หลิ่วจิ้งรีบกำมือเข้ามาให้สร้อยประคำอยู่ในฝ่ามือพลางหันมองสตรีที่จะมาแย่งสร้อยเส้นนี้ไป
นางเป็สตรีในชุดกระโปรงผ้าไหมต่วนสีแดงอมชมพู ผิวพรรณขาวผ่อง ทำให้ชุดสีแดงที่ยากจะใส่ให้สวยได้ยิ่งถูกขับให้งดงามมากขึ้นไปอีกน่าเสียดายที่ใต้คิ้วที่ทั้งหนาทั้งดกของนางนั้นเป็ดวงตาที่มีแววอึมครึมเย็นเยือกและคมกริบเพียงมองแวบแรกหลิ่วจิ้งก็ไม่ชอบนางมาจากขั้วหัวใจพร้อมทั้งเกิดความรู้สึกชิงชังรังเกียจขึ้นมาด้วย
“ขออภัย สร้อยประคำนี้เป็ข้าหมายตาอยู่ก่อน ข้ายกให้ไม่ได้”หลิ่วจิ้งบอกเจตนารมณ์ของตนอย่างชัดเจนหนักแน่นไปคำหนึ่งเพราะไม่คิดจะมีปฏิสัมพันธ์กับนางให้มากมาย
“เ้าหมายตาไว้แล้วจะทำไม ข้าให้ราคาสูงกว่าเถ้าแก่จะไม่เอาเงินที่มาถึงมือได้อย่างไร” สตรีชุดแดงรุกไล่ฉอดๆไม่ยอมรามือแม้แต่น้อย
“เถ้าแก่ ท่านว่าเป็ดังนี้หรือไม่”สตรีชุดแดงหันหน้ามาถามเถ้าแก่ร้าน
“ระ…เื่นี้”ด้วยสายตาของเถ้าแก่ร้านที่ทำการค้ามานานปีจะมองไม่ออกได้อย่างไรว่าสตรีทั้งสองคนล้วนมีที่มาไม่ธรรมดาพวกนางไม่แม้แต่กระพริบตา บอกว่าจะซื้อก็ซื้อเช่นนี้เื้ัของนางหากไม่ใช่ร่ำรวยก็ต้องสูงศักดิ์ หาใช่คนที่เถ้าแก่ร้านเล็กๆเช่นเขาจะล่วงเกินได้
ฉะนั้นการให้เขาเป็คนตัดสินก็มิเท่ากับบีบเขาไปสู่หนทางแห่งความตายหรอกหรือ?
“เกิดเื่ใดขึ้น” หั่วอี้ได้ยินเสียงวิวาทกันจึงเดินมาดูเมื่อครู่เขากำลังสนใจเครื่องประดับมือชุดหนึ่งอยู่ จึงไม่ได้อยู่กับหลิ่วจิ้ง
หลิ่วจิ้งยังไม่ทันเอ่ยปากสตรีชุดแดงก็มีรอยยิ้มที่ทั้งตื่นเต้นทั้งยินดีออกมาก่อนแล้ว เพียงพริบตาเดียวแววตาอึมครึมเย็นเยือกและคมกริบนั้นก็หายไปกลายเป็แววตาสดใสแสนเสน่หาประหนึ่งสุภาพสตรีผู้มีท่าทีเขินอาย
“ท่านแม่ทัพ นึกไม่ถึงว่าจะได้พบกับท่านที่นี่หรงเอ๋อร์ดีใจนักเ้าค่ะ” ทั้งก่อนและหลัง สตรีชุดแดงเปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคนหลิ่วจิ้งเห็นแล้วรู้สึกว่าตนเองเทียบไม่ติดจริงๆ
น่าเสียดายที่อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอไม่ได้ตามมาด้วยจะได้ให้พวกนางสองคนดูให้ดีๆ ว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็ปรมาจารย์แห่งการโกหกตาใส
“อี้หรงเองหรือ เป็อย่างไรบ้างอาการเจ็บป่วยของเ้าดีขึ้นแล้วหรือ ถึงออกจากเรือนมาได้”
ดูท่าว่าความสัมพันธ์ของหั่วอี้กับสตรีชุดแดงที่ชื่อว่าอี้หรงผู้นี้จะไม่ใช่ธรรมดากระทั่งคนเขาเจ็บป่วยก็ยังรู้ด้วย
หลิ่วจิ้งต้องกลอกตามองบนอยู่ในใจ แต่โบราณมาบุรุษก็มากรักนักหนาไม่กลัวว่าวันหนึ่งจะตายคาเตียงสตรีหรือไร?
