ในที่สุดการรับสมัครศิษย์ของสำนักศึกษาราชวงศ์ในปีนี้ก็สิ้นสุดลง หลังจากนั้นข่าวเื่การกลับมาของมู่เฟิงก็กลายเป็หัวข้อสนทนาที่ใหญ่ที่สุดของผู้คนในเมืองหลวง
เมื่อสองปีก่อนเขาเคยเป็ตัวตลกของผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวง แต่กลับมาคราวนี้ เขากลับกลายเป็ดวงดาวที่เปล่งแสงเจิดจรัสที่สุด นอกเหนือจากพร์กระดูกิญญาแล้ว ใครจะไปคาดคิดว่ามู่เฟิงจะยังมีพร์ด้านการสลักลายเส้นที่น่าทึ่งอยู่อีก
เมื่อคลื่นใหญ่ซัดเม็ดทรายออก ท้ายที่สุดก็จะเหลือไว้เพียงทองคำแท้
หลังจากที่ทุกคนกลับมาถึงจวนตระกูลมู่ ภายในจวนก็เต็มไปด้วยความคึกคักและวุ่นวาย ผู้คนในตระกูลต่างก็เข้ามาทักทายมู่เฟิง แม้แต่คนที่เคยละเลยเขาใน่เวลาที่เขาตกต่ำก็ยังเปลี่ยนสีหน้าและเข้ามาร่วมวงด้วย ความคิดคนเรานั้นซับซ้อน จึงไม่อาจหยั่งใจใครได้ ดั่งคำที่ว่าคนเราดื่มน้ำเย็นร้อนย่อมรู้เอง*
(*มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงในใจคิดอะไร)
ภายในโถงรับรองของจวนตระกูลมู่ ยามนี้มู่เฟิง มู่ขวง ไป๋จื่อเยว่ มู่ฝาน มู่เหวิน บรรดาศิษย์ตระกูลมู่กลุ่มใหญ่ รวมถึงผู้าุโในตระกูลต่างก็มารวมตัวกันในห้องโถงแห่งนี้
ในบรรดาคนรุ่นเยาว์มีเพียงมู่เฟิงเท่านั้นที่มีตำแหน่งที่นั่งในห้องโถง ในขณะที่ศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็ยืนรวมกันอยู่ตรงกลาง
“ครั้งนี้เฟิงเอ๋อร์ จื่อเยว่และมู่ขวงทำให้ตระกูลมู่ของเรามีหน้ามีตาขึ้นไม่น้อย”
มู่เฉินหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างพึงพอใจ
มู่เฟิงนั้นเป็อัจฉริยะที่มีความสามารถทั้งสองด้าน ในขณะที่ไป๋จื่อเยว่มีร่างกายิญญาอันน่าตกตะลึง ส่วนมู่ขวงแม้เขาจะไม่ได้มีพร์โดดเด่นมากนัก แต่ความเร็วในการฝึกฝนวรยุทธ์ของเขาถือว่าไม่ธรรมดาเป็อย่างมาก
“แต่เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว ผลการทดสอบของคนส่วนใหญ่ในกลับไม่เป็ที่น่าพอใจนัก”
จากนั้นมู่เฉินก็พลันหุบยิ้มลง เขากล่าวขึ้นขณะเหลือบมองไปทางมู่ฝานและคนอื่นๆ
มู่ฝานและบรรดาศิษย์คนอื่นที่มีพร์ปราณกระดูกขั้นห้าต่างก็ก้มหัวงุด คำพูดเมื่อครู่ของมู่เฉินคือการตำหนิพวกเขา
“เนื่องจากทุกวันนี้ตระกูลของเรากำลังขาดแคลนทุนทรัพย์ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่าจะจ่ายค่าเล่าเรียนของสำนักศึกษาราชวงศ์ให้เฉพาะศิษย์ที่มีปราณกระดูกขั้นหกขึ้นไปเท่านั้น ส่วนศิษย์ที่มีปราณกระดูกขั้นห้า มู่ฝาน พวกเ้าฝึกฝนอยู่ในจวนก็พอ”
มู่เฉินกล่าวเสียงเรียบ
คนคนหนึ่งจำเป็ต้องใช้เงินหลายพันเหรียญตำลึงทองสำหรับค่าเล่าเรียนต่อปี ซึ่งแม้แต่ตระกูลใหญ่ก็ยังถือว่าเป็เงินจำนวนที่ไม่น้อย ดังนั้นตามปกติแล้วบรรดาตระกูลใหญ่จึงมักจะให้ศิษย์ที่มีพร์ระดับปานกลางเหล่านี้ฝึกฝนกันเองอยู่ภายในจวน
แม้ว่ามู่ฝานรวมถึงศิษย์คนอื่นๆ จะไม่เต็มใจนัก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ หากเป็ก่อนหน้านี้ทางตระกูลมู่คงจะสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่ เพียงแต่ตอนนี้ตระกูลมู่กำลังประสบปัญหาด้านการเงิน อีกทั้งยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากผู้มีอำนาจ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถใช้นวนมากได้
ดังนั้นในครั้งนี้ผู้ที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมจึงมีเพียงกลุ่มของมู่เฟิงทั้งสามคน มู่เฉวียนซึ่งมีปราณกระดูกขั้นเจ็ด และศิษย์อีกสามคนที่มีปราณกระดูกขั้นหกเท่านั้น
ส่วนศิษย์อีกแปดคนที่มีปราณกระดูกเพียงขั้นห้าไม่สามารถเข้าศึกษาที่นั่นได้
“ท่านลุงใหญ่ขอรับ ข้ามีความเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเื่นี้”
