เหลียนเซวียนหน้านิ่วคิ้วขมวด ถึงกับเจอเสือเลยหรือนี่ เขาไปสังเกตการณ์พื้นที่แถวนี้มาแล้ว ไม่เคยพบกลิ่นอายของสัตว์ใหญ่มาก่อน
สถานที่ที่มีไม้ผิวเกลือขึ้นอยู่ไกลเกินไป ดังนั้นก็แสดงว่าพวกนางแล่นไปถึงถิ่นของเสือ หลายครั้งก่อนไม่เจอเ้าถิ่นก็เป็บุญแล้ว
"ได้... รับ... บาด... เจ็บ... หรือ... ไม่"
"ไม่าเ็ ต้องขอบคุณอาเหลย ช่วยล่อเสือไปอีกทาง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่แค่เจ็บตัว" เซวียเสี่ยวหรั่นยังเสียวสันหลังไม่หาย หันไปยิ้มให้อาเหลยด้วยความซึ้งใจ
"อย่า... ออก... ไป... อีก"
เหลียนเซวียนสีหน้าเคร่งเครียด เสืออาจตามกลิ่นพวกนางมา จะไปไหนมาไหนส่งเดชไม่ได้อีกแล้ว แม้จะเป็ละแวกนี้ก็ตาม
"อื้มๆ ข้าไม่ออกไปแล้ว" เซวียเสี่ยวหรั่นพยักหน้ารัวๆ เธอไม่กล้าไปไหนซี้ซั้วอีกแล้ว
ทั้งที่เป็ฤดูหนาวเสือตัวนั้นก็ยังกำยำล่ำสัน แค่เห็นก็รู้ว่าไม่เป็มิตร ต้องดุร้ายและแข็งแกร่งมากเป็แน่ ปรกติถ้าไม่ขาดแคลนอาหารถึงจะแข็งแรงได้ขนาดนั้น
"เสือ... อาจ... ตาม... กลิ่น... มา"
เหลียนเซวียนเตือนเธอ
เซวียเสี่ยวหรั่นหน้าถอดสีทันควัน "ละ... แล้วจะทำอย่างไรกันดี"
นั่นเป็เสือร้ายตัวใหญ่ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดาทั่วไป
"ไม่... ต้อง... กัง... วล"
กลางหว่างคิ้วและแววตาของเหลียนเซวียนให้ความรู้สึกมั่นคง มาก็ดี พวกเขายังขาดหนังเสืออีกผืน
เซวียเสี่ยวหรั่นมองแววตาสุขุมหนักแน่นของเขาแล้วพลันรู้สึกอุ่นใจ จริงสิ มีเหลียนเซวียนอยู่ทั้งคน ปลอดภัยหายห่วง
แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่เต็มร้อย แต่การรับมือสัตว์ตัวหนึ่งไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง
นึกถึงฝีมือการปามีดของเขาแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยิ้มออก
"เหลียนเซวียน โชคดีที่ได้พบกับท่านตอนนั้น หากไม่มีท่าน ข้าก็คงอยู่ในป่าบ้าๆ แห่งนี้ได้ไม่พ้นหนึ่งวัน"
นึกถึงวันที่สองหลังได้พบกับเขา เหลียนเซวียนก็จัดการกับงูจงอางพิษร้ายแรงไปตัวหนึ่ง หากตอนนั้นไม่พบเขา คนที่ต้องเจอกับงูพิษไม่แน่ว่าอาจเปลี่ยนเป็เธอ ผลที่ตามมาจะเป็อย่างไร จินตนาการได้ไม่ยาก
เหลียนเซวียนมองนางเงียบๆ ตอนนั้นหากไม่ได้พบนาง ไม่ได้ยาที่นางมอบให้และการดูแลอย่างพิถีพิถันใส่ใจ เขาก็ไม่แน่ว่าตนเองจะอยู่มาได้ถึงตอนนี้
พวกเขาตกมาอยู่ในป่าลึกแห่งนี้ ได้มาอยู่ร่วมกัน กล่าวได้ว่าเป็การพานพบที่แสนวิเศษ
ภายในใจของเหลียนเซวียนมีร้อยพันเื่ราวภายใต้ใบหนาเรียบเฉย ยังคงเหลาอาวุธลับต่อไป
หลังจากเหลาลูกดอกซัวเปียวเสร็จ เขาก็เริ่มเหลามีดบินหางนางแอ่น
มีดรูปร่างเหมือนหางนกนางแอ่นและเกล็ดปลาแบบนี้ ส่วนหัวมีขนาดใหญ่ควบคุมง่าย แต่ตัวมีดขนาดเล็กน้ำหนักเบา พกพาสะดวก
ใช้ป้องกันตัวได้ดีที่สุด แต่หากใช้ล่าสัตว์ผลลัพธ์กลับด้อยกว่าเพราะขนาดค่อนข้างเล็ก