“ท่านแม่ทัพ อี้หรงหายดีนานแล้วเ้าค่ะ เพียงแต่ท่านแม่ยังคงห่วงนั่นห่วงนี่ถึงให้ข้านอนพักต่ออีกหลายวันค่อยยอมปล่อยข้าออกมาเ้าค่ะ”
ดวงตาของอี้หรงเต็มไปด้วยความอ่อนโยนหวานหยดย้อย แม้แต่หลิ่วจิ้งก็ยังมองความรักที่อี้หรงมีต่อหั่วอี้ออกจู่ๆ นางก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ว่าแล้วจึงไม่ไปสนใจพวกเขาอีกหันไปพูดกับเถ้าแก่ร้านต่อว่า “ห่อสร้อยใส่กล่องของกำนัลให้ข้าดีๆ ด้วย”
ครานี้อี้หรงไม่ได้มายื้อแย่งกับหลิ่วจิ้งอีก เพราะความสนใจทั้งหมดของนางล้วนอยู่ที่ตัวหั่วอี้ในสายตานาง สร้อยประคำเส้นหนึ่งจะเทียบกับตัวหั่วอี้ได้อย่างไร
เถ้าแก่ร้านเชี่ยวชาญการสังเกตสีหน้าผู้คนเมื่อเห็นว่าสตรีชุดแดงไม่เอ่ยปากว่า้าสร้อยประคำเส้นนี้อีกจึงรีบเอาสร้อยประคำไปห่อให้เรียบร้อยแล้วส่งให้หลิ่วจิ้งเขาคิดว่าต้องจบการขายก่อนที่สตรีชุดแดงจะไหวตัวทันเป็ดีที่สุด เช่นนี้แล้วนางจะได้ไม่หันมาขัดเคืองเขา
หลิ่วจิ้งเอาใบชำระเงินมอบให้หั่วอี้ “รบกวนท่านแม่ทัพด้วยเ้าค่ะ”นางจงใจไม่มองสตรีชุดแดง ส่วนหั่วอี้ก็ไม่มีท่าทีจะแนะนำให้พวกนางรู้จักกัน
เขาเพียงมองสตรีชุดแดงผู้นั้นด้วยสายตาขออภัย พลางรับใบชำระเงินที่หลิ่วจิ้งยื่นมาให้หลังจากลงชื่อเสร็จก็ส่งให้เถ้าแก่ร้าน
เมื่อมองเห็นชื่อของหั่วอี้ชัดๆเถ้าแก่ร้านก็มีท่าทีลนลานขึ้นมาทันใด ดีที่เขาไม่ได้ยืนกรานจะสอบถามความเห็นของสตรีชุดแดงเพราะต่อให้เป็คุณหนูหรือฮูหยินผู้ปกครองเรือนที่ใหญ่โตอีกสักเท่าใดจะทัดเทียบกับท่านแม่ทัพหั่วอี้ได้อย่างไร
“ท่านแม่ทัพ ท่าทางท่านทั้งสองจะรู้จักกันเช่นนั้นก็เชิญท่านแม่ทัพสนทนากับหญิงงามสักพัก ถือเป็การชดเชยแทนข้าที่ล่วงเกินเพราะข้าไม่อาจตัดใจจากของที่้าได้ ข้าจะไปหาพวกอวี้จิ่นพวกท่านสนทนากันไปเถิด”
หลังหลิ่วจิ้งพูดจบและคว้าสร้อยประคำที่ห่อเสร็จได้ ก็เดินออกไปโดยไม่มองหั่วอี้และสตรีชุดแดงแม้สักหน
หลิ่วจิ้งค่อยๆ เดินออกไปนอกประตู นางนับเวลาที่ตนเดินไปแต่ละก้าวอยู่ในใจบอกกับหั่วอี้ในใจว่า “หั่วอี้ ข้าจะให้เวลาท่านตามระยะทางที่ข้าเดินลงบันไดก่อนข้าลงถึงบันไดขั้นสุดท้าย หากท่านไล่ตามมา ข้าก็จะถือเสียว่าเมื่อครู่ไม่เกิดเื่ใดขึ้นแต่หากถึงเวลาแล้วท่านยังไม่ตามมา เช่นนั้นก็ขออภัย ข้าคงต้องปิดประตูใจที่เพิ่งแง้มออกมาของข้าลงอีกหนแล้ววันหน้าท่านจะก้าวเข้ามาในหัวใจข้าได้อีกยามใด ก็ต้องดูวาสนาในภายภาคหน้าของท่านแล้ว”
หลิ่วจิ้งเยื้องย่างอย่างเชื่องช้าเป็ที่สุดไม่รู้เพราะ้าให้เวลาหั่วอี้มากอีกสักหน่อยหรือว่า้าหาเหตุผลให้ตนเองกันแน่
ทว่า ทั้งน่าเสียใจและน่าผิดหวังนักจนหลิ่วจิ้งเดินมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย หั่วอี้ก็ไม่ได้ตามมานางบังคับความ้าจะหันหลังกลับมองดูเอาไว้ แล้วรีบเดินต่อไปข้างหน้า
อวี้จิ่นกับอิ๋งเหอยังไม่ได้เดินไปไกล คงเพราะทั้งสองเบิกบานใจกันเกินไปทำให้ได้ยินเสียงของพวกนางดังมาเรื่อยๆ หลิ่วจิ้งจึงเดินไปตามเสียงของพวกนางสองคน
ขณะเดินไป ดวงตาของหลิ่วจิ้งก็มีแววขมขื่นขึ้นมาน้อยๆภาพที่เห็นเมื่อครู่ทำให้นางััถึงความรู้สึกเล็กๆ บางประการของตนเองนางเริ่มมีใจให้หั่วอี้ขึ้นมานิดๆ แล้ว มิเช่นนั้นนางก็คงไม่รู้สึกไม่พอใจยามเห็นพวกเขาสองคนทักทายสนทนากัน
ชอบก็ชอบไปแล้ว นางไม่รู้ว่าเมล็ดพันธุ์นี้จะหยั่งรากและงอกขึ้นมาอย่างไรนางดูแคลนตนเอง แค้นของครอบครัวยังไม่ได้สะสาง ยังไม่ทันเดินออกมาจากความเ็ปที่คนผู้นั้นกระทำต่อนางแล้วจะไปมีใจให้หั่วอี้ได้อย่างไร?
