ลั่วจิ่งเฉินที่เพิ่งออกมาจากห้อง เมื่อมองเห็นสีหน้าลำบากใจของท่านป้าหลิว จึงรู้ว่าเกิดเื่แล้ว ในฐานะพี่ใหญ่ของบ้าน เขาจำเป็ต้องรู้ทุกเื่ราวที่เกิดขึ้น
“ท่านป้าหลิวเล่ามาตามตรงเถอะ พวกข้าพี่น้องตอนนี้ก็โตแล้ว ควรแบกรับภาระในบ้านได้นานแล้ว หากมิใช่เพราะความพิการของข้า คงไม่ถึงขั้นต้อง ต้อง” คำว่าท่านแม่ยังคงติดอยู่ที่ปากไม่สามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้โดยง่าย “ต้องให้นางลำบากเพียงนี้”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วจิ่งเฉิน พี่หลิวก็รับรู้ได้ทันทีว่าเด็กคนนี้คิดมากเพียงใด หลายวันมานี้ สิ่งที่ชีเหนียงทำก็เพื่อ้าให้ลั่วจิ่งเฉินยืนหยัดได้ ทุกการกระทำล้วนตกอยู่ในสายตาของนางหมด หากเพราะการปิดบังของตน ทำให้เด็กๆ เกิดความเข้าใจผิดต่อชีเหนียงอีก เช่นนั้นนางไม่เป็การทำบาปหรือ
“อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไร ก็แค่เ้าทึ่มจ้าวหมู่บ้านข้างๆ มาวันนี้ ชีเหนียงบอกว่าก่อนหน้านี้เคยรับปากว่าจะทำของอร่อยให้เขากิน เขาคงรู้สึกเกรงใจ จึงอยากตอบแทนด้วยการช่วยเหลือ” พี่หลิวอธิบายเื่เมื่อเช้าอย่างเรียบง่าย “นี่จึงช่วยบังคับเกวียนไปตลาดนัดแล้ว”
ลั่วจิ่งเฉินได้ยิน มือที่ซ่อนอยู่ด้านหลังก็พลันกำหมัดแน่น ผู้ชายหรือ!
“อ้อ เช่นนี้นี่เอง” ภายใต้น้ำเสียงของเขาที่เรียบเฉยนั้นคือคลื่นที่ถาโถม
......
หลังจากอาหารเช้า ลั่วจิ่งเฉินนำภาพที่เพิ่งวาดเสร็จออกมาให้ป้าหลิวเพื่อไล่นางกลับทางอ้อม จากนั้นจึงเรียกลั่วจิ่งซีมาหา แล้วซักถามอย่างละเอียดว่าเขารู้เื่ของเ้าทึ่มจ้าวหรือไม่
ลั่วจิ่งซีรู้เื่ของเ้าทึ่มจ้าวแน่นอน ตอนที่เกิดเื่กับลั่วจิ่งเฉิน เขาก็เริ่มนับถือชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาขึงขังผู้นั้น คิดไว้ว่าต้องฝึกวรยุทธ์เหมือนเช่นเขาให้ได้ ถึงเวลาหากใครกล้าหัวเราะเยาะลั่วจิ่งเฉิน ลั่วจิ่งซีก็จะได้สั่งสอนคนผู้นั้นให้เต็มที่
มีครั้งหนึ่ง จ้าวจือชิงเอาห่อผ้ามาวางไว้ที่บ้านสกุลลั่วเหมือนทุกทีและถูกลั่วจิ่งซีเห็นเข้าแต่ก็เพียงแวบเดียว ลั่วจิ่งซีเกิดความสนใจในตัวชายร่างใหญ่ขึ้นมา เขา้าตีสนิทกับคนผู้นี้ หากได้เรียนรู้วรยุทธ์จากจ้าวจือชิงได้เพียงแม้สักเล็กน้อยก็คงเพียงพอต่อการไปข่มขู่ผู้อื่นแล้ว
ด้วยเหตุนี้ นับั้แ่เด็กลั่วจิ่งซีก็เดินตามเ้าทึ่มจ้าว และเห็นกับตาว่าจ้าวจือชิงจัดการอันธพาลที่รังแกตัวเองจนร้องไห้อย่างไรบ้าง
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้ตนได้คำนับอาจารย์เพื่อขอฝึกการต่อสู้ ก็ได้ยินคนอื่นเรียกจ้าวจือชิงว่าเ้าทึ่ม!
หลังจากสืบรู้สถานการณ์ของเ้าทึ่มจ้าว เขาจึงเกิดความรู้สึกเหมือนถูกเ้าทึ่มจ้าวหลอกลวง นับจากนั้นมา จึงไม่คิดจะไปมาหาสู่ชายร่างใหญ่อีก
ส่วนเื่สกุลลั่วที่หมู่บ้านชิงเหอครั้งนั้น ตอนนั้นเขาคิดไม่ออกว่าเ้าทึ่มจ้าวคือใคร ตอนนี้พอถูกลั่วจิ่งเฉินซักถาม เขาถึงเพิ่งนึกขึ้นได้
เมื่อได้ยินลั่วจิ่งซีบอกว่าเ้าทึ่มจ้าวคือคนที่ช่วยลั่วชีเหนียงพูดที่หมู่บ้านชิงเหอ ลั่วจิ่งเฉินก็ขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
“อาซี ตอนนี้เ้ารีบไปที่ตลาดนัดและจับตาดูพวกเขาไว้!”
