ก็รู้วิธีปรนนิบัติสามีแล้วหรือ?”
ฉินเยียนหรานได้ยินเช่นนั้นแววตาก็เผยประกายเย็นเยียบ นางอยากชี้แจง แต่กลับได้ยินเสียงเย่เฟิงพูดขึ้นเสียก่อน “ไปกันเถอะ ข้าจะพาเ้าขึ้นบันได!”
เมื่อสิ้นเสียง เย่เฟิงก็คว้าเอวของฉินเยียนหรานมากอด นางจึงอุทานด้วยความใและขัดขืนเล็กน้อย แต่นางรู้สึกว่าตัวลอยขึ้น นาทีต่อมาเย่เฟิงพานางขึ้นบันไดขั้นที่ห้าด้วยย่างก้าวสบาย ๆ และมั่งคง ราวกับว่าอำนาจฟ้าดินที่แฝงอยู่ในบันไดไม่มีผลกระทบต่อเขา
หลาย ๆ คนเริ่มสังเกตเห็นสถานการณ์ด้านเย่เฟิง จากนั้นมีคนผู้หนึ่งกล่าวว่า “ดูสิ เย่เฟิงเคลื่อนไหวแล้ว ซ้ำยังอุ้มฉินเยียนหรานไว้อีกด้วย ช่างใจกล้ายิ่งนัก!”
เมื่อพูดเช่นนี้ออกไป เหล่าคนที่ชื่นชอบฉินเยียนหรานก็หันไปมองเย่เฟิง
“เ้าหมอนี่กล้ามากที่อุ้มสาวสวยเช่นนั้น เขายังมีมารยาทอยู่หรือไม่?” มีคนจำนวนไม่น้อยคิดในใจด้วยสีหน้าดูแคลน และคิดว่าเย่เฟิงไร้ยางอายไม่มีมารยาท
ทว่าเย่เฟิงหาสนใจเื่พวกนี้ไม่ เขาเดินขึ้นด้วยความเร็วเฉลี่ยเท่า ๆ กัน แม้แต่อำนาจฟ้าดินก็พันธนาการเขามิได้
หลังจากเย่เฟิงเดินหลายก้าว เขาก็พาฉินเยียนหรานขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่แปด