นางยิ่งเร่งฝีเท้าไม่ทันไรก็มองเห็นอวี้จิ่นกับอิ๋งเหอที่กำลังต่อรองราคากับร้านค้าอยู่
“เอ๋ ฮูหยินมา แล้วท่านแม่ทัพเล่าเ้าคะ?” อวี้จิ่นรู้สึกพิกลนัก นางเคยเห็นผู้คนหลากหลายรูปแบบครั้งอยู่ในวังยามผู้คนมีสีหน้าอารมณ์เปลี่ยนไป นางย่อมััได้ไวกว่าอิ๋งเหอ
หลิ่วจิ้งยิ้มเจื่อน “ท่านแม่ทัพพบกับสหายสนิทกำลังสนทนากันอย่างมีความสุข ข้ารู้สึกว่าน่าเบื่อจึงออกมาก่อนอีกประการยามสตรีเช่นพวกเราเดินเล่นซื้อของ ไม่มีเขาตามมาด้วยก็ดีแล้วพวกเราจะได้ซื้อของใช้ของสตรีสะดวกยิ่งขึ้นมิใช่หรือ?”
“ใช่เ้าค่ะๆ บ่าวก็รู้สึกว่าเป็เช่นนี้ดีนัก”อิ๋งเหอเอ่ยสนับสนุนความคิดของหลิ่วจิ้งเป็คนแรก ก่อนเข้าไปประคองหลิ่วจิ้งด้วยท่าทีดีใจ
แต่อวี้จิ่นััได้ว่าหลิ่วจิ้งมีเื่ในใจ ทว่าตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะจะมาสอบถามเท่านั้นในเมื่อฮูหยินไม่อยากพูด นางก็จะแสร้งทำเป็ไม่รู้
“พวกเราไปดูที่อื่นกันเถิด” หลิ่วจิ้งไม่อยากให้เมื่อหั่วอี้ออกมาก็เห็นพวกนางทันทีอีกทั้งยามนี้นางก็ไม่รู้ว่าควรอยู่กับหั่วอี้ด้วยความรู้สึกเช่นใดนางเพิ่งจะรู้ใจตัวเอง รู้สึกว่าเื่นี้แทบไม่น่าเชื่อทั้งไม่รู้จะวางตัวอย่างไรฉะนั้นตอนนี้นางคิดแต่ว่าต้องหลบหั่วอี้ไปก่อน ไปให้ไกลเท่าใดได้ยิ่งดี
นางพาอวี้จิ่นกับอิ๋งเหอเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมาสะเปะสะปะไปเรื่อย กระทั่งแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าตอนนี้พวกนางอยู่ที่ใดจึงค่อยก้าวช้าลงหั่วอี้คงจะหาพวกนางไม่พบแล้วกระมัง
หลิ่วจิ้งเดินช้าลง อิ๋งเหอถึงกับต้องเอามือทาบอก มาถึงตอนนี้แม้แต่นางก็ยังมองออกว่าหลิ่วจิ้งมีท่าทีผิดปกตินี่จะเรียกว่าเดินเที่ยวได้อย่างไรใครไม่รู้ยังจะหลงนึกว่าพวกนางกำลังหนีคนไล่ตามจับเสียอีก
“นานๆ ครั้งจะได้พาพวกเ้าออกมา ไปกัน ข้าจะพาพวกเ้าไปเหลาสุราจะได้ลิ้มลองอาหารเลิศรสข้างนอกจวนบ้าง”
แสงตะวันจ้าลอยสูงกลางนภาหลิ่วจิ้งยังไม่ได้ทานอะไรั้แ่เช้าจึงรู้สึกหิวขึ้นมาแล้ว ยามนี้ซื้อของกำนัลให้ฮูหยินผู้เฒ่าเสร็จเรียบร้อยจึงตัดสินใจว่าจะเติมท้องให้อิ่มเสียก่อนค่อยคิดการณ์ต่อ
หลิ่วจิ้งไม่ได้เลือกเหลาสุราที่หรูหรานักเพราะสถานที่เช่นนั้นเป็เป้าสายตาชัดแจ้งเกินไปนางยังคงเป็ห่วงว่าหั่วอี้อาจคิดว่าพวกนางต้องไปทานอาหารข้างนอก แล้วจะตามมาพบได้
_____________________________