“จับตาใคร?”
ลั่วจิ่งซีเพิ่งถามจบก็ได้รับสายตาพิฆาตกลับมา ทำเอาเขาสะดุ้งและรีบตอบรับ
อย่าได้เป็ดั่งที่เขาคิดเลย
ลั่วจิ่งเฉินมองตามทิศทางที่ลั่วจิ่งซีจากไปด้วยความกังวล ความเสแสร้งแกล้งรักเพียงนิดเดียวของจี้ฉงเหวินยังทำให้นางลุ่มหลง แม้เ้าทึ่มจ้าวจะเป็คนสติไม่สมประกอบ แต่พฤติกรรมของเ้าทึ่มหมายถึงความในใจที่ถ่ายทอดออกมาอย่างแท้จริง หากนางหวั่นไหวกับความดีเพียงเล็กน้อยนี้ล่ะ?
ไม่รู้เพราะเหตุใด เพียงแค่คิดว่าลั่วชีเหนียงจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง ในใจเขาก็เกิดความระส่ำระสายเล็กน้อย
......
ณ ตลาดนัด แผงของกินสกุลลั่วยังคงได้รับความนิยมเช่นเคย เพียงแต่ชานมนี้กลับไม่มีผู้ใดถามไถ่
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่้าซื้อ เพียงแต่ราคาสูงเกินไป แม้ว่าแก้วจะสวยเพียงใดและนำกลับไปใช้ซ้ำได้ แต่คนทั่วไปไม่มีทางใช้เงินห้าสิบอีแปะมาซื้อชานมที่ไม่รู้ว่ารสชาติจะดีหรือไม่และท้องไส้จะรับได้หรือเปล่า
นอกจากนี้ เพราะมีคนรูปร่างสูงใหญ่อย่างเ้าทึ่มจ้าวยืนอยู่ด้วย แม้ที่ผ่านมาคนจะไม่ซื้อของแต่ก็มีเข้ามาถามไถ่บ้าง ตอนนี้กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ จนส่งผลให้ชานมของนางยังไม่ได้เผยแพร่ออกไป
“ชีเหนียง ในที่สุดสามีบ้านเ้าก็ยอมออกมาแล้วหรือ?” ป้าขายผักร้านข้างๆ เห็นนางอยู่ว่าง จึงเดินมาคุยเล่น คนผู้นั้นชำเลืองมองเ้าทึ่มจ้าวแวบหนึ่ง ก็อดขำไม่ได้ “สามีของเ้า ไฉนจึงดูทึ่มเช่นนี้ หน้าแข็งราวกับไม้ไม่ทำให้ลูกค้าหนีหมดหรือ”
เมื่อรู้ว่าป้าขายผักเข้าใจผิด นางก็รีบอธิบาย
“ท่านป้า ท่านเข้าใจผิดแล้ว เขาไม่ใช่สามีของข้า สามีข้าตายไปนานแล้ว เขา เขาคือญาติผู้น้องห่างๆ ของบ้านข้า สมองไม่ค่อยมีไหวพริบนัก”
ลั่วจิ่งซีที่เพิ่งมาถึงได้ยินคำสนทนาระหว่างชีเหนียงกับป้าขายผักพอดี เขาจึงอดมองจ้าวจือชิงอย่างโมโหมิได้
ฮึ่ย หากเ้าทึ่มคนนี้คิดจะเป็พ่อของเขา เขาจะเล่นงานอีกฝ่ายให้ถึงตาย!
แม้ว่าลั่วจิ่งซีจะไม่ได้ชอบเ้าทึ่มจ้าวนัก แต่สำหรับคำตอบของลั่วชีเหนียงที่บอกว่าจี้ฉงเหวินตายไปแล้วนั้น ลั่วจิ่งซีค่อนข้างพอใจมาก เดาว่าถ้าพี่ใหญ่ได้ยินคำนี้ก็ต้องดีใจมากแน่
เมื่อเห็นลั่วจิ่งซีมาแล้ว นางจึงรีบสั่งให้ลั่วจิ่งซีดูจ้าวจือชิงไว้ ส่วนนางจะแบกตะกร้าชานมไปลองขายในโรงเตี๊ยมดู
จ้าวจือชิงเมื่อเห็นลั่วชีเหนียงเดินไปทางโรงเตี๊ยมก็คิดจะตามไปด้วย ลั่วจิ่งซีจึงรีบมายืนขวางไว้ตรงหน้า
“เ้าจะไปไหน?” เขาเอามือเท้าสะเอวแหงนหน้ามองจ้าวจือชิง แววตามีความหวาดระแวง
“ข้าจะไปดูว่าชีเหนียง้าความช่วยเหลือหรือไม่”
ดูจากคำพูดที่สั้นกระชับ กลับดูไม่ออกเลยว่าจะเป็คนสติไม่สมประกอบ
“ไม่ได้!” ลั่วจิ่งซีที่เกิดความระแวงขึ้นมาจับมือจ้าวจือชิงไม่ให้ตามลั่วชีเหนียงไป “นางบอกแล้ว ให้เ้าเฝ้าแผงให้ดี หากนางกลับมาพบว่าของบนแผงลอยถูกขายไปหมด ไม่แน่ว่านางคงดีใจกว่าที่เ้าไปเดินตามนับร้อยเท่า!”