"อื้อหือ ท่านเหลามีดบินไว้มากขนาดนี้ ถ้าเสือมาก็ให้รางวัลแก่มันสักสองเล่ม จะได้รู้เสียบ้างว่าอะไรที่เรียกว่าร้ายกาจของจริง"
เซวียเสี่ยวหรั่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ หรี่ตาเพ่งพิศมีดบินหางนางแอ่นในมือเขา
่ยุคสมัยของอาวุธประเภทนี้ การมีวิชาต่อสู้คือประเสริฐสุด
จะให้เขาช่วยกู้หน้ากลับมาล่ะสิ? แม้เหลียนเซวียนจะไม่เงยหน้าขึ้น แต่แววตากลับอาบย้อมไปด้วยรอยยิ้ม
"อาเหลย ให้พี่สาวดูขาของเ้าหน่อย ได้รับาเ็หรือเปล่า"
เซวียเสี่ยวหรั่นเบาใจแล้วก็เดินมาหาอาเหลย พลางลูบขาข้างที่หักของมัน วันนี้อาเหลยวิ่งมาทั้งวัน ไม่รู้ว่าขาส่วนที่หักจะมีปัญหาหรือไม่
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยร้องออกมา น้ำเสียงเจือไปด้วยความเ็ป
"เจ็บตัวอีกแล้วสินะ โธ่เอ๊ย... อาเหลยผู้น่าสงสาร พี่สาวจะช่วยทาน้ำมันให้เองนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นแกะผ้าที่พันอยู่บนขาของมันอย่างเบามือ "อีกเดี๋ยวต้มน้ำแกงกระดูก เ้าต้องดื่มเยอะๆ รู้ไหม กระดูกถึงจะสมานได้ดี"
เซวียเสี่ยวหรั่นลูบหัวของมัน เห็นดวงตาโตสว่างสุกใสของมันก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ "อาเหลย พี่สาวกับพี่ชายต้องไปแล้ว ไปยังสถานที่ห่างไกลมาก เ้าจะไปกับพวกเราหรือจะรอฝูงของเ้ากลับมาที่นี่ล่ะ?"
คำตอบย่อมไม่มี อาเหลยจะฉลาดแค่ไหน ก็ตอบคำถามของเธอไม่ได้
แต่ไม่ช้าพวกเขาก็ได้ทราบทางเลือกของมัน
เช้าวันต่อมา ท้องฟ้าส่วนใหญ่ยังคงสลัวอยู่ แสงอาทิตย์สีเหลืองทองสาดเข้ามาในถ้ำพร้อมกับแสงสว่างและความอบอุ่น
ระหว่างยามค่ำคืน หิมะที่ปกคลุมตามยอดไม้และพื้นดินละลายไปหมดแล้ว
"ว้าว หิมะละลายหมดแล้ว รวดเร็วเสียจริง" เซวียเสี่ยวหรั่นอุทานหลายครั้งต่อเนื่องกัน
ที่แท้หิมะก็ไม่ได้ปกคลุมหนาเท่าไร พออากาศอุ่นขึ้น ก็ละลายทันที หิมะหยุมหยิมเล็กน้อยทางตอนใต้เทียบไม่ได้กับหิมะหนักราวกับขนห่านของทางเหนือ
เหลียนเซวียนัักลิ่นอายเย็นะเืของหิมะละลายได้จากอากาศ
"พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พวกเราออกเดินทางกันได้หรือยัง" เซวียเสี่ยวหรั่นลังเลเล็กน้อยก่อนหันไปถามเหลียนเซวียน
ถ้าจะเดินทาง ก็ต้องรีบกินมื้อเช้าแล้ว
เหลียนเซวียนขบคิดเล็กน้อย เมื่อคืนเสือไม่ได้ตามมา แต่เพิ่งเข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ผลิ อีกไม่ช้าก็เป็วันแมลงตื่น [1] แล้ว
แมลงตื่น... เสียงอสนีแห่งวสันตฤดู สัตว์ต่างๆ ที่จำศีลในฤดูหนาวก็ใกล้จะตื่นแล้ว งูแมลงและสัตว์ร้ายต่างๆ ในป่าก็จะเยอะขึ้นมาก
พวกเขาต้องรีบเร่งเดินทางแล้วจริงๆ
เหลียนเซวียนพยักหน้าอย่างหนักแน่น
"งั้นพวกเรากินมื้อเช้าก่อนค่อยออกเดินทาง" เซวียเสี่ยวหรั่นดวงตาสว่างวาบ รีบหันไปเตรียมอาหารเช้าโดยไม่ลังเล
เนื้อยังเหลืออีกเยอะ เซวียเสี่ยวหรั่นโยนกระดูกท่อนใหญ่หลายชิ้นลงหม้อตุ๋น หลังจากนั้นก็เริ่มเก็บของที่ต้องพกไปด้วย