เมื่อมู่เฟิงเอ่ยปากขึ้น ทุกคนต่างก็มองไปที่เขาเป็จุดเดียว
“เฟิงเอ๋อร์ เ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”
มู่เฉินเอ่ยถาม แน่นอนว่าคำพูดของมู่เฟิงนั้นมีน้ำหนักมากสำหรับตระกูลมู่
ฉับพลันนั้นมือของมู่เฟิงก็พลันส่องประกายแสงออกมา ทันใดนั้นก็มีเสียงบางอย่างร่วงหล่นลงบนพื้น และสิ่งเ่าั้คืออาวุธปราณจำนวนมากกว่ายี่สิบชิ้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็อาวุธปราณขั้นสอง แต่ละชิ้นมีมูลค่าสามพันถึงสี่พันเหรียญตำลึงทองเลยทีเดียว
ทุกคนมองไปยังกองอาวุธปราณสลับกับมองมู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ
“นำของเหล่านี้ออกไปขายแล้วนำเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับมู่ฝานและคนอื่นๆ เถอะขอรับ”
มู่เฟิงกล่าว
“พี่เฟิง...”
ดวงตาของมู่ฝานและคนอื่นๆ พลันเปลี่ยนเป็แดงก่ำขึ้นมา มู่เฟิงทำสิ่งนี้เพื่อสนับสนุนให้พวกเขาได้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์
มู่เฉินและผู้าุโคนอื่นยังคงลังเล
“ท่านลุงใหญ่ ไม่ว่าตระกูลมู่ของเราจะยากจนข้นแค้นเพียงใด แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ศิษย์รุ่นเยาว์ในตระกูลต้องแบกรับความไม่เป็ธรรมในการฝึกวรยุทธ์ได้นะขอรับ ข้าคิดว่าข้ามีความสามารถพอที่จะสนับสนุนค่าเล่าเรียนของพวกเขาได้”
มู่เฟิงเดินเข้าไปตบบ่าของมู่ฝานและศิษย์คนอื่นๆ ขณะที่กล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวเฟิง ข้าคิดว่าเ้าควรนำทุนทรัพย์ในส่วนนี้ไปเติมเต็มให้กับพวกเ้าเองไม่ดีกว่าหรือ เวลานี้ทรัพย์สินในตระกูลมู่ของเราไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว”
ทันใดนั้นมู่เยี่ยก็กล่าวค้านความเห็นของมู่เฟิง ในขณะที่ผู้าุโคนอื่นต่างก็พยักหน้า พวกเขาไม่เห็นด้วยกับความคิดของมู่เฟิง
“แม้พร์ไม่มากพอก็ยังสามารถที่จะเพียรพยายามอย่างหนักเพื่อชดเชยมันได้ ลำพังแค่พร์เพียงอย่างเดียวไม่อาจกำหนดความสำเร็จของคนเราได้ แม้ว่าพร์ของพวกเขาทั้งแปดคนจะไม่นับว่าดีนัก แต่ระดับวรยุทธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้แย่เลย นี่แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างหนักของพวกเขา ตราบใดที่หนึ่งในพวกเขาสามารถกลายเป็ผู้แข็งแกร่งขึ้นมาได้ ความทุ่มเทของตระกูลมู่เราก็ไม่นับว่าสูญเปล่าหรอกขอรับ”
มู่เฟิงกล่าวด้วยเสียงเจือหัวเราะ ในขณะที่มู่ฝานและคนอื่นๆ ต่างก็มองเขาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ตกลง เราจะฟังเ้า แต่หลังจากเข้าศึกษาในสำนักศึกษาราชวงศ์แล้วพวกเขายังไม่ก้าวหน้า ตระกูลมู่จะไม่สิ้นเปลืองทรัพยากรไปกับพวกเขาอีก”
มู่เฉินพยักหน้ายอมรับข้อเสนอของมู่เฟิง นอกจากนี้เขายังกล่าวออกมาตามตรงว่าหากบรรดาศิษย์เหล่านี้มีพัฒนาการที่ดี พวกเขาจะได้รับการสนับสนุนการจากตระกูลต่อไป แต่หากว่าพวกเขาไม่มีพัฒนาการที่ดี ทางตระกูลย่อมจะไม่สนับสนุนพวกเขาอีก
บนโลกนี้ไม่มีใครยอมเสียเงินโดยไม่้าผลประโยชน์ แม้จะมีคนบางส่วนยินยอมด้วยความเต็มใจ แต่นั้นล้วนมีเพียงบิดามารดาและญาติมิตรคนสนิทเท่านั้น
โลกนี้ไม่มีความเสมอภาค หากมีพร์ไม่ดีเท่าคนอื่น ก็ทำได้เพียงต้องเพียรพยายามให้มากกว่าคนอื่นเป็ร้อยเท่า หากไม่มุ่งแสวงหาความก้าวหน้า สุดท้ายก็จะเป็ได้เพียงแค่คนอ่อนแอที่ถูกคนอื่นกำหนดชะตาชีวิตเท่านั้น
“พี่เฟิง ขอบคุณท่านมาก”
มู่ฝานเช็ดน้ำตาขณะกล่าวขอบคุณ
“พี่เฟิง...” ศิษย์คนอื่นที่เหลืออีกเจ็ดคนล้วนตาแดงก่ำ
“ฮ่าๆ ข้าเชื่อว่าพวกเ้าจะไม่ทำให้เงินก้อนนี้สูญเปล่า จำคำพูดของข้าเอาไว้ พร์ไม่ได้เป็ตัวกำหนดความสำเร็จของคนเรา ฉะนั้นจงพยายามฝึกฝนให้หนัก อย่าได้ยอมแพ้เป็อันขาด!”
