อาหารหลักถึงกับเป็ซาลาเปาแป้งขาวที่มีไส้เนื้อและผัก รวมไปถึงบะหมี่ไข่ไก่น้ำแกงกระดูกหมู
ซาลาเปาไส้เนื้อ ใช้เนื้อหมู ต้นหอม และผักดองเป็ไส้
ส่วนซาลาเปาไส้ผัก ใช้เต้าหู้และกุ้งฝอยเป็ไส้ กุ้งฝอยนับเป็อาหารทะเล กุ้งฝอยในตำบลจินจีขายเป็เหลียง[1] เหลียงละหกทองแดง ราคาเท่าเต้าหู้หนึ่งชั่ง
จานทรงกลมที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งฉื่อเต็มไปด้วยซาลาเปา ซาลาเปาแต่ละลูกมีจุดสีแดงอยู่้า ดูเป็มงคลยิ่ง
กระดูกที่ใช้ทำน้ำแกงเป็กระดูกหมู ต้มไว้ั้แ่เมื่อคืน ต้มนานหนึ่งชั่วยามกว่าจนทำให้รสชาติของกระดูกหมูออกมาในน้ำแกง ตัวน้ำแกงเป็สีขาวขุ่น ส่วนเส้นบะหมี่ก็ทำจากแป้งขาวและไข่ไก่ผสมกัน เส้นบะหมี่ไข่ไก่มีสีเหลืองอ่อน กลิ่นหอมเข้มข้นชวนกิน
ทุกคนกินจนอิ่มหนำสำราญ เมื่อเห็นอาหารจานหลักทั้งสองชนิดหนังท้องก็ตึงแน่นแล้ว
ปกติศาลาพักม้าของตำบลจินจีจะมีแขกมาเยือนมากมาย พ่อครัวจากศาลาพักม้าเป็พ่อครัวเลื่องชื่อในภาคเหนือที่ถูกเชิญมา
ในฐานะที่ใต้เท้าหลิวเป็หัวหน้าศาลาพักม้า ย่อมมีอำนาจสูงสุด หนึ่งวันกินสามมื้อ อาหารที่กินล้วนได้พ่อครัวเลื่องชื่อเป็คนทำ ไม่ว่าอะไรก็เคยกินมาแล้วทั้งสิ้น
เดิมทีคิดว่าอาหารในงานเลี้ยงของบ้านหลี่คงไม่อาจเทียบได้กับอาหารที่พ่อครัวเลื่องชื่อทำ ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือ อาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะอร่อย ทั้งยังเป็อาหารที่แปลกใหม่อีกด้วย
เช่น ปลาเฉ่าทอดซงสู่และเนื้อแพะตุ๋นน้ำแดง แม้จะมีความมันแต่ก็ไม่เลี่ยน และไม่มีกลิ่นคาวของเนื้อแพะเลย นอกจากนี้ก็มีหมูสามชั้นทอด แต่ละชิ้นหั่นบางจนมองทะลุได้ ดูแล้วน่ากินยิ่งนัก
แต่สำหรับเขาแล้วอาหารที่กล่าวมาข้างต้นเทียบไม่ได้กับผัดถั่วงอกเลย
ปกติในฤดูหนาวไม่มีผักใบเขียวให้กิน แต่ละวันต้องกินแต่เนื้อจนเลี่ยนไปหมด หากได้กินผัดถั่วงอกรสชาติหวานเย็น ย่อมนับเป็เื่ที่พิเศษสุดสำหรับมนุษย์แล้ว
ก่อนกลับใต้เท้าหลิวอดกล่าวกับหลี่ซานไม่ได้ว่า “บ้านเ้ายังมีถั่วงอกอยู่อีกหรือไม่”
“ต้องถามลูกสาวของข้าน้อยขอรับ” หลี่ซานรีบเรียกหลี่หรูอี้ที่ไปเปลี่ยนเป็ชุดสีแดงเรียบร้อยแล้วออกมา
หลี่หรูอี้ยิ้มจนตาหยี “มีเ้าค่ะ เพียงแต่มีไม่มากแล้ว ข้าน้อยจะนำมาให้ท่าน”
ถั่วงอกแบ่งเป็ถั่วงอกจากถั่วเขียวและถั่วงอกจากถั่วเหลือง