กระบุงสะพายหลังสองใบจัดวางไว้แล้ว กระบุงของเซวียเสี่ยวหรั่นส่วนใหญ่เป็ของที่มีน้ำหนักมากประเภทถ้วยชามหม้อไหและอาหาร
ส่วนของเหลียนเซวียนจะใส่พลับแห้ง เกาลัด เหอเถาปริมาณไม่มากนัก แล้วก็ผ้าซับระดูสีขาวของเธอ รองเท้าฟางสำรอง รวมถึงเห็ดหุยซินจัดวางอย่างเป็ระเบียบ ทั้งหมดล้วนเป็ของจิปาถะเล็กน้อย
"เฮ่อ อยากเอาโถดินเผาไปด้วยจังเลย แต่มันหนักเกินไป อ่างดินเผาก็หนักพกลำบาก"
เซวียเสี่ยวหรั่นมองโถกับอ่างดินเผาหน้าเศร้า รู้สึกเสียดายอยากเอาไปด้วย แต่แค่ยกขึ้นมาก็ต้องวางกลับลงไปอย่างหดหู่ หนักขนาดนี้ ถ้าแบกขึ้นหลังไปด้วยเธอคงเหนื่อยตายแน่ๆ
เมื่อคืนเธอเด็ดเอาเกล็ดเกลือออกจากผลผิวเกลือออกมาแล้ว ห่อด้วยใบเผือกป่าแบ่งออกเป็สองส่วน โถปากกว้าง เธอกลัวว่าจะระหว่างเดินทางเขย่าไปเขย่ามาจะหกหมด ก็เลยใช้ใบเผือกป่าห่อก่อนแล้วค่อยยัดลงไปในโถ
"เสื่อก็ต้องเอาไป มิเช่นนั้นตอนกลางคืนก็คงต้องหลับบนโขดหินไม่ก็บนกองฟาง"
ก้อนหินแข็งเกินไป กองฟางก็มักมีแมลง ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีทั้งคู่ เสื่อฟางไม่หนัก ม้วนหน่อยก็พกไปได้ไม่ลำบาก ตอนที่เธอสานก็ไม่ได้ทำผืนใหญ่มาก ดังนั้นพกพาค่อนข้างสะดวก
เซวียเสี่ยวหรั่นนับจำนวนสิ่งของที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้
น้ำหนักมากสุดก็คือเนื้อหมูป่า เนื้อปลากลับพร่องไปมากแล้ว เหลือเพียงไม่กี่ตัว
เมื่อปัญหาก็คือขนไปทั้งหมดไม่ได้ ก็ต้องกินให้หมด เซวียเสี่ยวหรั่นก็เลยทำอาหารเช้าออกมาชุดใหญ่ ทั้งคนทั้งลิงต้องกินแต่เนื้อจนแน่นท้องแต่เช้า
"ในถ้ำยังมีเนื้อเหลืออีกมาก ไม่รู้ว่าจะล่อเสือตัวนั้นมาได้หรือเปล่า"
เซวียเสี่ยวหรั่นสะพายเป้ไว้ด้านหน้า และสะพายกระบุงใบใหญ่ขึ้นหลัง หันไปมองสถานที่ที่พวกเขาอยู่อาศัยมาหนึ่งเดือนกว่าพลางทอดถอนใจ
"เจี๊ยกๆ" อาเหลยไม่รู้ว่าเธอถอนใจเื่อะไร แต่มันเคยชินกับการติดตามข้างกายพวกเขาแล้ว
อาเหลย เมื่อเ้าเลือกติดตามข้า เช่นนั้นต่อไป พวกเราก็มาพึ่งพาอาศัย เอาตัวรอดในโลกอันแปลกแยกใบนี้ร่วมกันเถอะ
เหลียนเซวียนถือไม้เท้ารออยู่อีกด้าน
เขาเองก็รู้สึกใจหาย แต่ที่น่าวิตกยิ่งกว่าก็คือหนทางที่ต้องเดินต่อไป
หนทางข้างหน้าหาได้ราบเรียบ ทุกสิ่งมิอาจคาดเดา คณะเดินทางของพวกเขา มีทั้งคนอ่อนแอ คนเจ็บ ชวนให้ไม่อาจละความกังวลได้จริงๆ
"เอาล่ะ ออกเดินทางได้"
เซวียเสี่ยวหรั่นโบกมือ แบกกระบุงหนักอึ้งเริ่มก้าวเท้าเดินไปหาเหลียนเซวียน
อาเหลยตามอยู่ด้านหลังของพวกเขา
แสงอาทิตย์ส่องลงมา บนเรือนร่างของพวกเขาดังถูกฉาบด้วยรัศมีสีทองอ่อนจางอันอบอุ่นละมุนละไมไว้อีกชั้น
...
[1] วันแมลงตื่น หรือจิงเจ๋อ เป็ฤดูกาลที่ 3 ใน 24 ฤดูลักษณ์ของจีน ปรกติจะอยู่่วันที่ 5-6 มีนาคม ซึ่งเป็่ที่สัตว์และแมลงต่างๆ จะตื่นจากการจำศีล อากาศชื้นอาจมีฝนตก