มู่เฟิงตบไหล่พวกเขาก่อนจะเดินออกจากห้องโถง โดยมีไป๋จื่อเยว่และมู่ขวงเดินตามออกไป
“พยายามให้หนัก อย่าได้ยอมแพ้...”
มู่ฝานและคนอื่นๆ มองตามหลังมู่เฟิงขณะพึมพำ พวกเขาพยักหน้ากับตัวเองอย่างหนักแน่น
“ฮ่าๆ เ้าเด็กผู้นี้ นับวันยิ่งดูโตกว่าผู้ใหญ่นัก”
มู่เฉินมองตามหลังมู่เฟิงไปด้วยสายตาชื่นชมและภาคภูมิใจในตัวหลานชายของตน
“ต่อไปอนาคตของเสี่ยวเฟิงจะไม่ถูกจำกัดอยู่แค่ในอาณาจักรหนานหลิงหรือแผ่นดินเป่ยหยวนอย่างแน่นอน”
มู่หวาหัวเราะออกมา
“น้องสาม วันพรุ่งเ้าทำหน้าที่คุ้มกันและไปส่งพวกเขาด้วยตัวเองเถอะ”
มู่เฉินกล่าวขึ้น ขณะที่มู่เยี่ยเองก็พยักหน้ารับ
ณ จวนเป่ยอ๋อง
“ท่านอ๋อง ท่านไม่ได้บอกว่าเด็กนั่นตายไปแล้วหรอกรึ เหตุใดเขาถึงกลับมามีชีวิตได้กันขอรับ”
ภายในห้องรับรอง จ้าวเหิงซึ่งใช้ผ้าปิดตาข้างหนึ่งกล่าวขึ้นด้วยเสียงเ็า
เวลานี้ใบหน้าของหนานหาวกำลังมืดครึ้มเพราะความไม่สบอารมณ์ “ทั้งหมดนี้เป็เพราะตระกูลมู่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเกินไป พวกเขาสร้างข่าวเท็จทำให้ผู้คนเกิดความสับสน สหายจ้าวครั้งนี้เป็เพราะข้อมูลของเราผิดพลาดเอง เข้ามา!”
หนานหาวตบมือเรียกทาสรับใช้ให้เข้ามาในห้อง ทันใดนั้นสตรีสองนางผู้มีใบหน้าตางดงาม ผมสีทองสว่างและดวงตาสีฟ้าในชุดสีน้ำเงินแปลกตาก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องไม้ยาวหนึ่งกล่อง
เมื่อสตรีทั้งสองเปิดกล่องไม้ก็พบว่าภายในกล่องถูกบรรจุไว้ด้วยกระบี่สีเหลืองเล่มยาว ซึ่งเป็อาวุธปราณขั้นสาม!
“เราขอมอบกระบี่เล่มนี้และสาวงามทั้งสองคนให้สหายจ้าวแทนคำขอโทษเป็อย่างไร?”
หนานหาวหัวเราะ
ดวงตาของจ้าวเหิงวาวโรจน์ขึ้นมา เขามองหญิงสาวทั้งสองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยตัณหา จากนั้นเขาก็พยักหน้ารับในทันที
“สหายจ้าว เราไม่้าให้มู่เฟิงผู้นั้นอยู่ในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นอย่างสงบสุข หากสบโอกาสก็กำจัดเขาทิ้งเสีย!”
หนานหาวหรี่ตาลงขณะกล่าวขึ้น
“ท่านวางใจเถอะ เ้าเด็กนั่นทำข้าเอาไว้เจ็บแสบนัก ไม่ว่าอย่างอย่างไรข้าก็จะให้เขาชดใช้แค้นนี้ด้วยชีวิต”
จ้าวเหิงพยักหน้า เพียงเขาโบกมือกระบี่เล่มยาวและกล่องไม้ก็ถูกเก็บเข้าไปในแหวนเฉียนคุน จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นโอบกอดสตรีทั้งสองพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้