ผัดถั่วงอกในวันนี้ก็ใช้ถั่วงอกที่มาจากถั่วเขียว
ถั่วงอกจากถั่วเขียวสุกและเข้ารสง่ายกว่าถั่วงอกจากถั่วเหลือง
ฤดูหนาวในภาคเหนือต้นไม้จะไร้ใบ ที่นาจะไร้พืชผล มองไม่เห็นสีเขียว มีเพียงความแห้งเหี่ยว เมื่อนำถั่วงอกจากถั่วเขียวมาขึ้นโต๊ะอาหารทำให้มีสีเขียวอยู่บนโต๊ะ ดูแล้วสดชื่น ทำให้ผู้คนรู้สึกสบายใจ กินแล้วก็สบายกระเพาะ
หลี่หรูอี้เพาะถั่วงอกจากถั่วเขียวไว้ั้แ่เมื่อหลายวันก่อน และนำมาทำอาหารให้บ้านหลี่กินไปหนึ่งมื้อ ทุกคนล้วนกล่าวว่าอร่อย เดิมทีงานเลี้ยงวันนี้จะไม่ทำอาหารชนิดนี้ แต่จะทำหมูผัดบ๊วยแทน แต่เมื่อใต้เท้าหลิวและจางซิ่วไฉจะมา จึงคิดว่าในท้องของพวกเขาคงเต็มไปด้วยน้ำมันแล้ว สุดท้ายก็เปลี่ยนหมูผัดบ๊วยมาเป็ผัดถั่วงอกให้พวกเขาได้ลิ้มลองรสชาติที่แปลกใหม่บ้าง
ใต้เท้าหลิวไม่ได้กล่าวขอบคุณ แต่กลับถามด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี “บ้านเ้าผลิตถั่วงอกได้วันละเท่าใด”
นางเองรู้สึกยินดีในใจ สิ่งที่นางรอก็คือคำนี้เอง “สี่สิบห้าสิบชั่งเ้าค่ะ”
ใต้เท้าหลิวรู้สึกยินดียิ่งนัก เช่นนี้ก็ดี นอกจากจะให้ศาลาพักม้าใช้เองแล้วยังเพียงพอที่จะส่งให้นายอำเภอและจวน เยี่ยนอ๋องอีกด้วย เขาไม่แม้แต่จะถามราคา หากเทียบกับอนาคตของอาชีพตนแล้วเงินเพียงเท่านี้ไม่นับว่ามากมายอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเงินที่ใช้ก็นับลงในบัญชีของศาลาพักม้ามิใช่เงินของตนเอง เมื่อคิดได้ดังนี้จึงกล่าวไปตามตรง “ั้แ่พรุ่งนี้ศาลาพักม้าจะส่งคนมารับถั่วงอกที่บ้านเ้าวันละสี่สิบชั่ง”
“นี่…” หลี่หรูอี้เห็นหวังไห่และคนอื่นๆ ใช้สายตาอิจฉามองมาที่ตนและครอบครัว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “ขอเชิญใต้เท้าไปคุยกันที่อื่นเถิดเ้าค่ะ” จากนั้นจึงรีบส่งสายตาเป็สัญญาณให้หลี่ซานและหลี่เจี้ยนอัน สองพ่อลูกจึงตามหลี่หรูอี้และใต้เท้าหลิวไปยังห้องข้างๆ ที่นั่นก็คือห้องนอนและห้องหนังสือของหลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคัง
“ใต้เท้า…”
ใต้เท้าหลิวกลัวว่าหลี่หรูอี้จะไม่ยอม จึงรีบพูดไปว่า “ขอเพียงบ้านเ้ารับประกันว่า จะส่งถั่วงอกให้ข้าวันละสี่สิบชั่ง เื่ราคาย่อมคุยกันได้”
หลี่หรูอี้ผายมือทั้งสองออกแล้วกล่าวว่า “จะเริ่มพรุ่งนี้ไม่ได้เ้าค่ะ ต้องรออีกเจ็ดวัน” นางอยากทำการค้านี้มาก แต่ถั่วงอกที่เพาะไว้คราวนี้หมดแล้ว ต่อให้เริ่มเพาะตอนนี้ก็ยังไม่ทันขาย