เ้าทึ่มจ้าวหยุดฝีเท้าไว้ เมื่อครู่เขารับรู้ได้ว่าชีเหนียงไม่พอใจ ที่แท้ก็เพราะไม่มีคนซื้อของ
นี่ไม่ง่ายดายไปหน่อยหรือ?
“เ้ารอก่อน!” จ้าวจือชิงพูดเสียงค่อยและมุดเข้าไปท่ามกลางฝูงชนและหายลับไป
......
ทางด้านชีเหนียงที่แบกชานมมาถึงโรงเตี้ยมสุ่ยชิ่ง ซึ่งเป็โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุด
เพียงแต่นางยังไม่ทันได้เข้าไปก็มีเสี่ยวเอ้อคนหนึ่งขวางไว้ นางกำลังเตรียมจะถามความกับคนที่มาขวาง กลับเห็นชายชราคนหนึ่งถูกคนด้านในขับไล่ออกมา
“ไม่ดูเสียบ้างว่านี่คือสถานที่ใด ยังกล้ามาทำตัวกร่าง เ้าแก่ หากรู้สำนึกก็รีบจ่ายเงินมาและไสหัวไป!”
หลิงชางไห่ผู้ไม่เคยทนรับอารมณ์โมโหอัดอั้นเช่นนี้มาก่อน ฉับพลันก็สะบัดแขนเสื้อและด่ากราด
“เ้าเด็กเมื่อวานซืน! อาหารที่พวกเ้าทำรสชาติแย่ขนาดนี้ แล้วยังไม่ให้คนวิจารณ์! ของรสชาติแย่เพียงนี้ยังกล้าเอามาขาย ข้าไม่มีทางจ่ายแม้แต่แดงเดียวแน่!”
ชั่วชีวิตนี้เขาไม่มีงานอดิเรกความชอบใด มีเพียงใส่ใจอย่างมากกับเื่การกิน เดิมทีคิดว่ากลับบ้านเกิดจะสามารถกินของอร่อย ใครจะรู้ว่าโรงเตี๊ยมใหญ่เพียงนี้กลับทำอาหารได้จืดชืดไร้รสชาติ พอวิจารณ์ไปไม่กี่คำ กลับขับไล่ไสส่งกัน ช่างเป็เื่ิ่เกียรตินัก
“ไม่จ่ายเงิน! ข้าว่าเ้าคงอยากกินหมัดสินะ!”
ลูกน้องโรงเตี๊ยมสุ่ยชิ่งหิ้วคอของชายแก่ขึ้นก่อนจะเงื้อหมัดข่มขู่
เดิมทีชีเหนียงไม่คิดจะยุ่งเื่คนอื่น แต่เห็นท่าทางของชายชราแล้วอดนึกถึงบิดามารดาของตนมิได้
ช่างเถิด ถือเสียว่าช่วยสั่งสมบุญให้แก่บิดามารดาผู้ล่วงลับไปก็ได้
“หยุด!” ชีเหนียงก้าวเข้ามาขวางไว้ “เท่าใด ข้าจะช่วยท่านตาจ่ายเอง” รู้อยู่แล้วว่าคนเหล่านี้พูดมากไปก็เปล่าประโยชน์ นางจึงเอ่ยถามอย่างกระด้างและเรียบง่าย
เพียงแต่เมื่อได้ยินว่าสามตำลึง นางมองชายชราด้วยสีหน้าลำบากใจ นี่กินอะไรไปกันแน่ ถึงได้แพงเท่านี้? ช่างเถิด ในเมื่อตนเองรับปาก จึงจำใจต้องยื่นเงินให้ไป
หารู้ไม่ว่านางเพิ่งเดินไปได้สองก้าวก็ถูกคนขวางไว้ พอมองดูก็คือชายชราเมื่อครู่
“แม่นางน้อย รีบเอาของอร่อยในตะกร้าของเ้าออกมา”
ชายชราจ้องมองนางอย่างไม่รีบร้อน เมื่อเห็นนางไม่ตอบสนอง จึงเดินหน้าไปแย่งตะกร้าของลั่วชีเหนียง
----
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้