ระยะเวลาที่ใช้เพาะถั่วงอกจากถั่วเขียวรวมทั้งหมดเจ็ดวัน การเพาะถั่วงอกไม่ต้องใช้ทักษะอันใด ใช้เพียงน้ำสะอาดและต้องเปลี่ยนน้ำวันละหลายครั้ง
ใต้เท้าหลิวติดต่อการค้ากับบ้านหลี่มาหลายครั้งแล้ว ครอบครัวนี้ทั้งขยันและซื่อสัตย์ สามารถเชื่อคำพูดของหลี่หรูอี้ได้ จึงกล่าวออกไปโดยไม่แม้แต่จะคิดว่า “อีกเจ็ดวันก็ได้ แต่ต้องรับประกันว่า หลังจากเจ็ดวันแล้วจะมีถั่วงอกให้ข้าวันละสี่สิบชั่ง”
“ไม่มีปัญหาเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้พูดรับประกันออกไป เพียงต้องซื้อโอ่งไว้อีกหลายใบและถั่วเขียวเพิ่มอีกเล็กน้อยมิใช่หรือ โอ่งใบใหญ่ราคาถูกมาก ส่วนถั่วเขียวปลูกกันที่ทางใต้ ราคาแพงกว่าถั่วเหลือง แต่จะแพงเช่นไรก็ยังถูกกว่าเนื้อหมู ถั่วเขียวหนึ่งชั่งเพาะถั่วงอกได้เจ็ดถึงแปดชั่ง เช่นนั้นต้องขายถั่วงอกชั่งละเท่าใดจึงจะเหมาะสม
เดิมทีหลี่ซานรู้สึกหดหู่เพราะวันนี้ไม่ได้หาเงิน ทั้งยังต้องใช้จ่ายไปกับงานเลี้ยง ผู้ใดจะทราบว่ากลับได้การค้านี้มาแทน เขาดีใจจนยิ้มไม่หุบ “ใต้เท้าหลิวสนับสนุนการค้าของบ้านเราอีกแล้ว ขอบคุณมากขอรับ”
หลี่หรูอี้เห็นหลี่เจี้ยนอันมีท่าทางดีอกดีใจคงรู้สึกไม่ดีที่จะกล่าวถึงราคา นางจึงกล่าวขึ้นเองว่า “ใต้เท้าหลิว ข้าน้อยจะต้องคุยราคากับท่านให้ดีก่อน ถั่วงอกนี้ในหน้าหนาวนับเป็อาหารหายาก แต่ท่านกับข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ขายให้ท่านชั่งละสามสิบทองแดงเป็อย่างไร”
ถั่วงอกชั่งละสามสิบทองแดง สี่สิบชั่งก็หนึ่งตำลึงกับสองร้อยทองแดง หลี่ซานและหลี่เจี้ยนอันรู้ถึงเงินทุนของการเพาะถั่วงอกอยู่แก่ใจ นึกไม่ถึงว่าหลี่หรูอี้จะกล้าขายราคาสูงเพียงนี้ พวกเขาสบตากันโดยพลัน ยังดีที่ไม่ใช่คนโง่จึงไม่ได้ส่งเสียงถามออกไป
ใต้เท้าหลิวกลับเข้าใจผิดคิดไปเองว่า หลี่ซานและหลี่เจี้ยนอันคงจะรู้สึกว่าราคาถูกจนเกินไป จึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ราคานี้ต่ำเกินไป ไม่อาจปล่อยให้ครอบครัวเ้าขาดทุนได้ จากความเห็นของข้าสมควรเป็ชั่งละห้าสิบทองแดง หนึ่งวันก็ได้สองตำลึงพอดี”
หลี่ซานสองพ่อลูกยิ่งตื่นตะลึง โดยเฉพาะหลี่ซานถึงกับใจเต้นตึกตัก ชั่งละห้าสิบทองแดง ์ ราคาเท่าเต้าหู้สิบชั่งเชียว ราคาแพงจริงๆ!
“ในเมื่อใต้เท้าปฏิบัติต่อครอบครัวข้าน้อยอย่างใจกว้างเช่นนี้ ต่อไปครอบครัวเราจะขายถั่วงอกให้เพียงท่านแล้ว หากผู้อื่น้าซื้อจะต้องให้ใต้เท้าเป็ผู้แนะนำ” หลี่หรูอี้กล่าวรับประกันอีกครั้ง
คราวนี้ใต้เท้าหลิวดีใจจนหัวเราะเสียงดัง เขาทอดสายตามองไปยังดรุณีน้อยที่ทั้งฉลาดเฉลียวและรู้ความ พลันนึกไปถึงเด็กหลายคนในบ้านที่รู้จักแต่ก่อเื่ทำให้เขาปวดหัว จู่ๆ ก็มีความคิดอยากจะพาแม่นางน้อยกลับบ้านไปเป็สะใภ้จริงๆ แต่ตอนนี้บ้านหลี่ยังไม่มีซิ่วไฉ ฐานะต่ำต้อยเกินไป หรือจะให้แม่นางน้อยมาเป็ลูกบุญธรรมดี
ในบ้านใต้เท้าหลิวยังมีฮูหยินอยู่ด้วย เื่ใหญ่เช่นการรับลูกบุญธรรมนี้ หากใต้เท้าหลิวรับลูกบุญธรรมโดยไม่หารือกับฮูหยินอาจจะถูกบิดหูเอาได้
หลี่เจี้ยนอันรวบรวมความกล้ากล่าวขึ้นว่า “ใต้เท้า ผู้น้อยไร้ความสามารถ ท่านจะอนุญาตให้ผู้น้อยร่างสัญญาซื้อขายได้หรือไม่”
“ได้” ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหลิวทำการค้ากับบ้านหลี่ก็ไม่ได้เขียนสัญญา นี่เป็ครั้งแรก แต่โบราณกล่าวไว้ว่า กระทั่งพี่น้องแท้ๆ ก็ยังต้องลงบัญชีให้ชัดเจน มีสัญญาแล้วก็เป็ข้อผูกมัดสำหรับเขาและบ้านหลี่
ไม่นานสัญญาซื้อขายก็เสร็จสิ้น มีทั้งหมดสองฉบับ
หลี่ซานมองคำว่า ‘ชั่งละห้าสิบทองแดง’ บนกระดาน เขาแย้มยิ้มไปทั้งใบหน้า
ใต้เท้าหลิวมองคำว่า ‘บ้านหลี่จะไม่ขายถั่วงอกให้ผู้อื่น หากไม่ได้รับคำอนุญาตจากใต้เท้าหลิว’ บนกระดาษสัญญา จึงยิ้มไม่หุบ
สัญญาการซื้อขายถั่วงอก ทำให้ทั้งสองฝ่ายพึงพอใจเป็อย่างยิ่ง
จางซิ่วไฉได้รับถั่วงอก ลูกชิ้นเต้าหู้ และหมูสามชั้นมาจากบ้านหลี่จึงกลับไปด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ
เด็กชายทั้งสี่เดินไปส่งจางซิ่วไฉแล้วก็กลับมาพูดกับจ้าวซื่อว่า “ถั่วงอกที่น้องสาวทำหาเงินให้บ้านเราได้อีกแล้ว ได้กำไรวันละหนึ่งตำลึงกว่าเชียว”
“เป็เื่ดีจริงๆ” จ้าวซื่อดีใจยิ่งนัก “น้องสาวเ้าเหนื่อยมากแล้ว รีบให้นางไปนอนเถิด ตอนบ่ายพวกเราค่อยคุยกันทั้งครอบครัว”
ยังไม่ทันถึงตอนบ่าย นอกรั้วบ้านหลี่ก็มีเสียงร้องห่มร้องไห้ของเด็กชายดังแว่วมา ฟังดูโศกเศร้าหาใดเปรียบ ทำให้หลี่หรูอี้ที่กำลังนอนกลางวันถึงกับสะดุ้งตื่น
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] เหลียง หน่วยชั่งของจีน เท่ากับประมาณ 50 กรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้